ตอนที่ 899 ฟางจั๋วเยวี่ยซูบผอม
เมื่อญาติคนนั้นได้ยินถ้อยคำ ใบหน้าก็พลันหมองคล้ำราวกับก้นหม้อ
หล่อนไม่เพียงคลายมือที่จับเสี่ยวเหวินออก แต่ยังผลักไสเด็กน้อยออกไป “ในเมื่อครอบครัวคุณเต็มใจเลี้ยงดูเด็กคนนี้ก็เอาไป ครอบครัวของเราจะไม่เลี้ยงดูเขา” สิ้นเสียง หล่อนก็หันหลังและเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางได้รับผลประโยชน์ตามที่คาดหวัง ญาติคนอื่น ๆ ก็รีบหนีไปเช่นกัน
หลินม่ายจับมือเสี่ยวเหวิน “เหมือนอย่างที่ฉันเพิ่งพูดไปเลย บอกแล้วว่าเธอไม่ต้องกังวล”
เสี่ยวเหวินผู้ไม่เคยยิ้มเลยตั้งแต่คุณยายจากไปพลันเผยยิ้มอย่างดีใจ
หลินม่ายขับรถพาเขากลับไปที่เมืองเจียงเฉิง พูดคุยกับเขาระหว่างทาง บอกว่าจะพาเขากลับเมืองหลวงเมื่อครอบครัวของเธอเดินทางกลับ
เสี่ยวเหวินก้มหน้าลงไม่พูดสิ่งใด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เอ่ยคำเบา “คุณอาครับ ผมอยากอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง ผมทำอาหาร ซักผ้า และทำงานบ้านอื่น ๆ เองได้ คุณอาไม่ต้องห่วงผมเลย”
หลินม่ายชำเลืองมองเขา “นี่คงไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงต่อ บอกฉันมาตามตรงเถอะ ว่าทำไมเธอถึงไม่ไปเมืองหลวงกับฉัน?”
เสี่ยวเหวินก้มหน้าลง พลางมีน้ำตาไหลอาบแก้ม “เมืองหลวงอยู่ไกลเกินไป ผมเกรงว่าคุณยายจะเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวในชนบท ถ้าผมอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง ผมจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของคุณยายที่ชนบทได้ตลอดเวลาในช่วงวันหยุด แล้วคุณยายจะไม่ต้องเหงาอีกต่อไป”
หลินม่ายตาแดงก่ำเมื่อได้รับฟัง “เธอกลับไปเยี่ยมคุณยายในชนบทช่วงวันหยุดฤดูหนาวและฤดูร้อนได้นะ ถึงคุณยายจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวใต้ดิน แต่คุณยายก็คงหวังเช่นกันว่าเธอจะอยู่ดีมีสุขและมีอนาคตที่สดใส”
เสี่ยวเหวินครุ่นคิดอยู่นาน และในที่สุดก็ตอบตกลงที่จะกลับไปที่เมืองหลวงพร้อมกับครอบครัวของหลินม่าย
ฟางจั๋วเยวี่ยโทรกลับมาที่บ้าน บอกว่าเขาจะไม่กลับเข้าไปรับประทานอาหารเย็นในช่วงค่ำ
เมื่อรู้ว่าหลินม่ายจัดงานศพให้คุณย่าเถียนเสร็จแล้ว และกลับมาพร้อมกับเสี่ยวเหวิน เขาก็เปลี่ยนใจทันทีและขอให้หลินม่ายคุยกับเขาผ่านโทรศัพท์
เขาทำตัวเหมือนเด็กน้อยคุยโทรศัพท์และขอให้หลินม่ายทำอาหารจานโปรด โดยบอกว่าเขาจะกลับบ้านหลังจากเลิกงานเพื่อกลับไปรับประทานอาหารเย็น
หลินม่ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายแค่บอกฉันมาเลยดีกว่า ว่านายไม่ชอบกินอะไร จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่พบว่ามีอาหารจานไหนที่นายไม่ชอบเลย”
ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้มอย่างเขินอาย
คุณย่าฟางแย่งโทรศัพท์จากหลินม่ายและดุฟางจั๋วเยวี่ย
