ตอนที่ 894 สามีภรรยากลับบ้าน
ขณะที่ฟางจั๋วหราน เฉินเฟิง และคนอื่น ๆ ไปจัดการกับอาเฉียง เคอจื่อฉิงก็กลัวว่าหลินม่ายจะตื่นตระหนก จึงรีบตรงไปหาเธออย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ผ่านเข้าประตู เคอจื่อฉิงรีบยิงคำถามมากมายว่าหลินม่ายถูกทารุณกรรมอย่างไร้มนุษยธรรมระหว่างการลักพาตัวหรือไม่
หลินม่ายตอบปฏิเสธ
เธอไม่ได้โกหก
แม้ว่าลูกน้องของอาเฉียงจะอยากข่มเหงเธอแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ยอมนิ่งเฉย
ลูกน้องของอาเฉียงถูกเธอสกัดจนล้มลงพื้นก่อนที่จะได้เข้าใกล้
เธอไม่สามารถจัดการกับชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มได้ แต่หากเป็นลูกน้องเพียงคนเดียวย่อมไม่มีปัญหา
หลังจากที่หลินม่ายล้มลูกน้องของอาเฉียงคนนั้นลงพื้น เขาก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
เขาชักมีดพร้าออกจากเอวและตรงปรี่ไปที่คอของหลินม่าย
อย่างไรก็ตามตราบใดที่มีคนกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเส้นผมของหลินม่าย คนของเธอจะกวาดล้างกลุ่มอาเฉียงจนสิ้น และหากเธอตายตก พวกเขาจะไม่ได้รับเงินค่าไถ่แม้แต่หยวนเดียว
ก่อนจะได้รับเงินค่าไถ่ อาเฉียงไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น เขาจึงกำชับลูกน้องไม่ให้แตะต้องหลินม่ายจนกว่าเฉินเฟิงและคนอื่น ๆ จะนำเงินค่าไถ่มาให้
เคอจื่อฉิงกินทุเรียนไทยที่หลินม่ายซื้อมาฝากให้เป็นพิเศษและพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอควรฝึกศิลปะการป้องกันตัวต่อไป ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถปกป้องตัวเองได้”
หลินม่ายคิดแบบเดียวกัน และเธอวางแผนที่จะหาครูสอนพิเศษศิลปะการต่อสู้เพื่อเรียนรู้หลังจากกลับบ้าน
เคอจื่อฉิงถามอีกครั้ง “ตอนที่เธอถูกลักพาตัวมานี่ เธอกลัวไหม?”
“กลัวสิ แต่ฉันรู้ว่าจั๋วหรานจะหาทางช่วยฉันได้” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลินม่ายเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างมีความนัย “ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเธอกับอาเฟิงจะมาช่วยฉันด้วย”
“เราเป็นเพื่อนกันนี่นา หลังฉันกับอาเฟิงได้รับข่าว พวกเราก็รีบตรงมาที่นี่โดยเร็วที่สุด”
หลินม่ายกอดเคอจื่อฉิงอย่างรู้สึกขอบคุณ
ทันใดนั้นเธอฉุกคิดบางอย่างได้ จึงเดินไปหยิบสัญญาซื้อบ้านออกจากห้องนอนและส่งให้เคอจื่อฉิง “นี่ของเธอ”
เคอจื่อฉิงเช็ดมือให้สะอาดและรับสัญญาซื้อบ้านมาเปิดดู “ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย ทำไมถึงให้บ้านกับฉันล่ะ?”
