ไป๋หลี่ซ่างเสียกลับไม่รู้สึกกังวลใจแต่อย่างใด บอกตามตรงว่าอันที่จริงวิญญาณประเภทที่เขาชื่นชอบที่สุดก็คือวิญญาณที่จมลงสู่ความมืดมิดโดยสมบูรณ์แล้วเหมือนกับวิญญาณดวงนี้ ยิ่งถ้ามีปราณแห่งความเคียดแค้นปะปนอยู่ด้วยก็ยิ่งดี
วิญญาณแบบนั้นล้วนแต่มีรสชาติเยี่ยมยอด
ยิ่งกว่านั้น เขาก็ยังสามารถบอกได้ว่ามีใครบางคนทำอะไรกับเขา
คนคนนี้ก็น่าจะมีรสชาติดีไม่เลว…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลิ้นของไป๋หลี่ซ่างเสียก็เลียไปรอบริมฝีปากของตัวเอง
แต่เสี่ยวชิงเฉิงกลับหันมามองเขาแล้วบอกว่า ”ผมลืมโทรบอกเวยเวยคนสวย นี่ก็ห้าทุ่มแล้ว ถ้าผมยังไม่กลับบ้าน เธอต้องเป็นห่วงผมมากแน่ๆ”
ไป๋หลี่ซ่างเสียยังคงนิ่งเงียบ บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะทำตามสัญชาตญาณตัวเองไปถึงเมืองอื่นตอนที่หาอาหารกินจนไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลาหลายคืน แต่ท่านพ่อของเขาก็ไม่เคยคิดที่จะตามหาเขาเลย
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับไป๋หลี่ซ่างเสีย
“ฉันต้องไปยืมโทรศัพท์ จะได้โทรบอกเวยเวยคนสวย” เสี่ยวชิงเฉิงกัดนิ้วหัวแม่มือตัวเอง แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหาพนักงานบนรถไฟอีกครั้ง ใบหน้าของเขาดูจริงจังอย่างมากระหว่างบอกว่า ”พี่สาว ผมขอยืมมือถือโทรหาแม่ได้ไหมครับ”
เสี่ยวชิงเฉิงดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพนักงานคนนั้นจึงใจละลายทันที เธอตอบว่า ”หนูน้อย หนูหลงทางหรือจ๊ะ แม่หนูนั่งตรงไหน เดี๋ยวพี่จะไปประกาศให้แม่มาหา ตกลงไหม”
“แม่ผมไม่ได้ขึ้นมาบนรถไฟครับ มีแค่คุณยายคนเดียว แต่คุณยายหลับอยู่ แล้วผมก็ไม่อยากปลุกเธอขึ้นมาเพื่อขอยืมโทรศัพท์โทรหาแม่ด้วย” เสี่ยวชิงเฉิงบอกพร้อมกับเขย่งเท้าชี้มือไปทางหญิงชราที่นอนหลับอยู่
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยยังเดินไม่แข็งนัก พนักงานรถไฟก็รีบส่งโทรศัพท์ของเธอให้เด็กชายแล้วบอกว่า ”นี่จ้ะ ใช้โทรหาคุณแม่นะ”
“ขอบคุณครับพี่สาว” เสี่ยวชิงเฉิงถือโทรศัพท์ไว้ในมือเล็กๆ พร้อมกับวิ่งไปหาไป๋หลี่ซ่างเสียแล้วใช้มืออวบๆ ขาวๆ ของตัวเองกดหมายเลขบนหน้าจอ เขารีบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูทันทีที่กดโทรออก ไป๋หลี่ซ่างเสียช่วยเสี่ยวชิงเฉิงจับโทรศัพท์ไว้เมื่อเห็นว่าเขาต้องใช้พยายามอย่างมากในการยกโทรศัพท์ขนาดใหญ่เครื่องนั้นขึ้น
เสียงเรียกเข้าจากหูฟังดังขึ้นขัดจังหวะรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่น S1000R ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองอันเป็นที่ตั้งของสถานีปลายทางแห่งนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยกดรับสายโดยไม่ได้ดูหมายเลข เสียงเดียวที่ได้ยินมีเพียงแค่เสียงลมพัดอยู่ครู่หนึ่ง ”ฮัลโหล”
“เวยเวยคนสวย นี่ผมเองนะ!” เสี่ยวชิงเฉิงตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้ยินเสียงของเธอ เพราะเขากลัวว่าเวยเวยคนสวยจะไม่รับสายจากหมายเลขที่ไม่รู้จัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วพร้อมกับเหยียบเบรกรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่น S1000R ของตัวเองดังเอี๊ยด จากนั้นจึงถามว่า ”ลูกอยู่ไหน”