บอกว่าตั้งแต่หลินม่ายมาถึงเมืองเจียงเฉิง เธอก็ยุ่งมากจนไม่ได้กลับบ้าน แล้วเขายังกล้ามาขอให้เธอทำให้จานโปรดให้อีก ทำไมถึงหน้าไม่อายขนาดนี้
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ฟางจั๋วเยวี่ยถูกคุณย่าฟางดุจนนิ่งเงียบไป คุณย่าฟางจึงกดวางสาย
แม้ว่าคุณย่าฟางจะไม่ต้องการให้หลินม่ายทำงานหนัก แต่หลินม่ายไม่ได้คิดว่าการทำอาหารเป็นงานหนักเลย ยังสนุกกับมันอีกด้วย
นอกจากนี้ตั้งแต่ฟางจั๋วเยวี่ยฟื้นตัว ทีวีที่เขาผลิตก็ขายดีมากในห้างสรรพสินค้าเพราะคุณภาพสูง
เพียงแค่นี้หลินม่ายก็ยินดีที่จะปรุงอาหารมื้ออร่อยเป็นรางวัลแก่เขา
แม้ว่าฟางจั๋วเยวี่ยจะแก่กว่าเธอหลายปี แต่ในสายตาของหลินม่าย เขาเป็นเหมือนกับน้องชายที่ชอบอาหารของเธอมาก
หลินม่ายแบกมู่ตงตัวน้อยไว้บนหลัง ขณะที่กำลังจะไปตลาดผักเพื่อซื้อวัตถุดิบ เธอถามโต้วโต้วว่าจะไปด้วยหรือไม่
โต้วโต้วเริ่มอวบอ้วน ทั้งอากาศข้างนอกยังร้อน หล่อนจึงไม่ค่อยอยากขยับตัว แถมมีเสี่ยวเหวินอยู่ที่นี่ ทำให้หล่อนมีเพื่อนเล่น และไม่อยากไปตลาดผัก
โต้วโต้วส่ายหัวและบอกว่าไม่ไป แต่ขอให้หลินม่ายซื้อผลไม้มาฝาก โดยอ้างว่าอยากนำมาเป็นของขวัญต้อนรับเสี่ยวเหวินพี่ชายคนใหม่
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “รู้นะว่าลูกอยากกินเอง แต่อ้างว่าจะเอามาเป็นของขวัญต้อนรับพี่เสี่ยวเหวิน~”
เมื่อถูกจับได้ โต้วโต้วก็แทบหยุดหัวเราะไม่ได้
หลินม่ายไปตลาดผักกับลูกน้อยของเธอ ซื้อวัตถุดิบมากมายแล้วกลับบ้าน
แน่นอนว่าเธอยังซื้อผลไม้มากมาย
โต้วโต้วล้างผลไม้และเชิญเสี่ยวเหวินกินเหมือนกับเขาเป็นแขกคนสำคัญ
หลินม่ายเตรียมสำรับที่เต็มไปด้วยอาหารรสเลิศ แต่ฟางจั๋วเยวี่ยยังไม่กลับมา
เธอกำลังจะส่งโต้วโต้วไปดูที่หน้าประตู แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของฟางจั๋วเยวี่ยจากด้านนอก “พี่สะใภ้ ผมกลับมาแล้ว คุณทำอาหารไว้ไหม?”
จากนั้นฟางจั๋วเยวี่ยก็ผลักประตูเข้ามา ซึ่งรูปลักษณ์ของเขาทำให้หลินม่ายตกใจอย่างมาก
เธอถามด้วยความตกใจ “จั๋วเยวี่ย นายไม่สบายหรือเปล่า? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”
ฟางจั๋วเยวี่ยลูบใบหน้าและตอบกลับด้วยความงุนงง “ผมสบายดี และร่างกายของผมก็ปกติ”
หลินม่ายพูดอย่างเคร่งขรึม “ปกติเสียที่ไหน นายดูผอมแห้งมีแต่หนังหุ้มกระดูก เป็นเพราะเราไม่ได้อยู่ที่นี่เคียงข้าง นายก็เลยไม่ได้กินอาหารดี ๆ หรือ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยเปลี่ยนรองเท้าและเดินไปยังห้องอาหาร เขามองจานอาหารมากมายบนโต๊ะด้วยดวงตาเป็นประกาย “คงเป็นแบบนั้นมั้ง อีกอย่างผมต้องสนใจกับการผลิตและการขาย จึงไม่ค่อยมีเวลากินอาหารดีๆ”
ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือออกไปหวังจะหยิบชิ้นไก่ขึ้นมากิน
หลินม่ายตีมือของเขาและพูดว่า “ล้างมือก่อนค่อยกินอาหาร นายโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หัดรักษาสุขอนามัยมากกว่านี้ได้ไหม?”