หลินม่ายนั่งลงด้านข้างอีกฝ่าย “ฉันไม่ได้ให้บ้านเธอโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ ตอนที่เธอยังทำงานด้านศุลกากร ฉันต้องการซื้อบ้านในกว่างโจวให้เธอ ต่อมาเธอแต่งงานกับเฉินเฟิงและย้ายไปยังเมืองเจียงเฉิง ดังนั้นฉันจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องซื้อบ้านในกว่างโจวเพื่อเป็นของขวัญให้เธอแล้ว ดังนั้นฉันจึงตั้งใจยกห้องชุดในอาคารไท่อันให้เธอ ซึ่งมันอยู่ตรงข้ามกับห้องของฉันเอง”
เคอจื่อฉิงได้ยินแบบนั้นก็มีท่าทางสนใจ เธอจึงขอให้หลินม่ายพาไปดูห้องนั้น
หลินม่ายหยิบกุญแจและเปิดประตูฝั่งตรงข้าม
ทั้งสองเดินเข้าไป ก่อนที่หลินม่ายจะยื่นกุญแจบ้านให้เคอจื่อฉิง
เคอจื่อฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและรับกุญแจนั้นมา “อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องให้ห้องนี้เป็นของขวัญเลย ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีบ้านในฮ่องกงเสียเมื่อไหร่”
หลินม่ายกล่าว “สิ่งที่เธอมีเป็นของเธอเอง ส่วนสิ่งที่ฉันให้เป็นความรักที่ฉันมีต่อเธอ”
ทั้งสองเดินชมห้องพักหนึ่ง จากนั้นกลับมายังห้องของหลินม่าย
เคอจื่อฉิงกล่าวว่า ภายหลังตนจะขอให้ฟ่านฉางคงปล่อยเช่าบ้านของตัวเองที่ซื้อในฮ่องกง เพื่อที่จะมาอาศัยในห้องชุดที่หลินม่ายมอบให้
นอกจากนี้หล่อนยังพูดอีกว่า หากพวกเธอกลับมาฮ่องกงในอนาคต หล่อนจะนัดหมายหลินม่ายไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ครอบครัวเธอมาที่ฮ่องกงในเวลาเดียวกัน จากนั้นทั้งสองครอบครัวจะได้พักผ่อนด้วยกัน
เคอจื่อฉิงพูดคุยอย่างกระตือรือร้นขณะกินทุเรียน
แต่หลังจากที่เธอพูดคุยอยู่นาน กลับไม่เห็นว่าหลินม่ายตอบกลับสิ่งใด
เมื่อเคอจื่อฉิงหันศีรษะไปมองก็พบว่าหลินม่ายผล็อยหลับไปบนโซฟาแล้ว
ในช่วงที่ถูกลักพาตัว หลินม่ายไม่กล้านอนเลยแม้แต่นาทีเดียว และต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้ร่างกายเธอเหนื่อยล้ามาก
ตอนนี้เมื่อกลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบและปลอดภัย หากไม่ได้พูดคุยกับเคอจื่อฉิง เธอคงนอนหลับเหมือนหมูตายไปนานแล้ว
เคอจื่อฉิงกินทุเรียนชิ้นสุดท้ายที่เหลือ ขณะที่กำลังจะอุ้มหลินม่ายเข้าไปในห้องนอน ประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดออก
เป็นฟางจั๋วหรานและเฉินเฟิงที่เดินเข้ามา
ฟางจั๋วหรานเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า จึงพูดไปว่า “เดี๋ยวผมทำเอง”
เคอจื่อฉิงหยุดชะงักทันที
เฉินเฟิงมารับเคอจื่อฉิงกลับบ้านด้วยกัน
ทั้งคู่ทักทายฟางจั๋วหรานและขอตัวจากไป
ทันทีที่ฟางจั๋วหรานซ้อนตัวหลินม่ายขึ้น เธอก็ลืมตาขึ้นราวกับนกฮูก
ความระมัดระวังที่เกิดขึ้นระหว่างการลักพาตัวมีผลต่อเนื่อง
เมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งรบกวน แม้ในยามหลับใหลก็สามารถตื่นขึ้นได้ทันที
เมื่อเห็นว่าเป็นฟางจั๋วหราน หลินม่ายก็หลับตาลงอย่างสงบและหลับไปอีกครั้ง
ฟางจั๋วหรานวางเธอลงบนเตียงอย่างเบามือ ถอดเสื้อผ้าอีกฝ่ายออกและตรวจดูอย่างละเอียด
นอกจากบาดแผลเล็กน้อยบนร่างกายแล้ว ก็ไม่มีบาดแผลอื่นใดอีก
อาการบาดเจ็บเหล่านั้นอาจเกิดจากการกระแทกขณะถูกลักพาตัว
หลินม่ายไม่ได้รับการทารุณกรรมรุนแรง ในที่สุดฟางจั๋วหรานก็โล่งใจ
เมื่อหลินม่ายตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย เธอพบว่าพระอาทิตย์ได้ส่องสว่างกลางท้องฟ้าแล้ว
เธอตบหน้าผากด้วยความโกรธ “โอ้ย ฉันตื่นสายเกินไปแล้ว และพลาดเที่ยวบินตอนเช้า”
เธอหันไปบ่นฟางจั๋วหราน “ทำไมถึงไม่ปลุกฉันตอนที่คุณตื่นล่ะ”
ฟางจั๋วหรานโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน “ผมซื้อเที่ยวบินตอนบ่ายแล้ว มันไม่สายเกินไปหรอกที่เราจะกลับเมืองหลวงในตอนบ่าย”
หลินม่ายก่นด่าในใจ ก็เพราะมันสายเกินไปไม่ใช่หรือไง?