“ผมอยู่บนรถไฟ” เสี่ยวชิงเฉิงตอบอย่างกระตือรือร้น แล้วเลิกพยายามที่จะถือโทรศัพท์ด้วยตัวเอง เขาปล่อยให้ไป๋หลี่ซ่างเสียเป็นคนถือให้แทน เขาเอียงหน้าแนบกับโทรศัพท์เครื่องนั้นพร้อมกับพูดว่า ”ผมอยู่กับเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันครับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถามพลางกระตุกยิ้ม ”รถไฟหมายเลข K1117 น่ะหรือ”
“ใช่ครับ” เสี่ยวชิงเฉิงพยักหน้าแทนคำตอบแล้วตอบว่า ”วันนี้ผมเห็นคนท่าทางน่าสงสัยที่ประตูโรงเรียน ผมก็เลยตามเขามาที่นี่ครับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดไม่ออก สรุปก็คือลูกยอมให้เขาลักพาตัวมาด้วยความสมัครใจตั้งแต่แรกแล้วหรือ…
“ลูกกินอะไรหรือยัง” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังเป็นห่วงลูกชายอยู่
เสี่ยวชิงเฉิงดูกระสับกระส่ายขณะตอบว่า ”กินแล้วครับ ผมกินช็อกโกแลตกับเพื่อนใหม่ไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”ลูกอยากโดนถอนฟันหมดปากหรือไง แล้วนี่โทรศัพท์ใคร ของนักค้ามนุษย์พวกนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ครับ นักค้ามนุษย์กลัวเพื่อนผมจนหนีไป ดังนั้นพวกเราก็เลยตามเขาขึ้นรถไฟมา แล้วจากนั้นผมก็เลยยืมโทรศัพท์เครื่องนี้มาจากพนักงานบนรถไฟครับ” เสียงของเสี่ยวชิงเฉิงแผ่วเบา แต่คำพูดทุกคำที่เขาเปล่งออกมากลับชัดเจน
ไม่นานนักเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงสังเกตเห็นว่าลูกชายเอาแต่พูดถึงเพื่อนใหม่คนนี้ เธอจึงถามขึ้นว่า ”เสี่ยวชิงเฉิง ลูกปิดบังอะไรจากแม่หรือเปล่า”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ตากลมๆ ของเสี่ยวชิงเฉิงก็กวาดมองไปรอบๆ จนหยุดลงที่ไป๋หลี่ซ่างเสียที่ถือโทรศัพท์แนบหน้าของเสี่ยวชิงเฉิงอยู่โดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงหมุนโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแล้วลดเสียงลงถามว่า ”เวยเวยคนสวย ขอผมเลี้ยงปีศาจตัวเล็กๆ สักตัวได้ไหมครับ เจ้าหมอนี่ว่าง่ายแล้วก็ทำตัวดีมากเลยนะครับ”
ปีศาจ?
ว่าง่ายหรือ?
ทำตัวดีด้วยหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยสำลักออกมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงร่างไร้วิญญาณที่อยู่ในโรงแรมรูหนูแห่งนั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของเธอหรี่ลงทันทีขณะถามว่า ”เพื่อนใหม่ของลูกคือปีศาจตัวที่ว่านั่นหรือ”
เสี่ยวชิงเฉิงรู้ว่าเขาไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ไว้จากเธอได้อีก ดังนั้นจึงทำเพียงพยักหน้าเล็กๆ ของตัวเองขึ้นลง ”ใช่ครับ เขาบอกว่าเขาชอบเค้กช็อกโกแลตที่แม่ทำมากด้วยครับ หลังจากเราจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว ผมพาเขากลับบ้านด้วยได้ไหมครับ”
เมื่อได้ยินคำว่า ’เค้กช็อกโกแลต’ ใบหน้าที่เคยไร้อารมณ์ของไป๋หลี่ซ่างเสียก็มีอารมณ์บางอย่างปรากฏขึ้น เขาเบียดร่างเข้าหาเสี่ยวชิงเฉิงแล้วแนบหูเข้ากับหน้าจอโทรศัพท์
