คนที่จัตุรัสหันมามองพวกเธอหลังจากได้ยินเสียงตะโกนของหญิงชรา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองในความเข้าใจผิดของหญิงชรา เธอคงรู้สึกเหมือนถูกลมพัดตอนที่ล้มลงไป และคิดว่าสิ่งที่เฉี่ยวตัวเองคงเป็นรถจักรยานยนต์ของเฮ่อเหลียนเวยเวย
คนแก่มักจะชอบคิดไปเองเช่นนี้
ปกติแล้วการชี้แจงสถานการณ์ให้พวกเขาเข้าใจก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แต่มันยิ่งยากขึ้นเมื่อรอบๆ นี้ไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่เลย
ผู้คนที่เดินผ่านไปไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่เหมือนกัน พวกเขารวมตัวกันรอบๆ นั้นพร้อมกับคิดว่าเจ้าของรถโทมาฮอว์กคันนี้ยากจะหาเหตุผลมาแก้ตัวได้ และคงไม่สามารถเลี่ยงการไปโรงพักได้
ถ้าหญิงชราคนนี้เป็นคนในพื้นที่และมีเส้นสายละก็ เช่นนั้นสถานการณ์ก็คงยิ่งยุ่งยากขึ้นอย่างมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นค่อนข้างเหมือนที่พวกเขาคิด
ตำรวจสายตรวจที่จัตุรัสเข้ามาหาทั้งคู่เพื่อสอบถามข้อมูลของเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้น
เมื่อได้ยินคำปรักปรำของหญิงชรา จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยที่เงียบมาตลอดก็พูดกับตำรวจสายตรวจคนนั้นว่า ”ฉันต้องการให้คำพูดของตัวเองได้รับการบันทึกไว้ในเครื่องบันทึกเสียง”
ตำรวจสายตรวจคนนั้นชะงักไป เขาตั้งตัวไม่ทันกับคำพูดอันฉะฉานนั้น เธอดูเข้าใจขั้นตอนการทำงานตามมาตรฐานดียิ่งกว่าเจ้าหน้าที่เสียอีก
“ถ้าคุณไม่มีเครื่องบันทึกเสียง ฉันมี” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางหยิบแว่นตาที่ห้อยอยู่กับเสื้อกันลมขึ้นแล้วพับครึ่งจนเห็นไมโครโฟนอัดเสียงสีดำเด้งออกมา เธอหันไปมองหญิงชราแล้วถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”คุณคิดว่าฉันรีบพุ่งมาจากทางด้านหลังแล้วเฉี่ยวคุณจนล้มใช่หรือเปล่าคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ!” หญิงชราโมโหเมื่อได้ยินคำถามนั้น! ความจริงแล้วเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองล้มลงได้อย่างไร แต่ตรงหน้าของเธอมียานพาหนะจอดอยู่คันหนึ่ง และทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก ดังนั้นเธอจึงมั่นใจว่าคนที่ชนเธอล้มก็คือเฮ่อเหลียนเวยเวย!
เมื่อได้ยินคำตอบอันไร้เหตุผลนั้น แม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะคิดว่ามันช่างไร้สาระ แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังคงแผ่วเบา ”ฉันขอยืนยันกับคุณอีกครั้งนะคะ คุณคิดว่าฉันพุ่งมาจากด้านหลังของคุณ แล้วก็บังเอิญเฉี่ยวคุณจนล้มลง คุณมั่นใจในคำให้การนี้ใช่ไหมคะ”
ตำรวจสายตรวจคนนั้นสังเกตว่าเธอเน้นเสียงตรงคำว่า ”ด้านหลัง” อย่างจงใจ ที่เดียวที่เขาเคยได้ยินคนจงใจพูดเน้นคำพูดเช่นนี้มีอยู่แค่แห่งเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือที่ศาล
ไม่ผิดแน่ ทนายความในชั้นศาลมักจะซักผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยท่าทางเช่นเดียวกันนี้…
“ใช่! จะต้องให้ฉันพูดอีกสักกี่ครั้งกัน! ฉันเดินอยู่บนถนน ถ้าเธอไม่เฉี่ยวฉันจากด้านหลัง ฉันก็คงไม่ล้มหรอก ถึงฉันจะแก่ แต่ก็อย่าได้คิดเชียวว่าสมองฉันจะเลอะเลือน! ฉันรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” หญิงชรายังรู้สึกเวียนหัวจากการล้มนั้น แม้กระทั่งตอนนี้แขนของเธอก็ยังเจ็บอยู่เล็กน้อย สิ่งเดียวที่เธอต้องการก็คืออยากให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรับผิดชอบ!
แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะปิดเครื่องบันทึกเสียงแล้วยื่นมันให้กับตำรวจ จากนั้นจึงชี้ไปที่รถบีเอ็มดับเบิลยูโทมาฮอว์กของตัวเอง ก่อนจะชี้ไปที่หญิงชราตรงหน้าพร้อมกับพูดอย่างใจเย็นว่า ”หญิงชราคนนี้อ้างว่าคนที่เฉี่ยวชนเธอมาจากทางด้านหลัง หัวรถของฉันหันหน้าไปทางหญิงชราคนนี้ หากว่ากันตามหลักฟิสิกส์และสามัญสำนึกปกติเรื่องทิศทางแล้วมันย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่มีทางขับรถเฉี่ยวหญิงชราคนนี้จากทางด้านหลังได้อย่างแน่นอน เอาล่ะ ทีนี้ฉันไปได้หรือยังคะ”
หญิงชราที่กำลังลูบแขนช้ำๆ ของตัวเองถึงกับพูดไม่ออกทันทีเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้!
“เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนว่าฉันจะ…” หญิงชรานวดขมับตัวเองเหมือนยังไม่ยอมจบเรื่อง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบตัดบท พร้อมกับหัวเราะเยาะอย่างดูถูกว่า ”คุณยายคะ ฉันถามคุณสองรอบ แล้วคุณก็ตอบเหมือนเดิมทั้งสองรอบ หลักฐานทุกอย่างถูกบันทึกเอาไว้ในเครื่องบันทึกเสียงแล้ว คุณคิดจะบอกว่าตัวเองจำผิดหรือคะ”
คำพูดที่ยังไม่ทันได้พูดออกมาของหญิงชราชะงักอยู่ในลำคอ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
คนที่มามุงดูเริ่มพอจะเข้าใจสถานการณ์ได้รางๆ พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะใช้วิธีนี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ช่างอัจฉริยะจริงๆ!
โดยทั่วไปแล้วเหตุการณ์แบบนี้มีแต่จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะคำให้การหลังจากการสอบปากคำที่สถานีตำรวจมักจะเต็มไปด้วยข้อความคลุมเครือ ปกตินั้นความจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่เธอคล้ายจะมีความผิดแม้เพียงนิดเดียว เธอก็จะต้องถูกลงโทษทันที
ในสถานการณ์นี้ ต่อให้รู้สึกผิดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับหาหลักฐานที่สำคัญที่สุดได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามคำถามนั้นกับหญิงชราอยู่หลายครั้งเพื่อเผยให้เห็นช่องโหว่ในตรรกะของหญิงชราและนำความจริงออกมาตีแผ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีหลายคนที่เคยต้องคับข้องใจกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถคลี่คลายปัญหาลงได้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย ชายคนหนึ่งในฝูงชนถึงกับตะโกนขึ้นว่า ”ทำได้สวย!”