เธอขอครูที่ปรึกษาหยุดเรียนหนึ่งสัปดาห์ แต่เธอต้องล่าช้าเพราะการเสนอราคา รวมถึงการถูกลักพาตัว
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว เธอไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้กับครูที่ปรึกษาอย่างไรเมื่อกลับไป
ทั้งสองนอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่งจากนั้นก็ลุกขึ้น ออกไปดื่มชายามเช้าและไปเยี่ยมพี่หลงที่โรงพยาบาล
พี่หลงอยู่ในภาวะปกติและฟื้นตัวเร็วมาก เมื่อวานเขาทำได้เพียงนอนราบกับเตียง แต่วันนี้เขาลุกขึ้นนั่งได้แล้ว
ฟางจั๋วหรานขอให้เขาทำการทดสอบง่าย ๆ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
บอกอีกฝ่ายว่า เขาและภรรยาจะบินกลับบ้านในบ่ายวันนี้
สีหน้าของรองหัวหน้าเปลี่ยนไปในทันที และกำลังจะหยุดอีกฝ่าย แต่พี่หลงยกมือขึ้นห้ามปราม จากนั้นเขาอวยพรด้วยรอยยิ้มขอให้ฟางจั๋วหรานและภรรยาเดินทางอย่างราบรื่น
ฟางจั๋วหรานทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของเขาในโรงพยาบาลโหย่วเหอไว้กับพี่หลง ขอให้เขาติดต่อมาทันทีหากรู้สึกไม่สบาย หรือจะมาที่โรงพยาบาลโหย่วเหอเพื่อตามหาเขาก็ได้
เฉินเฟิงและภรรยาบินกลับสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เช้าตรู่ มีเพียงฟ่านฉางคงเท่านั้นที่พาพี่น้องไปส่งหลินม่ายและสามี
เมื่อสามีภรรยาปรากฏตัวในห้องนั่งเล่นของอาคารสไตล์ตะวันตก มันเป็นเวลาราวหนึ่งทุ่มและโต้วโต้วกำลังกินอาหารว่าง
หนูน้อยมีความสุขมากที่เห็นพวกเขา หล่อนวิ่งไปหาหลินม่ายเพื่อกอดและให้อีกฝ่ายอุ้ม
หลินม่ายอุ้มหนูน้อยขึ้นมาหอมแก้มและยกหล่อนสูงขึ้น
หลินม่ายอุ้มโต้วโต้วค้างไว้ได้เพียงสองนาทีก่อนจะต้องวางลง
เธอเกาจมูกเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ลูกโตขึ้นมากและน้ำหนักก็เยอะขึ้น แม่อุ้มลูกไม่ไหวแล้ว”
โต้วโต้วหัวเราะคิกคักและเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อทำการบ้าน
เมื่อเห็นว่าคู่หนุ่มสาวกลับมาอย่างปลอดภัย คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็โล่งใจ
ตอนที่ฟางจั๋วหรานออกไป เขาบอกทั้งคู่ว่าหลินม่ายตกอยู่ในอันตรายที่ฮ่องกง และเขาต้องไปที่นั่น
แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะโทรหาเมื่อวานนี้เพื่อบอกว่าวิกฤตได้รับการแก้ไข และหลินม่ายปลอดภัยแล้ว
ทว่าคู่สามีภรรยาชราไม่ได้เห็นหลินม่าย พวกเขาได้ยินเพียงเสียงของเธอผ่านโทรศัพท์ และยังคงกังวลอย่างมาก
ตอนนี้พวกเขาได้เห็นหลินม่ายยืนอยู่ต่อหน้าในสภาพที่ปกติดี คู่สามีภรรยาชรารู้สึกคล้ายกับได้ยกภูเขาออกจากอก
คุณย่าฟางขอให้น้าถูทำบะหมี่ชามใหญ่สำหรับฟางจั๋วหรานและภรรยาในมื้อค่ำนี้
ก่อนหันมาถามหลินม่ายว่าเกิดอะไรขึ้นในฮ่องกง ฟางจั๋วหรานจึงต้องรีบไปฮ่องกงอย่างรวดเร็วแบบนั้น
หลินม่ายไม่กล้าบอกความจริงกับคู่สามีภรรยาชรา แต่บอกเพียงว่าเธอถูกขัดขวางไม่ให้ซื้อที่ดินในฮ่องกง และฟางจั๋วหรานตามไปที่ฮ่องกงเพื่อช่วยเหลือ
คดีลักพาตัวของเธอได้รับการแก้ไขอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ต้องไปแจ้งตำรวจ
แม้แต่สื่อฮ่องกงที่ละเอียดอ่อนก็ไม่ได้รับข่าวใด ๆ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่การลักพาตัวของเธอจะถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์
และเป็นไปไม่ได้ที่ปู่ฟางและย่าฟางจะรู้เรื่องนี้ ทำให้หลินม่ายไม่กลัวที่จะโกหก
