ไป๋หลี่ซ่างเสียกลัวว่าตัวเองจะทำให้จมูกเล็กๆ ของเด็กชายมีแผลได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว เขาโอบหลังเสี่ยวชิงเฉิงพร้อมกับใช้ไหล่ประคองคนตัวเล็กกว่าไว้
สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงระหว่างมองทิวทัศน์อันงดงามที่อยู่นอกหน้าต่าง ภาพนี้ทำให้ใบหน้าด้านข้างของเขายิ่งดูเย็นชาอย่างมาก
ริมฝีปากบางของเขาสั่นน้อยๆ แต่แทบไม่มีใครสังเกตเห็น
ภาพใบหน้าของเขาสะท้อนขึ้นบนหน้าต่างทันทีที่รถไฟวิ่งเข้าสู่อุโมงค์อันมืดมิด ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเขาดูเหมือนกำลังคุยกับใครสักคนอยู่
แต่เวลานี้คนในตู้โดยสารต่างก็เริ่มสัปหงกกันไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องนี้ ผ่านไปครู่หนึ่ง รถไฟทั้งขบวนก็ถูกจิตสังหารจากฝูงอีกาสีดำสนิทลอยเข้าปกคลุม ขนนกสีดำปลิวลงมาจากด้านบนของตัวรถไฟ เปลี่ยนรางเหล็กให้กลายเป็นสีดำราวกับน้ำหมึก
มันคือสัญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ บอกถึงการมาเยือนของปีศาจ
ไป๋หลี่ซ่างเสียเลิกคิ้วเล็กๆ ของตัวเองขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับพึมพำว่า ”ท่านพ่อมาจริงๆ ด้วย แถมยังเล่นใหญ่มากซะด้วย นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”
อีกากระพือปีกสองครั้งแล้วบินมาเกาะที่หน้าต่างรถไฟพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
ไป๋หลี่ซ่างเสียกลัวว่ามันจะปลุกเสี่ยวชิงเฉิง เขาจึงยื่นมือออกไปปิดหูเสี่ยวชิงเฉิงไว้พลางกระซิบว่า ”เข้าใจแล้ว ถ้าจบเรื่องเมื่อไหร่แล้วฉันจะไปหาท่านพ่อเอง พวกนายจับตาดูคนที่ยืนอยู่ข้างหน้านั่นให้ทีได้ไหม ฉันทำสัญลักษณ์ไว้บนตัวเขาแล้ว ดังนั้นนายน่าจะหาตัวเขาเจอได้อย่างง่ายดาย ดูเขาไว้ให้ดี อย่าให้เขาหนีไปได้”
อีกาบินบินขึ้นจากหน้าต่างทันทีที่ได้รับคำสั่ง แต่พวกมันก็ยังอยู่ใกล้กับรถไฟขบวนนั้น พวกมันบินเป็นวงกลมรอบตู้โดยสารราวกับกำลังมองหาใครบางคนอยู่ ภาพนั้นดูแปลกประหลาดอย่างมาก
พนักงานบนรถไฟเห็นพฤติกรรมของพวกมัน เขาจึงรีบส่งข้อความบอกคนควบคุมรถอย่างรวดเร็ว
“อีกาพวกนี้มาจากไหนตั้งมากมาย”
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ แม้แต่ทฤษฎีสุดท้ายที่คนควบคุมรถคิดอยู่ในใจก็ยังฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ”สงสัยตอนที่รถไฟเข้าอุโมงค์ เสียงรถคงจะไปทำให้พวกมันตื่นขึ้นเป็นเรื่องปกติ พอเราไปถึงอุโมงค์ถัดไป เดี๋ยวพวกมันก็คงจะหายไปเอง แต่ถ้าไม่ มันก็ไม่ได้แปลกอะไรนัก พวกมันอาจจะแค่สนใจในของที่เป็นประกายอย่างมาก ดังนั้นพวกมันก็เลยบินตามรถไฟมา”
โดยปกติแล้วคำอธิบายพวกนี้มักจะถูกใช้เพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้ฟัง
คนธรรมดาคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ผู้ควบคุมรถรู้ดี
เมื่อใดที่มีอีกาฝูงใหญ่ปรากฏขึ้นใกล้กับรถไฟหลังจากผ่านอุโมงค์มา ย่อมหมายความว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
แต่การอยู่บนพื้นดินนั้นแตกต่างจากการควบคุมเครื่องบินบนฟ้าลิบลับ ตราบใดที่พวกเขารอบคอบระมัดระวัง พวกเขาย่อมสามารถรับมือกับสถานการณ์นั้นได้
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายังรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้
คนทุกคนในตู้โดยสารต่างพากันตื่นเต็มตา พวกเขาชะโงกหน้ามองภาพแปลกประหลาดนอกหน้าต่างนั้นตาไม่กะพริบ พวกเขาไม่เคยเห็นอีกาจำนวนมากขนาดนี้รวมฝูงกันมาก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าท้องฟ้าค่อนข้างมืด ป่านนี้หลายคนคงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้แล้ว ภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ใช่ว่าจะหาดูกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน!
