สายลมแรงจากใบพัดของเครื่องบินทำให้ผมสีเงินบริสุทธิ์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยุ่งเหยิง เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟส่องสว่าง ผิวขาวสะอาดของเขายิ่งดูขาวเสียจนอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผีดูดเลือดชั้นสูงได้เลยทีเดียว
“ตำแหน่งตอนนี้ของรถไฟขบวนนั้นอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกราวกับสายลมเย็นกลางค่ำคืนในฤดูหนาว
พ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่งในเขตอวิ๋นกุยรับหน้าที่ต้อนรับเขา เขายกผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากด้วยนิ้วอันสั่นเทา เดิมทีชุดสูทที่เขาสวมอยู่ก็ดูไม่พอดีตัวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันกลับยิ่งยับยู่ยี่ยิ่งกว่าเดิมเพราะถูกกระแสลมพัดเข้าใส่ เขาเอ่ยตะกุกตะกักว่า ”มัน… มันน่าจะออกไปแล้วครับ”
“แล้วอย่างไร ฉันถามว่ามันอยู่ที่ไหน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแตกต่างจากพ่อค้าคนนั้น เขายืนหลังตรงโดยไม่สนใจกระแสลมเหล่านั้นแม้แต่น้อย เส้นผมของเขาที่ปลิวสยายอย่างงดงามอยู่ท่ามกลางลมกรรโชกแรงนั้นยิ่งทำให้เขาดูสูงศักดิ์อย่างมาก
เมื่อเขาได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามซ้ำเป็นครั้งที่สอง เขาก็ตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบอย่างนอบน้อมว่า ”ผม ผมคิดว่ามันน่าจะออก… ออกจากเขตอวิ๋นกุยและเข้าอุโมงค์ไปแล้วครับ สถานีปลายทางของรถไฟขบวนนี้คือที่ทิเบตเหนือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกวาดตามองเขาอย่างเย็นชา ขายาวของเขาเดินกลับเข้าไปในเครื่องบิน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า ”ระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของรถไฟขบวนนั้นให้ได้ ฉันอยากเห็นขบวนรถไฟในแปดนาที ไม่อย่างนั้น ผู้พันหลี่ คุณได้อยู่ที่นี่แล้วกลายเป็นอาหารของพวกมันแน่…”
พ่อค้าผู้มั่งคั่งคนนั้นตัวสั่นเล็กน้อย ใบหน้าของเขายิ่งดูซีดขึ้นอีกสองระดับเมื่อเห็นเงาสีดำที่ปรากฏขึ้นจากทางด้านหลังของชายหนุ่ม เขารีบร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัวว่า ”ไม่ต้องห่วงครับ! ผมทำได้แน่นอน! ผม… ผมทำได้แน่นอนครับ!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ตอบ แต่กระแทกประตูเครื่องบินปิดดังปัง
หน้าตาของเครื่องบินเจ็ตลำนี้ดูหรูหรายิ่งกว่าเครื่องบินพาณิชย์ลำใด
ในที่สุดพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะนุ่ม เขาหันกลับไปสั่งคนของตัวเองให้ทำตามคำสั่งนั้นทันที
แต่ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นยังดีไม่พอ
เขาสั่งให้คนโทรศัพท์หาเหล่าลิ่ว
พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นเศรษฐีของเขตอวิ๋นกุย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะรู้จักกัน พ่อค้าผู้มั่งคั่งคนนี้ต้องการเตือนเหล่าลิ่วไว้ล่วงหน้าว่าตอนนี้เขากำลังถูกบุคคลอันตรายหมายหัวอยู่ ดังนั้นเขาอย่าทำตัวให้เด่นเกินไปจะฉลาดกว่า
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แม้จะโทรอยู่นานแต่ก็ไม่มีคนรับสาย
พ่อค้าผู้มั่งคั่งสบถด้วยเสียงแหบแห้งว่า ”ทำไมล่ะเหล่าลิ่ว ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ”
เอาเถอะ ถือว่าฉันได้ทำในส่วนของตัวเองไปแล้วก็แล้วกัน