ตำรวจสายตรวจไม่เคยเห็นใครมีหลักการและเหตุผลเช่นนี้มาก่อน พวกเขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาตกตะลึง
เมื่อรู้ว่าตัวเองเข้าใจเฮ่อเหลียนเวยเวยผิด หญิงชราก็เงียบ แต่เธอก็ยังเจ้าทิฐิเกินกว่าจะยอมรับความผิดของตัวเองต่อหน้าสาธารณชน ดังนั้นเธอจึงพยายามหนีออกจากสถานการณ์ด้วยการกุมแขนตัวเองแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจแม้แต่จะปรายตามองเธอด้วยซ้ำ เธอไม่อยากเสียเวลาอยู่กับคนไร้ค่าพรรค์นี้
เธอรู้ว่าเธอคงไล่ตามชายคนนั้นไปไม่ทัน ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินไปยังจุดที่สร้างเขตอาคมขึ้นแทน จากนั้นเธอก็หยิบยันต์แผ่นนั้นขึ้นมาจากพื้น
ยันต์ดูไม่เหมือนยันต์ที่ขายกันตามตลาด เฮ่อเหลียนเวยเวยคุ้นๆ ว่าเคยเห็นยันต์แผ่นนี้ที่ไหนมาก่อน แต่เธอก็นึกรายละเอียดของมันไม่ออก
สิ่งเดียวที่เธอมั่นใจก็คือนี่ไม่ใช่ยันต์ธรรมดา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนตัวกลับก่อนเปิดใช้หูฟังบลูทูธ ”วานร ฉันได้ยันต์มาหนึ่งแผ่น หาต้นกำเนิดของมันให้ที” จากนั้นเธอก็หยิบไอโฟนออกมาถ่ายรูปความละเอียดสูงให้กับวานร
ในที่สุดวานรก็ได้รับโทรศัพท์จากเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาไม่ได้รีบตรวจสอบรูปทันที แต่กลับถามอย่างเป็นกังวลว่า ”ลูกพี่ ลูกพี่เจอนายน้อยหรือยังครับ ป่านนี้เขาต้องหิวแล้วแน่ๆ ถ้าผมได้ตัวคนร้ายมา ผมจะจับพวกมันถลกหนังทั้งเป็นเลยคอยดู!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป จริงสิ เสี่ยวชิงเฉิง…
“เวยเวยคนสวยไม่เคยสาย ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอแน่” เสี่ยวชิงเฉิงใช้มือเล็กๆ ถือถ้วยบะหมี่ที่ไป๋หลี่ซ่างเสียนำมาให้ เด็กชายไม่ได้กังวลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาใช้ปากเล็กๆ เป่าน้ำซุปร้อนสองครั้งก่อนจิบมัน ”น้ำซุปเนื้อ นายอยากชิมดูหรือเปล่า”
ทันทีที่ไป๋หลี่ซ่างเสียพยักหน้า เสี่ยวชิงเฉิงก็ยกถ้วยบะหมี่จ่อเข้าที่ริมฝีปากของไป๋หลี่ซ่างเสียอย่างเงอะงะ พร้อมกับส่งสัญญาณบอกให้ไป๋หลี่ซ่างเสียลองดื่มน้ำซุปดู
เด็กสองคนเอนศีรษะชนกันขณะนั่งอยู่บนบันใดทางออกพร้อมกับเพลิดเพลินไปกับน้ำซุปร้อนๆ ของบะหมี่ถ้วยนั้น ดูแล้วช่างเป็นภาพที่น่ารักอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ไป๋หลี่ซ่างเสียก็ช่วยพับแขนเสื้อให้เสี่ยวชิงเฉิงไปสองทบ ตอนที่เขากำลังจะพับแขนเสื้อของเสี่ยวชิงเฉิงเป็นครั้งที่สาม เฮ่อเหลียนเวยเวยก็วิ่งเข้ามาพอดี ตอนแรกเฮ่อเหลียนเวยเวยมองข้ามพวกเขาไปเพราะชุดของเฮ่อเหลียนชิงเฉิงและไป๋หลี่ซ่างเสียถูกเปลี่ยน แต่เมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยกำลังวุ่นวายอยู่กับชามบะหมี่ แต่ก็ยังยืนยันว่าจะป้อนเพื่อน เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คลี่ยิ้มออกมาแล้วเดินตรงเข้าไปหาพวกเขา…