คุณปู่ฟางเชื่อคำของเธอ เขาเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “อย่ารบกวนจั๋วหรานบ่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องงานของหลานในอนาคต ให้เขาตั้งใจศึกษาโครงการใหม่ของเขาไปเถอะ”
ในสายตาของคุณปู่ฟาง การวิจัยทักษะทางการแพทย์มีความสำคัญมากกว่าการหารายได้ เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งโลก
ฟางจั๋วหรานต้องหยุดงานหลายวันเพื่อไปฮ่องกงครั้งนี้ คุณปู่ฟางจึงรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อนึกถึง
หลินม่ายพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด
ฟางจั๋วหรานต้องการปกป้องหลินม่าย แต่หากเขาปกป้องเธอ เขาก็ต้องพูดความจริง เมื่อครุ่นคิดเกี่ยวกับมันแล้ว เขาจึงปล่อยมันไป
เวลานี้น้าถูนำบะหมี่ใส่ผักชีและเนื้อตุ๋นมากมายวางบนโต๊ะอาหาร
ทันทีที่หลินม่ายหยิบตะเกียบขึ้นมาและกินบะหมี่ไปสองคำ น้าทังเดินลงมาจากชั้นบนโดยอุ้มมู่ตงตัวน้อยที่เพิ่งตื่นนอน
น้าทังพลันเห็นหลินม่ายและสามีนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร
หล่อนจับมือเล็ก ๆ ของเสี่ยวมู่ตงแล้วพูดว่า “เสี่ยวตงตง ดูสิ ใครเอ่ยกลับมาแล้ว?”
หลินม่ายรีบวางตะเกียบลงและชูมือไปทางเสี่ยวมู่ตง “ลูกจ๋า มาหาแม่มา”
เด็กน้อยเพิ่งตื่นนอน ดวงตากลมโตมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย
เมื่อได้ยินเสียงของหลินม่าย เขามองไปที่เธอด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
น้าทังอุ้มเขาไปหาหลินม่ายพลางชี้และบอกว่า “นี่คุณแม่ยังไงล่ะ”
หลินม่ายยื่นมือออกไปหวังจะกอดลูกชาย
แม่ลูกถูกแยกจากกันเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว ทำให้เธอคิดถึงมู่ตงตัวน้อยที่แสนนุ่มนิ่ม
เด็กน้อยจ้องมองหลินม่ายสักพัก แต่ก็จำเธอไม่ได้ ก่อนรีบหันไปกอดคอน้าทังแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้หลินม่ายอุ้ม
หลินม่ายจิ้มก้นของมู่ตงตัวน้อยและกล่าวว่า “ตงตงจำแม่ไม่ได้แล้วเหรอ”
มู่ตงตัวน้อยอารมณ์ไม่ดีที่ถูกหลินม่ายจิ้มก้น เขาส่งเสียงร้องประท้วงอยู่สองครั้ง
คุณย่าฟางเดินเข้ามาบีบแก้มอ้วน ๆ ของเด็กน้อยแผ่วเบา “ตอนแม่ของเหลนไม่อยู่ ก็ร้องไห้จ้าเรียกหาแม่ทุกวี่วัน แต่พอแม่กลับมา เหลนกลับไม่ยอมแม้แต่จะให้แม่อุ้ม”
หลินม่ายยังคงหยอกล้อเด็กน้อยและถามอย่างเป็นทุกข์ “ลูกของฉันร้องไห้หนักเลยเหรอคะ”
คุณย่าฟางพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ! ร้องไห้หนักจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด”
หลินม่ายรู้สึกเป็นทุกข์มากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอไม่คิดว่าลูกน้อยจะติดเธอมากขนาดนี้
โชคดีที่หลังจากเธอแหย่ทารกสักพัก เสี่ยวมู่ตงก็ยอมรับเธอ
หลังกินบะหมี่เสร็จแล้ว หลินม่ายจึงให้นมแก่มู่ตงตัวน้อย ขณะที่เด็กน้อยดูดนมเธอราวกับคิดถึง
ต้องขอบคุณไหวพริบของหลินม่ายในช่วงกว่าครึ่งเดือนในฮ่องกง เธอใช้เครื่องปั๊มนมที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อปั๊มนมและนวดอย่างสม่ำเสมอ
ไม่อย่างนั้นหลังจากไม่ได้ให้นมลูกนาน เธออาจไม่มีน้ำนมให้ลูกได้ดื่มกินแล้ว
หลินม่ายนึกขบขันอยู่ในใจ คำว่านมอยู่ที่ไหนก็มีแม่อยู่ที่นั่นเป็นความจริง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว ทีหลังไปแดนเถื่อนก็พาคนติดตามไปด้วยนะ อย่าไปคนเดียวแบบนี้อีก
ไหหม่า(海馬)