ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 98 ภายในหนึ่งปี ข้าจะมอบนักกลั่นโอสถให้ท่านนับไม่ถ้วน!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 98 ภายในหนึ่งปี ข้าจะมอบนักกลั่นโอสถให้ท่านนับไม่ถ้วน!

บทที่ 98 ภายในหนึ่งปี ข้าจะมอบนักกลั่นโอสถให้ท่านนับไม่ถ้วน!

คำพูดของหลิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซูซวงลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“ข้าเพิ่งรู้ว่าคนที่มาจากสำนักใหญ่นั้นแตกต่างกันได้มากถึงเพียงนี้ แม้แต่รสนิยมการเดินก็ยังมีเอกลักษณ์”

หลิงเยว่ไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเองได้อีกต่อไป เมื่อครู่นี้เพิ่งจะรู้สึกพึงพอใจที่คิดว่าตนนั้นหนี้พ้นแล้ว แต่ตอนนี้นางเพียงอยากจะร้องไห้!

“ทหารชุดแดงบนกำแพงเมืองน่าจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นข้า เพราะนั่นเป็นคำสั่งของท่านใช่หรือไม่?”

แม้จะพูดเป็นประโยคคำถาม แต่หลิงเยว่ก็มั่นใจมากกับการคาดเดาของตน ไม่อย่างนั้นสิ่งต่าง ๆ จะราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

ถ้านางเป็นซูซวง ก็คงไม่มีทางปล่อยปลาตัวใหญ่อย่างนางให้หนีไปได้แน่นอน อย่างน้อย ๆ ก็จนกว่าจะมีคนมาไถ่ตัวเด็กสาวด้วยโอสถ!

“เจ้าเป็นอิสระอย่างแน่นอนในเมืองฮั่วหยางของข้า”

ฮะ… ฮะ…

เจ้าสามารถเป็นอิสระได้เฉพาะในเมืองฮั่วหยางเท่านั้นไม่ใช่นอกเมือง!

แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของหลิงเยว่ที่จะยอมแพ้อะไรโดยง่าย ตอนนี้จะต้องกลับไปเสียก่อน แม้แผนการหลบหนีแรกจะล้มเหลว แต่นางจะลองแผนที่สอง สาม สี่… มันต้องมีสักวิธีที่ได้ผลสิน่า!

ทั้งสองเดินเข้าไปในประตูเมือง และซูซวงก็พาหลิงเยว่ไปยังโต๊ะของพวกกลุ่มสิบแปดด้วยตัวนางเอง โดยบอกว่านางกลัวหลิงเยว่จะหลงทาง

หลิงเยว่ทำได้เพียงยิ้มกลับอย่างไม่เต็มใจ

“อ้าว เสี่ยวชิงเจ้ายังไม่หลับหรือ?”

“ข้าตื่นแล้วเจ้าค่ะ”

ขณะที่อีกฝ่ายแก้ตัว เหลยซาก็เหลือบมองรองเท้าที่เต็มไปด้วยโคลนของหลิงเยว่ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะหลบหนีไป และตอนนี้ก็ถูกเจ้าเมืองจับตัวกลับมา

ทว่าครานี้เจ้าเมืองกลับอดทนอย่างน่าประหลาด ด้วยหากเป็นคนอื่นกล้าหลบหนีแล้วละก็…

ดูเหมือนว่าเสี่ยวชิงจะเป็นมากกว่าปลาตัวใหญ่เสียแล้ว!

[ภารกิจหลักที่ 12 : การสอนให้คนตกปลาย่อมดีกว่าการมอบปลาให้คนผู้นั้นโดยตรง เปิดชั้นเรียนในเมืองฮั่วหยางเพื่อสอนผู้บำเพ็ญถึงวิธีทำอาหารวิญญาณแบบพิเศษและขยายอิทธิพลของอาหารวิญญาณแบบพิเศษ ระยะเวลาภารกิจ 1 ปี รางวัลคือ ค่าพลังวิญญาณ +1,000,000 แต้ม อายุขัย +10,000 วัน หากภารกิจล้มเหลวถูกหักเป็นสองเท่าจากรางวัลที่ท่านจะได้รับ!]

หลิงเยว่ที่กำลังระดมสมองเพื่อวางแผนการหลบหนี เกือบจะตาถลนเมื่อได้ยินภารกิจที่ออกโดยระบบ

เนื่องจากระบบให้ภารกิจมาเช่นนี้ ก็หมายความว่านางจะปลอดภัยภายในหนึ่งปีนี้อย่างนั้นหรือ?

รางวัลที่จะได้รับมากมายจริง ๆ โดยเฉพาะการยืดอายุขัยถึงหนึ่งหมื่นวัน แต่หากทำไม่สำเร็จนางจะตายทันที

นางต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้ แต่… หากต้องติดอยู่ที่นี่หนึ่งปี เช่นนั้นแล้วก็ต้องแจ้งเหล่าสหายและอาจารย์ก่อนว่านางยังมีชีวิตอยู่ และขณะนี้ปลอดภัยแล้ว

“ระบบ เจ้าช่วยแจ้งอาจารย์และสหายของข้าได้หรือไม่ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ และจะกลับไปอีกครั้งหลังจากนี้หนึ่งปี?”