ในเวลาเดียวกันนั้น นักค้ามนุษย์ก็ตื่นแล้วเหมือนกัน ศีรษะของเขายังพิงอยู่กับประตูของตู้โดยสาร และเมื่อเขาเหลือบมองออกไปนอกกระจก เขาก็เห็นอีกาสีดำสนิทบินผ่านเขาไปตัวแล้วตัวเล่า เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน
ไม่รู้ทำไม แต่เขารู้สึกเหมือนกับว่าอีกาพวกนี้กำลังจ้องมองเขาอยู่
ใช่ มันเหมือนกับว่าพวกมันกำลังทำตามคำสั่งของใครบางคนและจับตามองเขาอยู่ไม่มีผิด!
นักค้ามนุษย์รู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเองอย่างมาก เขารีบสะบัดหน้าไปมาทันที ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้คงทำให้เขาหลอนไปเองแน่ๆ!
แต่เขากลับไม่สามารถทำให้ตัวเองสงบลงได้ ยิ่งหลังจากที่เห็นดวงตาแดงก่ำของอีกาเหล่านั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกความหวาดกลัวและความอึดอัดถาโถมเข้าใส่
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอีกาพวกนี้ถึงได้ดูคุ้นตานัก
สีตาของมันเป็นสีเดียวกันกับเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยนั่นไม่ผิด เจ้าคนที่เขาไม่ควรลักพาตัวมา!
ทันใดนั้นอาการอยู่ไม่สุขก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างช้าๆ นักค้ามนุษย์กระตุกยิ้มเย็นชาพร้อมกับหยิบยันต์ขึ้นมาแขวนไว้ตรงคอตัวเองทันที
ตอนนี้ในเมื่อรู้แล้วว่าปัญหาคืออะไร ถ้าลงจากรถไฟเมื่อไหร่ ฉันจะให้หัวหน้าชำระล้างเจ้าสิ่งสกปรกโสโครกพวกนี้ให้หมดเลยคอยดู!
ในไม่ช้า รถไฟที่มุ่งสู่เมืองอวิ๋นกุยก็มาถึงสถานี
นักค้ามนุษย์ไม่ได้รีบร้อนลงจากรถ แต่กลับจ้องมองอีกาที่บินอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ”พี่ใหญ่ ผมว่าผมถูกหมายหัวอยู่ครับ ไม่ครับ ไม่ใช่จากตำรวจ แต่เป็นจากเจ้าพวกสิ่งสกปรกพวกนั้นต่างหาก เจ้าสิ่งเหนือธรรมชาติพวกนี้จงใจขัดขวางการทำงานของพวกเราอย่างเห็นได้ชัด ถ้าพวกมันยังตามผมอยู่ ผมคงไม่มีทางเอาสินค้าขึ้นรถไฟได้แน่ พี่ใหญ่ช่วยบอกให้หัวหน้าร่ายคาถาอะไรสักอย่างใส่ผมทีได้ไหมครับ ผมจะได้กำจัดพวกมันให้หมดไปเลยทีเดียว!”