ยิ่งเขาเป็นห่วงอีกฝ่ายเท่าใด โอกาสที่ใครบางคนจะถลกหนังเขาทั้งเป็นก็ยิ่งมีสูงมากเท่านั้น
เหล่าลิ่วทำอะไรลงไป ทำไมถึงทำให้ผู้ชายคนนี้โมโหได้…
ในเวลาเดียวกันนั้น…
ที่ตู้โดยสารหมายเลขสิบเอ็ด เสี่ยวชิงเฉิงกำลังใช้ฝ่ามือเล็กๆ ของตัวเองคลานไปกับพื้นอย่างสุดความสามารถ เขาเงยหน้าขึ้นทันทีที่คลานออกมาจากใต้ที่นั่งได้ แต่บนผมของเขากลับยังมีเปลือกส้มติดอยู่
เสี่ยวชิงเฉิงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะตากลมๆ ของเขาจับจ้องอยู่ที่ไป๋หลี่ซ่างเสียที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาถามขึ้นด้วยความสับสนว่า ”นายมองอะไรอยู่หรือ”
“อากาศคืนนี้ชวนให้ฉันคิดถึงอดีตอย่างไรชอบกล” ไป๋หลี่ซ่างเสียหันหน้ามามองเสี่ยวชิงเฉิง เขายื่นมือออกไปอุ้มเด็กชายขึ้นมานั่งตักโดยไม่ลังเล แล้วเริ่มจัดผมให้กับเสี่ยวชิงเฉิง ใบหน้าของเขายังคงสงบเยือกเย็น แต่กลับดูมีความรับผิดชอบสมเป็นพี่ชายอย่างมาก ทุกคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พวกเขาต่างก็ใจอ่อนยวบกับภาพนี้ทันที
เสี่ยวชิงเฉิงรู้ว่าไป๋หลี่ซ่างเสียกำลังช่วยจัดผมให้เขา ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลงและลูบผมยุ่งๆ ของตัวเองให้กลับเข้าที่ เขามองตามสายตาของไป๋หลี่ซ่างเสียออกไปนอกหน้าต่าง แล้วจึงถามว่า ”อีกาดำพวกนั้นโผล่มาที่นี่อีกแล้วหรือ”
“พวกมันมากับท่านพ่อ” ไป๋หลี่ซ่างเสียปัดฝุ่นออกจากมือของเสี่ยวชิงเฉิง ”ฉันคิดว่าอีกไม่นานเขาจะต้องมาที่นี่เพื่อพาตัวฉันกลับไปอย่างแน่นอน”
เสี่ยวชิงเฉิงไม่กังวลเรื่องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เขาพูดต่อ ”เวยเวยคนสวยอยู่ที่นี่ ปล่อยให้พวกเขาเจรจากันแทนเรา หลังจากนั้นนายจะได้มาอยู่บ้านกับฉัน” เขาจะยอมแพ้เรื่องเลี้ยงปีศาจน้อยตัวนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร
“แต่ท่านพ่อของฉันไม่ใช่คนที่จะฟังใครนี่สิ” ท่านพ่อคนนี้มีข้อเสียมากมายให้ไป๋หลี่ซ่างเสียพูดได้ไม่รู้จบ ”เขาเป็นคนเผด็จการอย่างมาก แถมยังชอบทำร้ายร่างกายฉันเป็นการลงโทษอีกด้วย”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น อีกาดำตัวหนึ่งที่บินอยู่ใกล้ๆ ก็ถึงกับทรงตัวไม่อยู่จนพุ่งชนเข้ากับตัวรถ
รถไฟแล่นเอี๊ยด!
ล้อรถไฟหมุนอยู่บนราง พามันมุ่งเข้าสู่อุโมงค์ยาวแห่งหนึ่ง
รอบตัวของพวกเขาล้วนแต่ปกคลุมไปด้วยความมืด แต่เพราะอย่างนั้น เวลานี้จึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มเจรจา
ภายในตู้โดยสารที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องเสบียง เฮ่อเหลียนเวยเวยกับแอลเดินเข้ามาข้างในอย่างช้าๆ
ตู้โดยสารแห่งนั้นมืดมาก ความจริงแล้วต้องบอกว่ามันมืดผิดปกติ
คิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดเข้าากัน เธอยื่นมือออกไปขวางแอลด้วยสัญชาตญาณ เด็กนุ่มสวมหูฟังบลูทูธอยู่ในหู ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินอะไร แต่สภาพรอบตัวของพวกเขาในเวลานี้กลับเงียบจนชวนให้ขนลุกเลยทีเดียว
เหมือนกับว่าที่ที่พวกเขาอยู่นั้นไม่ใช่ตู้โดยสารของรถไฟ แต่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่ทอดยาวออกไป
คนทั่วไปคงแตกตื่นขึ้นมาแล้วหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันกับพวกเขา แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังคงสงบเยือกเย็น เด็กหนุ่มที่ชื่อแอลก็เช่นกัน เขากำปืนที่อยู่ในมือแน่น
ฟุ่บ!
ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีแสงไฟปรากฏขึ้นในคลองสายตาของพวกเขา แต่แสงอันแสบร้อนนั้นกลับส่องเข้าที่ใบหน้าของพวกเขาโดยตรง
“ดูหนูที่โผล่มาจากไหนไม่รู้พวกนี้สิ” เหล่าลิ่วคาบบุหรี่ไว้ในปาก พร้อมกับหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลังและหัวเราะออกมา ”ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี กิจกรรมในปีนี้จะแตกต่างจากปีที่แล้วเล็กน้อย เราได้เพิ่มกิจกรรมเข้ามาเพื่อสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับทุกท่าน รายละเอียดของกิจกรรมที่ว่านี้ยังรวมถึงการกำจัดหนูพวกนี้ทีละตัว พวกมันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเล่นอยู่กับใคร มาสั่งสอนให้พวกมันรู้กันดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่คิดจะพรากความร่ำรวยไปจากพวกเรา!”
ทันทีที่พูดจบ เหล่าลิ่วก็ยกปืนในมือขึ้นแล้วเล็งไปที่ศีรษะของเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับเอ่ยราวกับยั่วว่า ”ยิงตรงไหนก่อนดี”
“เหล่าลิ่ว ผู้หญิงสวยๆ แบบนี้ฆ่าไปก็น่าเสียดายแย่ ทำไมไม่ขายให้ฉันล่ะ ฉันน่าจะสอนอะไรดีๆ ให้เธอได้สักอย่างสองอย่าง” ชายอ้วนวัยกลางคนมองเธอด้วยสายตาโลมเลีย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ยื่นมือออกไป…
แอลก็ยกปืนขึ้นแล้วยิงใส่แขนเขาทันที!
เพราะปืนกระบอกนั้นมาพร้อมกับตัวเก็บเสียง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินแค่เสียงดังคลิกตอนเหนี่ยวไก แต่พลังของปืนกระบอกนั้นก็รุนแรงไม่ต่างไปจากปืนพกทั่วไป
ชายวัยกลางคนคนนั้นรู้สึกได้ถึงความปวดร้าวอย่างสุดแสนที่ฉีกกระชากไปทั่วร่าง เขาร้องครวญครางพร้อมกับกุมแขนข้างที่เจ็บของตัวเองแล้วล้มลงด้วยความเจ็บปวดจนแทบจะเป็นลม
คนที่เหลือก้าวถอยหลังทันที ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดด้วยความตกใจ พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะเอาปืนขึ้นมาด้วย!
ไม่ใช่แค่เศรษฐีพวกนั้น แต่แม้กระทั่งเหล่าลิ่วผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขตอวิ๋นกุยก็ยังหรี่ตาลง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจระหว่างจับจ้องไปที่แอล เพราะเวลานี้แอลกำลังเล็งปืนไปที่ศีรษะของเหล่าลิ่วหลังจากยิงกระสุนนัดแรกออกไป
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เป็นตายเท่ากันเช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกกังวลเป็นธรรมดา
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า ส่วนมืออีกข้างเล็งปืนไปยังเศรษฐีเหล่านั้น รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเธอราวกับว่าปืนที่เล็งอยู่ที่ศีรษะไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด จากนั้นเธอจึงยิ้มเยาะขึ้นว่า ”ตอนนี้สองต่อหนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไร ฝ่ายที่ชนะก็น่าจะเป็นพวกเรา”
เหล่าลิ่วคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดเช่นนั้นออกมา ผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเหมือนจะอายุน้อยกว่ายี่สิบหกปีด้วยซ้ำ แต่กระนั้นเธอกลับเยือกเย็นกว่าเขาอย่างมาก เขารู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมขึ้นมาปกคลุมหน้าผากได้อย่างชัดเจน
แต่ทันใดนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายแล้วกล่าวว่า ”แกคิดว่ามีปืนเพิ่มกระบอกเดียวแล้วจะหนีรอดไปได้หรือ ยังอ่อนหัดนัก นังหนู”