“ลูกพาเขากลับมาด้วยก็ได้ แต่การเจอหน้ากันครั้งแรกควรจะเป็นนอกบ้าน” เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่บนรถโทมาฮอว์ก พร้อมกับมองรางเหล็กที่อยู่ข้างๆ ส่วนท้ายของรถไฟที่หายเข้าไปในอุโมงค์นั้นยังสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ”แม่กำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกับลูก นักค้ามนุษย์คนนั้นจะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟขบวนอื่นกลางทาง พอถึงตอนนั้นพวกลูกต้องรีบลงจากรถไฟแล้วมารอแม่ที่ประตูเชื่อมสถานี แม่จะไปรับพวกลูกทั้งสองคนมา แต่ในระหว่างนั้น อย่าลืมจับตาดูปีศาจน้อยเพื่อนลูกให้ดีด้วยล่ะ อย่าให้เขาไปกินใครบนรถไฟได้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับ” เสี่ยวชิงเฉิงวางสายแล้วเงยหน้าขึ้นมองไป๋หลี่ซ่างเสียพร้อมกับบอกว่า ”เวยเวยคนสวยกำลังมา เธอจะต้องหาที่ซ่อนของคนไม่ดีพวกนั้นเจอแล้วแน่ๆ เธอน่าจะตามพวกเรามาเพื่อจัดการพวกมันพร้อมกับเรา”
ดวงตาสีแดงราวกับปีศาจของไป๋หลี่ซ่างเป็นประกายขณะถามว่า ”เธอหาที่ซ่อนของพวกมันเจอได้ยังไง”
“ตรวจสอบแป๊บเดียวก็รู้แล้ว” เสี่ยวชิงเฉิงพูดราวกับไม่ใส่ใจ
ไป๋หลี่ซ่างเสียเหลือบมองเขาพลางคิดกับตัวเองว่า : อย่าล้อเล่นเพราะเห็นว่าเขาเรียนหนังสือไม่เก่งเชียว มนุษย์มีความสามารถถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ยิ่งกว่านั้น คนธรรมดาไม่มีทางหาข้อมูลรถไฟของคนอื่นได้ แล้วนับประสาอะไรกับเส้นทางการเดินรถ
หลังจากวางสาย เสี่ยวชิงเฉิงจึงเอาโทรศัพท์กลับไปคืนให้พนักงานบนรถไฟ แต่เขายังเด็กมาก และตอนนี้ก็เลยเวลาที่เขาควรจะได้อาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอนไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกง่วงนอนอย่างเลี่ยงไม่ได้ระหว่างที่ยกมือเล็กๆ นั้นขึ้นมาขยี้ตา
ใกล้ๆ กันนั้นมีที่นั่งเสริมอยู่ที่หนึ่ง และมันเพิ่งจะว่างเมื่อครู่นี้นี่เอง แต่มันน่าจะถูกคนอื่นจับจองในสถานีถัดไป
ไป๋หลี่ซ่างเสียสังเกตเห็นอาการง่วงนั้น เขาจึงอุ้มอีกฝ่ายขึ้นนั่งบนที่นั่งนั้น แล้วยืนอยู่ที่ด้านขวามือของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ สามารถแตะต้องตัวเขาได้
พอขยี้ตาเสร็จ เสี่ยวชิงเฉิงก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงถามว่า ”นายอยากโทรบอกผู้ปกครองเหมือนกันหรือเปล่า”
โดยปกตินั้น ปีศาจน้อยจำเป็นต้องมีคนคอยจับตามอง พวกเขาถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาในโลกมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกยมทูตจากนรกพาตัวไป
ไป๋หลี่ซ่างเสียตอบอย่างไม่แยแสว่า ”ไม่จำเป็น ท่านพ่อคงไม่มีเวลามาสนใจฉันหรอก เขายังต้องตามหาท่านแม่อยู่”
“ท่านพ่อ ท่านแม่หรือ?” เสี่ยวชิงเฉิงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคำสองคำนั้นฟังดูคุ้นหูมากทีเดียว เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน แต่แม้จะพยายามเค้นสมองเท่าใด เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าได้ยินมันมาจากที่ไหน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า ”หลังจากเราจัดการคนไม่ดีพวกนี้ได้แล้ว นายต้องกลับบ้านไปพร้อมกับฉัน แล้วจากนั้นเราจะให้เวยเวยคนสวยบอกให้ท่านพ่อมารับนาย”
“เอาอย่างนั้นก็ได้” เด็กตัวน้อยทั้งสอง คนหนึ่งยืน คนหนึ่งนั่ง บางครั้งบางคราวก็เอ่ยปากสนทนากันเป็นระยะ
พวกเขาพูดคุยกันจนกระทั่งคนน้องผล็อยหลับไป ผ่านไปครู่หนึ่งศีรษะของเขาจึงซบลงที่ไหล่ของไป๋หลี่ซ่างเสีย ภาพนั้นทำให้เขาดูเหมือนลูกเจี๊ยบกำลังจิกหาอาหารไม่มีผิด