หลังจากได้ยินคำอธิบายของเขา คนที่อยู่ปลายสายจึงวางหูไป พี่ใหญ่คนที่นักค้ามนุษย์คนนี้โทรหาคืออันธพาลประจำท้องถิ่นของเมืองอวิ๋นกุย ทุกคนรู้จักเขากันในชื่อเหล่าลิ่ว ธุรกิจของเขามักจะเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าเด็กและผู้หญิง โดยปกตินั้นการเคลื่อนย้ายสินค้าขึ้นรถไฟไม่ใช่งานยาก เพราะต่อให้พวกเขาทำพลาดจนตกเป็นจุดสนใจของตำรวจ แต่พวกเขาก็สามารถตัดปัญหาเหล่านั้นทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยเหตุผลบางประการ คราวนี้องค์กรที่จับตามองพวกเขาอยู่จึงไม่ได้มีแค่หน่วยงานทางกฎหมาย แต่ยังมีมือที่สามเข้ามาตรวจสอบพวกเขาอีกด้วย เรื่องนี้ส่งผลให้เขาเสียผลประโยชน์ไป
เดิมทีนั้นเขาคิดว่าตัวเองอาจจะไปทำให้ใครไม่พอใจเข้า แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทนกับพวกมันอีกต่อไป เขาหมุนตัวแล้วเดินเข้าไปในห้องปฏิบัติธรรมที่อยู่บนชั้นสองทันที
ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญ เขาคงไม่กล้ามารบกวนเธอถึงที่นี่
แต่เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาจึงยื่นมือออกไปผลักประตูออก ในห้องนั้นมีผู้หญิงอายุสามสิบนั่งอยู่ เธอสวมชุดอินเดีย และสวมสร้อยลูกประคำจำนวนมากอยู่บนคอ เธอกำลังสอนเด็กคนหนึ่งอ่านหนังสืออยู่ มองจากด้านข้างแล้วเธอดูอ่อนโยนอย่างมาก แต่น่าแปลกใจที่เด็กคนนั้นกลับมีท่าทางหวาดกลัวและไม่อยากเรียนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ผู้หญิงคนนั้นกำปากกาลูกลื่นในมือแน่นเหมือนกำลังพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองอยู่ เธอหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเธอดูสะดุดตาอย่างมากตอนที่ผมสีดำยาวถึงเอวนั้นสยายลงมาถึงกลางหลัง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยพลังแห่งพระพุทธคุณตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเหล่าลิ่ว ก่อนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”มีอะไรหรือ”
“เกิดเรื่องขึ้นแล้วครับหัวหน้า ดูเหมือนเหล่าฉีจะเจอปัญหาเข้าให้แล้ว เขาบอกว่าเขาอาจจะถูกสิ่งเหนือธรรมชาติหมายหัวอยู่ครับ เจ้าตัวที่ว่าพวกนี้กำลังพยายามทำลายงานของพวกเราอยู่ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กจากครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวคนที่หัวหน้าต้องการจะ…” เหล่าลิ่วพูดอย่างลังเล เขาหวังว่าเธอจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเชื่อว่าบนโลกนี้มีผีหรือวิญญาณอยู่ และยังไม่กลัวพวกมันอีกด้วย จนกระทั่งวันที่เขาได้พบผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นเองเหล่าลิ่วจึงตระหนักได้ว่าบนโลกนี้ยังมีสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายด้วยตรรกะหรือวิทยาศาสตร์ได้อยู่ ยกตัวอย่างเช่นข่าวลือที่ว่ามีคนถูกสะกดจิตจนโดนลักพาตัวไปเพียงเพราะถูกแตะไหล่ซึ่งเคยแพร่สะพัดไปทั่วเมือง แต่ความลับที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ใช่ยาขนานพิเศษแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะยันต์เพียงแผ่นเดียว นอกจากนั้นเขายังได้เรียนคาถากำจัดวิญญาณและการเลี้ยงภูติผีมาจากเธอ ศาสตร์แต่ละแขนงนี้นับว่าทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
จนถึงวันนี้ เหล่าลิ่วก็ยังไม่รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของหัวหน้า แต่หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนี้ เขาก็สามารถทำเงินได้มากกว่าเดิมถึงสามเท่า!
ก่อนหน้านี้หน้าที่เดียวที่เขามีก็คือการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า เขาจะช่วยนักค้ามนุษย์อิสระในการซื้อขายเด็กๆ ที่พวกเขาลักพาตัวมา เขาสามารถทำเงินได้อย่างมากมายจากการทำงานเป็นตัวกลาง