ฟางจั๋วเยวี่ยไปล้างมือ จากนั้นทุกคนก็รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
ขณะที่หลินม่ายกำลังรับประทานอาหาร เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฟางจั๋วเยวี่ยอีกครั้ง วางหมูสามชั้นตุ๋นพะโล้ที่เขาโปรดปรานและหูหมูมะนาวไว้ข้างหน้าเขา
ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้มให้เธออย่างมีความสุข
เมื่อเห็นเขาผอมจนแทบไม่มีเนื้อบนใบหน้า หลินม่ายก็ทุกข์ใจมาก เขาคงทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยกับโรงงานทีวี
หลินม่ายตักซุปไก่อีกชามให้เขาและบอกให้เขาดื่มในขณะที่ยังร้อนอยู่
ซุปไก่ของเธอใส่โสมอเมริกันซึ่งมีประโยชน์มาก
ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้มให้เธออีกครั้ง “ขอบคุณครับพี่สะใภ้ พี่สะใภ้ใจดีกับผมเสมอเลย”
หลินม่ายเอ่ยคำเบา “รีบกินเข้าเถอะ พี่สะใภ้ก็เหมือนกับแม่ ฉันควรดูแลนายให้ดี ดูนายสิ ผอมแห้งมากแล้ว คงทำงานอย่างหนักในโรงงานสินะ แม้จะได้เงินน้อยบ้างก็ไม่เป็นไร แต่นายไม่ควรโหมงานหนักขนาดนี้”
โต้วโต้วกำลังดูแลเสี่ยวเหวินราวกับนายน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หล่อนมองไปที่ฟางจั๋วเยวี่ยอีกสองถึงสามครั้งด้วยดวงตากลมโต ก่อนพูดออกมาว่า “คุณอาไม่สบายหรือเปล่าคะ เพื่อนร่วมชั้นของหนูป่วยและผอมลงเรื่อย ๆ หลังจากนั้นเขาก็ไม่มาโรงเรียนอีก”
หลังรับฟังถ้อยคำของเด็กน้อย พวกเขาทั้งหมดหันไปมองฟางจั๋วเยวี่ยด้วยสายตาเคร่งขรึม
โดยเฉพาะคุณย่าฟาง ในวันแรกที่นางมายังเมืองเจียงเฉิงแล้วเห็นสภาพหลานชายคนเล็ก ก็รู้สึกว่าเขาผอมลงอย่างมาก
แต่ฟางจั๋วเยวี่ยอธิบายว่าเป็นเพราะเขายุ่งกับงานมากเกินไป และมักดื่มกับลูกค้า จึงไม่ได้กินอาหารดี ๆ
หลานชายคนเล็กมีสุขภาพที่ดีเสมอ ดังนั้นคุณย่าฟางจึงไม่จริงจังเมื่อได้ฟังคำอธิบายดังกล่าว
ส่วนคุณปู่ฟางยิ่งไม่สนใจยิ่งกว่า เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยยังคงกินได้และวิ่งได้ เขาจึงไม่ได้ห่วงอะไรมากมาย
แต่ตอนนี้เมื่อโต้วโต้วพูดแบบนั้น คุณย่าฟางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นางเหลือบมองฟางจั๋วเยวี่ยเป็นครั้งคราวด้วยสีหน้ากังวล
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดออกไป “คุณย่าครับ ช่วยหยุดมองผอมแบบนั้นได้ไหม? ผมจะไม่กล้ากินข้าวต่อแล้ว”
คุณย่าฟางพูดด้วยความกังวล “ย่าจะให้พี่สะใภ้ของแกไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายในวันพรุ่งนี้ เพื่อดูว่าแกมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ทำไมถึงผอมได้ขนาดนี้?”
ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังกินหัวปลาพริกไทยสับอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อได้ยินคำของคุณย่า เขาจึงตอบกลับไปว่า “โอ้ย! คุณย่าครับ หยุดกังวลเกี่ยวกับผมได้ไหม? แค่เพราะผมน้ำหนักลดก็ไม่ได้หมายความว่าผมป่วยเสียหน่อย ถ้าผมป่วยจริง ๆ จะเจริญอาหารแบบนี้ได้ยังไง? ผมก็แค่เหนื่อยเท่านั้น”
คุณย่าฟางขมวดคิ้วขณะมองกองกระดูกที่เขาทิ้งไว้ตรงหน้า
คุณปู่ฟางเองก็ชำเลืองมองฟางจั๋วเยวี่ยเล็กน้อย “มันคงไม่ใช่อาการเจ็บป่วยหรอก ถ้าป่วยจริงจะยังกินแบบนี้ได้ยังไง ยายเฒ่า เลิกเป็นห่วงหลานเกินเหตุได้แล้ว มันจะกลายเป็นทำให้หลานลำบากใจ”
เมื่อได้ยินคำพูดของปู่ฟาง คุณย่าฟางก็รู้สึกโล่งใจ เพราะปู่ฟางเป็นเสาหลักในชีวิตของนาง
คุณย่าฟางกำชับกับฟางจั๋วเยวี่ยว่าอย่าทำงานหนักเกินไป และอย่าปล่อยให้ร่างกายโทรมตั้งแต่อายุยังน้อย
อย่างไรก็ตามหลินม่ายแอบคิดในใจ ที่ฟางจั๋วเยวี่ยลดน้ำหนักไปมากขนาดนี้ อาจมีเหตุผลมาจากความรักที่พังทลายของเขา
บางทีเขาอาจไม่ได้เป็นคนไร้ความกังวลและเบิกบานอย่างที่ทุกคนมองว่าเขาเป็น
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
น่าจะป่วยเป็นไข้ใจน่ะค่ะ ทำอย่างไรก็รักษาไม่หาย นอกจากให้กาลเวลาคอยเยียวยา
ไหหม่า(海馬)