[ด้วยค่าพลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้ม ทุกคนที่กำลังกังวลและตามหาร่องรอยของท่านจะได้รับข้อความที่แม่นยำ]

โหดเหี้ยมนัก!

หลิงเยว่มองไปยังค่าพลังวิญญาณที่เหลืออีกสามล้านกว่าแต้ม ได้แต่พยักหน้าตกลงทั้งน้ำตา

เหลยซาผู้ซึ่งเฝ้าดูหลิงเยว่อยู่รู้สึกงุนงงกับสีหน้าที่แสดงออกอย่างหลากหลายสลับไปมาบนใบหน้าของเด็กสาว อารมณ์ต่าง ๆ สับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะตกใจ วิตกกังวล น้ำตาไหล เศร้าสร้อยและท้ายที่สุดดวงตาของเด็กสาวก็ค่อย ๆ กลายเป็น… ความมุ่งมั่น ราวกับว่าได้ตัดสินใจเรื่องใหญ่บางอย่างแล้ว

“พี่ชาย ท่านกินอาหารแบบนี้เป็นประจำหรือเจ้าคะ?” หลิงเยว่ถามเหลยซา

“มีนักกลั่นโอสถเพียงสิบคนในเมืองนี้ต่อประชากรหลักล้านคน”

นักกลั่นโอสถสิบคนจะไปมีปัญญาทำโอสถปี้กู่ที่ผู้บำเพ็ญนับล้านคนต้องการได้อย่างไร

ถ้าพวกเขาไม่กินเนื้อสัตว์อสูรพวกนี้แล้วจะให้กินอะไรเล่า?

มีนักกลั่นโอสถในเมืองเพียงสิบคนเองหรือ?!

หลิงเยว่เกือบจะคิดว่าตนคงได้ยินผิดไป แต่ก็พูดไม่ออกเมื่อมองไปยังสมาชิกในกลุ่มที่แสนใจดีคนอื่น ๆ กำลังพยักหน้าแทนที่จะปฏิเสธ

ไม่คาดคิดเลยว่านอกสำนักหลานเทียนจะขาดแคลนนักกลั่นโอสถถึงเพียงนี้

“แล้วถ้าหากท่านได้รับบาดเจ็บและมีโอสถไม่เพียงพอล่ะเจ้าคะ?”

“ก็แค่ต้องอดทนไว้ ถ้ารอดได้ก็รอด แต่หากไม่รอด ก็น่าจะได้กลับมาเป็นคนหนุ่มใหม่ที่ดีอีกครั้งหลังจากผ่านไปสิบแปดปีเท่านั้น”

สมาชิกในกลุ่มพูดตอบอย่างสบาย ๆ ทว่าในสายตากลับมีความสิ้นหวังสำหรับอนาคตอยู่ ซึ่งมันสะเทือนใจหลิงเยว่นัก

“ใช่ สถานที่แห่งนี้กันดารและอันตราย จึงไม่มีนักกลั่นโอสถคนใดมาที่นี่ นักกลั่นโอสถทั้งสิบคนในเมืองที่ไม่ได้ออกไปก็เป็นเพราะพวกเขาเกิดและเติบโตที่นี่เท่านั้น”

ดูเหมือนว่าหัวข้อนี้ที่หลิงเยว่ถามกลับจะนำไปสู่เรื่องที่น่าเศร้า และสมาชิกในกลุ่มส่วนใหญ่ก็หมดความสนใจ

“เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องนี้?”

“ไม่มีอะไร ข้าเพียงอยากรู้เท่านั้นเจ้าค่ะ”

หลังจากเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว หลิงเยว่ก็ใคร่ครวญอีกครั้งว่าจะเริ่มต้นใหม่อย่างไรดี สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดที่นี่คืออาหารวิญญาณแบบพิเศษที่มีผลในการรักษาบาดแผลและห้ามเลือด ดังนั้นจึงควรเน้นที่อาหารจากสูตรโอสถทั้งสองนี้ก่อนจะดีที่สุด

“พี่ชาย ท่านช่วยพากลุ่มของท่านออกไปนอกเมืองกับข้า เพื่อไปเก็บสมุนไพรวิญญาณพรุ่งนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”

เนื่องจากนางจะต้องสอนผู้คนที่นี่ให้รู้วิธีตกปลา แน่นอนว่าต้องเริ่มต้นด้วยการทำให้ผู้คนที่นี่รู้จักกับสมุนไพรวิญญาณและการเก็บเสียก่อน

“ข้าไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เจ้าควรถามเจ้าเมืองก่อนจะดีกว่า”

หัวหน้ากลุ่มผู้แข็งแกร่งกลับไม่สามารถพานางออกจากเมืองได้เลยหรือ? ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!

หลิงเยว่ทำหน้าบูดบึ้ง แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ชายคนนี้คงจะกลัวว่านางจะฉวยโอกาสหนีไป เฮ้อ… การเป็นคนดีในทุกวันนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง

แต่หากต้องการสอนผู้บำเพ็ญที่นี่ให้ทำอาหารวิญญาณเป็น ก็ไม่สามารถเลี่ยงการเผชิญหน้ากับท่านเจ้าเมืองได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงต้องไปเจออีกฝ่ายอยู่ดี

เมื่อหลิงเยว่ไปถึงจวนเจ้าเมือง นางไม่จำเป็นต้องขอเข้าพบด้วยซ้ำ เพียงเดินเข้าไปอย่างอวดดี แน่นอนว่าเด็กสาวเป็นอิสระอย่างที่ซูซวงพูดจริง ๆ

“คิดได้แล้วหรือ?”

ซูซวงนั่งอยู่ในห้องโถงเหมือนกับกำลังรอให้หลิงเยว่เข้ามาหาอยู่พอดี

หลิงเยว่มอบกระดาษที่เขียนเกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณและสัตว์อสูรระดับต่ำให้กับซูซวง “เรียกนักกลั่นโอสถของท่านมาสักสองคนเถิดเจ้าค่ะ”

ซูซวงเหลือบมองกระดาษแล้วเยาะเย้ย “นี่เจ้ากำลังคิดจะทำโอสถรักษารอบด้านให้ข้า เพื่อไถ่ตัวเจ้าออกไปภายในสามเดือนหรือ?”

ช่างคิดตื้นเขินนัก

“ไม่ใช่สามเดือนเจ้าค่ะ แต่เป็นหนึ่งปี ให้เวลาข้าหนึ่งปี แล้วข้าจะให้นักกลั่นโอสถจำนวนนับไม่ถ้วนแก่ท่านเองเจ้าค่ะ”

เมื่อหลิงเยว่พูดเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“อย่างไรก็ตาม ข้าจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากท่าน”

“พูดจาใหญ่โตเสียจริง” เห็นได้ชัดว่าซูซวงไม่เชื่อคำอีกฝ่ายโดยง่าย เพียงแต่ให้สาวน้อยคนนี้ลองดูก่อน เมื่อใดที่เดือนมีนาคมมาถึงและโอสถจำนวนมากยังไม่ถูกส่งมา ตอนนั้นก็อย่าได้มาตำหนินางว่าเป็นคนโหดเหี้ยมเลย!

หลิงเยว่ไม่ได้ให้คำอธิบายด้วยวาจามากเกินไป นางควรพิสูจน์ทุกอย่างด้วยตนเองจะดีกว่า การสอนผู้คนเป็นสิ่งที่นางถนัดอยู่แล้ว เห็นได้จากการที่เด็กสาวสอนพวกนักกลั่นโอสถจำนวนมากในช่วงงานเลี้ยงรับศิษย์ที่ผ่านมา

เพียงแต่ว่าผู้คนที่นี่ไม่มีพื้นฐานการเป็นนักกลั่นโอสถ ซึ่งความยากจะยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ไม่แปลกเลยที่ระบบจะกำหนดเส้นตายภายในหนึ่งปี

คนของซูซวงทำงานรวดเร็วมาก หลิงเยว่เพียงเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งก็มีคนเอาสมุนไพรวิญญาณ และศพสัตว์อสูรมาให้ พร้อมกับนักกลั่นโอสถอีกสองคนที่มาถึงตรงหน้านางแล้วเช่นกัน

เมื่อนักกลั่นโอสถชราสองคนเห็นหลิงเยว่ พวกเขาก็อดมองหน้ากันไม่ได้ เจ้าเมืองจะสั่งให้พวกเขาช่วยเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ในการกลั่นโอสถจริงหรือ?

นางน่าจะเป็นนักกลั่นโอสถระดับหนึ่งใช่หรือไม่?

อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าเมืองอยู่ที่นี่ในเวลานี้ด้วย จึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะตั้งคำถามกับหลิงเยว่ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ที่นี่มีห้องครัวหรือไม่ ข้าขอยืมมันสักหน่อยเจ้าค่ะ”

ครัว?

นางจะทำโอสถในครัวหรือ?

ซูซวงเริ่มสงสัยว่านางไม่ได้ไปทางใต้นานเกินไปหรือเปล่า เพราะเริ่มไม่เข้าใจในสิ่งที่หลิงเยว่กำลังขอเสียแล้ว

“ไม่มี”

“ถ้าอย่างนั้นเราทำแค่ย่างและกินกันเถอะเจ้าค่ะ”

หลิงเยว่คุยกับตัวเองแล้วลากศพสัตว์อสูรตัวใหญ่ไปยังพื้นที่โล่งในสวนด้านนอก

กลุ่มคนที่มองอยู่ “…”

พวกเขาเข้าใจภาษาที่เด็กสาวเอ่ยออกมาทุกคำ แต่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร มันเป็นไปได้ที่จะใช้สัตว์อสูรเพื่อทำโอสถ แต่เมื่อครู่นางเพิ่งบอกว่า… ย่างพวกมันแล้วกินหรือ?

คนทั้งหมดสงสัยว่าหลิงเยว่กำลังหลอกลวงพวกเขาหรือไม่ นางคิดว่าพวกเขาโง่งมมากอย่างนั้นหรือ?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท