ตอนที่ 903 ป่วยหนัก
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เหมยจวินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ผมไม่เคยคิดเลยว่าประธานหลินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจะเชื่อสิ่งที่ผมพูดง่ายดายขนาดนี้ ธุรกิจร้านค้าของเราเป็นไปด้วยดีครับ ที่ผมสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่ง ทั้งหมดก็เป็นเพราะอิทธิพลจากคุณ”
หลินม่ายรู้สึกสับสน “อิทธิพลจากฉันเหรอ? ฉันแทบไม่ได้ติดต่อนายเลย แล้วนายจะได้รับอิทธิพลจากฉันได้อย่างไร?”
เหมยจวินตอบ “คุณลืมไปแล้วเหรอ สุนทรพจน์ที่คุณพูดที่โรงเรียนในช่วงปิดภาคเรียนฤดูหนาวของปีแรกตอนนั้น? คุณบอกว่าประเทศเราล้าหลังเกินไป โดนรังแกตลอด นักเรียนหัวกะทิของเราแต่ละคนต้องเรียนหนัก รับใช้ประเทศ และทำให้ประเทศแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นผมจึงต้องการสมัครมหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่ง ทำหน้าที่ส่วนของผมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของประเทศชาติ”
หลินม่ายได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกชื่นชมเขามาก
เหมยจวินพูดคุยกับหลินม่ายอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวคำลาเพื่อขอตัวจากไป
มันหายากที่เพื่อนร่วมชั้นเก่าจะมาที่บ้านและเป็นเวลาอาหารกลางวัน หลินม่ายจึงขอให้เขาอยู่กินข้าวเที่ยงก่อนออกไป
เธอขอให้เหมยจวินนั่งรอสักครู่ ขณะผละไปทำอาหารกลางวัน
เหมยจวินยืนกรานที่จะช่วยเธอและถามว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นศาสตราจารย์ฟางเลย
หลินม่ายบอกเขาว่า ฟางจั๋วหรานต้องทำงานล่วงเวลาในวันนี้
เหมยจวินพูดขึ้นว่า “การเป็นหมอนั้นยากจริงๆ!”
ที่โต๊ะอาหาร คุณปู่ฟางได้ยินว่าเหมยจวินกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่ง จึงให้กำลังใจเขาและกลัวว่าเขาจะได้กินอาหารไม่ดีพอ คุณปู่ฟางจึงตักผักให้เหมยจวินเพิ่ม
คุณปู่ฟางจิบไวน์เล็กน้อย แล้วเล่าถึงความอ่อนแอของกองทัพอากาศในช่วงสงคราม
พิธีสถาปนาประเทศมีเครื่องบินไม่พอ ผู้นำประเทศจึงบอกให้บินอีกรอบ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คุณปู่ฟางก็น้ำตาไหล ยกแก้วเหล้าขึ้นชนแก้วกับเหมยจวินพลางพูดว่า “อุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศเรา คงต้องปล่อยให้คนรุ่นหลังดูแลต่อไปแล้วล่ะ!”
เหมยจวินรีบยืนขึ้นและชนแก้วกับคุณปู่ฟางด้วยความเคารพ เขาพูดทั้งน้ำตาว่า “คุณปู่ฟางครับ วางใจได้เลย เราจะสานต่อปฏิญาณให้สมกับความไว้วางใจของคุณปู่”
หลินม่ายและคนอื่น ๆ ต่างก็มีดวงตาแดงระเรื่อ
หลังอาหารกลางวัน เหมยจวินพูดคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อขอตัวจากไป
คุณปู่ฟางส่งเขาที่หน้าประตูอย่างไม่เต็มใจ กำชับให้เขากินอาหารมีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
ร่างกายที่แข็งแรงเป็นทุนสำหรับการปฏิวัติ ด้วยสุขภาพที่ดีเท่านั้นที่จึงจะสามารถรับใช้มาตุภูมิของเราได้ดีขึ้น
หลินม่ายจับมือคุณปู่ฟางและบอกเขาด้วยรอยยิ้มว่า อาหารในมหาวิทยาลัยสำคัญ ๆ พัฒนาขึ้นมากแล้ว ดังนั้นคุณปู่ไม่ต้องกลัวว่าเหมยจวินจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
คุณปู่ฟางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดีมากเลย”
ปีนี้วันชาติอยู่ติดกับหยุดสุดสัปดาห์ รวมทั้งหมดสี่วัน ขณะนี้เหลือวันหยุดอีกหนึ่งวันเท่านั้น
หลินม่ายวางแผนที่จะพาครอบครัวไปเที่ยวไปยังจุดชมวิวในเขตชานเมืองของเมืองหลวง
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางแก่ตัวลงมากแล้ว หลินม่ายจึงหวังว่าจะพาพวกเขาไปเดินเล่นเพื่อเพลิดเพลินกับแม่น้ำภูเขาอันยิ่งใหญ่ของมาตุภูมิให้มากขึ้น
อีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกเขาอาจแก่เกินกว่าจะเดินได้ และเดินทางไม่สะดวก
ทั้งครอบครัวออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 3 และฟางจั๋วหรานเป็นเพียงคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ได้ไปด้วย
แต่หลังกลับจากการเดินทาง ฟางจั๋วหรานก็ไม่ปล่อยให้หลินม่ายพักผ่อนอย่างสงบ ก่อนที่พายุจะโหมกระหน่ำภายในห้องนอน
หลินม่ายที่กลายเป็นคุณแม่และไม่สามารถรองรับความปรารถนาอันร้อนแรงของฟางจั๋วหรานได้ เพราะร่างกายจะร้อนขึ้น
หากไม่ใช่เพราะหลินม่ายกัดริมฝีปากของเขาอย่างแรง เขาคงสู้จนถึงรุ่งสาง~
เสี่ยวมู่ตงมีอายุราวแปดเกือบเก้าเดือน และเริ่มกินอาหารเสริมได้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ดังนั้นหลินม่ายจึงไม่จำเป็นต้องให้นมเขาทุกชั่วโมง
ตอนนี้ป้อนนมเขาสี่ถึงห้าครั้งต่อวันก็เพียงพอแล้ว ถ้าเขาหิวอีกก็ให้ป้อนอาหารเสริมแทน
เสี่ยวมู่ตงกินจุ และยังชอบกินอาหารเสริมอีกด้วย
หลังจากวันชาติ หลินม่ายไม่ต้องพาเขาและพี่เลี้ยงเด็กไปโรงเรียนด้วยกันอีกต่อไป เธอแค่ต้องให้นมเขาหนึ่งครั้งในช่วงเช้า ช่วงเย็น และช่วงกลางคืน
อย่างไรก็ตามหลินม่ายไม่ได้เพิกเฉยต่อน้าทัง และเธอยังคงดูแลเด็กน้อยเต็มเวลา
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางแก่แล้ว เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะดูแลเด็กน้อย
ในตอนเย็นของวันนั้น หลินม่ายขี่จักรยานกลับบ้านมารับประทานอาหารกลางวัน กลับพบว่าคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไม่อยู่บ้าน มีเพียงคุณน้าสองคนและเจ้าตัวเล็กอีกสามคนเท่านั้นที่รอให้เธอกลับมารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
หลินม่ายอุ้มมู่ตงตัวน้องที่พยายามเดินเตาะแตะเข้ามาหาเธอ ก่อนหันไปถามน้าถูที่กำลังยกอาหารมาวางบนโต๊ะว่าคุณปู่กับคุณย่าไปไหน
ป้าถูตอบกลับ “ได้ข่าวว่าจั๋วเยวี่ยเป็นลมหมดสติกะทันหัน ผู้ช่วยอยากพาเขาไปหาหมอ แต่เขาเอาแต่ปฏิเสธ ผู้ช่วยของเขาจึงโทรหาคุณ แต่คุณไปเรียนอยู่ คุณย่าเลยรับสายแทน คุณปู่กับคุณย่าคุยโทรศัพท์อยู่นาน พยายามโน้มน้าวให้จั๋วเยวี่ยมายังเมืองหลวง เพื่อให้ศาสตราจารย์ฟางได้ตรวจร่างกายว่าเขาเป็นโรคอะไรหรือเปล่า ทว่าเขาก็ไม่ยอมมา คุณปู่กับคุณย่าจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องไปเมืองเจียงเฉิงเพื่อพาเขาไปรักษา ผู้อาวุโสทั้งสองเดินทางไปสนามบินเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่บนเครื่องบินแล้ว”
หลินม่ายตกใจ เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ซูบผอมของฟางจั๋วเยวี่ยครั้งล่าสุด เธอก็แอบคาดเดาในใจว่าเขาอาจเป็นโรคร้ายแรงบางอย่างหรือเปล่า?
เธอนึกโทษตัวเองที่สะเพร่าไม่รับฟังคุณย่าฟางและพาเขาไปหาหมอ
เธอรู้สึกเสียใจและเป็นกังวลจนแทบกินอะไรไม่ลง
สองวันต่อมาในช่วงบ่าย คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางกลับมายังเมืองหลวงพร้อมกับฟางจั๋วเยวี่ย
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหวังเหวินฟางและฟางเว่ยกั๋ว
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ หวังเหวินฟางถูกตัดสินจำคุกหนึ่งปีโดยรอลงอาญา
ในช่วงที่ถูกคุมประพฤติ หล่อนประพฤติตัวดีและไม่มีประวัติอาชญากรรม ดังนั้นหล่อนจึงได้รับการปล่อยตัวออกมาเร็วกว่ากำหนด
หวังเหวินฟางร้องไห้ตลอดทางจากเมืองเจียงเฉิงมาถึงเมืองหลวง ดวงตาบวมเป่งจากการร้องไห้ รูปร่างซูบผอม และผมบนศีรษะก็เริ่มมีผมหงอกแล้ว
ในตอนที่หลินม่ายไปเมืองเจียงเฉิงเพื่อจัดการงานศพของคุณยายเถียนในกรกฎาคม เธอบังเอิญเจอหวังเหวินฟางบนถนนครั้งหนึ่ง
แม้จะไม่อยู่ดีมีสุขเหมือนก่อนหย่า แต่หล่อนก็ยังดีกว่าคนอื่น ๆ อีกหลายคน ตรงที่ยังแต่งตัวและดูแลตัวเองได้ค่อนข้างดี
หล่อนจึงดูมีอายุน้อยกว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่มีผมหงอกแม้แต่เส้นเดียวบนหัว
ตอนนี้กลับมีผมหงอกมากมายจนมองเห็นได้ชัดเจน แสดงว่าฟางจั๋วเยวี่ยป่วยหนักจริง ๆ และหวังเหวินฟางคงเป็นกังวลอย่างมากกระทั่งเส้นผมเปลี่ยนเป็นสีเทาในชั่วข้ามคืน
หลินม่ายมองไปที่ฟางจั๋วเยวี่ยที่ผอมแห้งจนเหลือเพียงหนังติดกระดูก ถามเบาว่าไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบสาเหตุของการเป็นลมกะทันหันแล้วหรือยัง
ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้มสดใสเช่นเคย “สาเหตุอะไรกัน? ผมก็แค่เหนื่อยจากการทำงาน พี่สะใภ้ คุณต้องทำอาหารอร่อย ๆ ให้รางวัลผมนะ”
เมื่อหวังเหวินฟางได้ยินสิ่งนี้ หล่อนก็ห้ามน้ำตาไม่ได้อีกต่อไป “ลูกเอ๋ย ลูกเป็นมะเร็งตับและยังบอกว่าสบายดีอีกได้ยังไง!”
ดวงตาหลินม่ายเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ว่ายังไงนะ นายเป็นมะเร็งตับได้ยังไง?”
หวังเหวินฟางต่อว่าหลินม่ายทันที “ที่เขาเป็นมะเร็งตับแบบนี้ก็เพราะเธอนั่นแหละ เพื่อให้โทรทัศน์ที่ผลิตขายดี เขามักดื่มหนักกับลูกค้าเสมอ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นมะเร็งตับ”
ใบหน้าของหลินม่ายซีดเซียวลงด้วยความรู้สึกผิด
ฟางจั๋วเยวี่ยขมวดคิ้วอย่างทุกข์ใจ “แม่ครับ หยุดโทษพี่สะใภ้ว่าหล่อนเป็นสาเหตุการเกิดมะเร็งตับของผมได้ไหม? ที่โรงงานมีผู้จัดการฝ่ายขาย ผมสามารถหลีกเลี่ยงการดื่มได้ตลอด เป็นผมเองที่อยากเมา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ผมจะไม่นึกถึงจืออวิ๋น นอกจากนี้ โรงงานผลิตโทรทัศน์ก็เป็นของผม ผมเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดหากมันขายได้ดี”
เมื่อเห็นว่าทำให้ลูกชายขุ่นเคือง หวังเหวินฟางก็ไม่กล้าต่อว่าหลินม่ายอีกต่อไป เพราะเกรงว่าความโกรธของหล่อนอาจทำให้เขาเสียใจและอาการทรุดตัวลง
ไม่ว่าหวังเหวินฟางจะนิสัยแย่แค่ไหน แต่หล่อนยังคงมีความรักของผู้เป็นแม่อยู่บ้าง แม้จะไม่มากนัก
หลินม่ายถามฟางจั๋วเยวี่ย “นี่นายป่วยมานานแค่ไหนแล้ว?”
ฟางจั๋วเยวี่ยตอบกลับเสียงเรียบ “ก็ไม่นานนักหรอก”
“มันผ่านมาครึ่งปีแล้ว ยังกล้าบอกว่าไม่นานอีก!” คุณย่าฟางสวนขึ้นด้วยความโกรธ
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางบอกหลินม่ายว่า เมื่อหกเดือนก่อนฟางจั๋วเยวี่ยมีอาการหน้ามืดเป็นลมบ่อยครั้ง
เขาไปโรงพยาบาลเพียงลำพังเพื่อตรวจร่างกาย กระทั่งรู้สาเหตุของการเป็นลมบ่อยครั้ง นั่นเพราะเขาเป็นมะเร็งตับ
เขาไม่ได้บอกใครและแอบกินยาเพื่อควบคุมอาการ
แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ก็เริ่มควบคุมไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นลมที่บ้านเมื่อสามวันก่อน
ประจวบเหมาะกับน้าหวงมีธุระที่บ้านและไม่ได้มาทำงาน
หากไม่ใช่เพราะผู้ช่วยของเขาต้องการติดต่อฟางจั๋วเยวี่ยเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง เช่นนั้นคงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นลมหมดสติ
ฟางจั๋วเยวี่ยป่วยเป็นมะเร็งตับ หลินม่ายไม่สามารถทำอะไรให้เขาได้ นอกจากแจ้งกับฟางจั๋วหรานว่าจั๋วเยวี่ยกลับมาบ้าน และเธอจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขากิน
ในชีวิตที่แล้วหลินม่ายเคยได้ยินว่าตะพาบน้ำมีสรรพคุณรักษามะเร็งตับ ดังนั้นเธอจึงจะไปตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อซื้อตะพาบน้ำ และคิดจะทำซุปตะพาบน้ำเพื่อบำรุงร่างกายของเขา
เมื่อเธอขับรถมายังตลาดสดฝูตัวตัวในเมืองทางทิศตะวันตกด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง สิ่งที่เธอเห็นก็คือทังอี้และภรรยากำลังทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตในตลาดสด
เหลยซิ่งภรรยาของทังอี้คว้าซังข้าวโพดขว้างใส่ทังอี้ราวกับมันเป็นระเบิดมือ ซึ่งพนักงานขายไม่มีโอกาสที่จะห้ามหล่อนได้ทัน
ตลาดสดตกอยู่ในความวุ่นวาย ลูกค้าจำนวนมากหยุดเลือกซื้อของ และกลายเป็นฝูงชนที่เฝ้ามองการต่อสู้
ใบหน้าของหลินม่ายหมองหม่นเป็นก้นหม้อ เธอตวาดออกไปทันที “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ทังอี้เห็นว่าหลินม่ายกำลังมาและหยุดต่อสู้กับเหลยซิ่งทันที
เหลยซิ่งฉวยโอกาสเตะต่อยเขา
หลินม่ายถามเสียงดัง “ผู้จัดการอยู่ไหน? หัวหน้ารักษาความปลอดภัยอยู่ไหน?”
ผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยปรากฏตัวทันที
หลินม่ายไม่พอใจอย่างมากและพูดกับหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยว่า “ปล่อยให้เกิดการตบตีกันแบบนี้ได้ยังไง ทำไมคุณถึงไม่ห้ามพวกเขาไว้?”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยตอบกลับไปว่า “ผมไม่กล้าครับ~ ถ้าผมควบคุมภรรยาของคุณทัง หล่อนอาจจะตายได้ และเราจะพบกับปัญหาใหญ่”
หลินม่ายถามอย่างเย็นชา “หล่อนจะตายเพียงแค่คุณควบคุมตัวหล่อนหรือไง?”
ไม่เพียงแต่ผู้จัดการและหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่พยักหน้ารัว แต่ยังมีพนักงานขายหลายคนที่พยักหน้าตามกัน
หลินม่ายชำเลืองมองทุกคนและถามอีกครั้ง “หล่อนจะตายเพราะพวกคุณควบคุมตัวได้ยังไง?”
ผู้จัดการชูข้อมือของเขาขึ้นมา “หล่อนจะใช้มีดกรีดข้อมือต่อหน้าเรา และเลือดก็จะพุ่งกระฉูดออกมาทันที”
เมื่อนึกถึงฉากที่น่ากลัวนั้น ผู้จัดการยังคงหวาดกลัวและใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด
หลินม่ายสั่งเสียงเข้ม “ควบคุมตัวเขาและภรรยาก่อน แล้วค่อยแจ้งตำรวจให้มาจัดการ”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยลังเล “แล้วถ้าภรรยาคุณทังจะทำร้ายร่างกายตัวเองอีกล่ะครับ?”
“งั้นก็ส่งตัวให้ตำรวจ”
หัวหน้ารักษาความปลอดภัยโบกมือและพาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองถึงสามคนไปควบคุมตัวทังอี้และภรรยาของเขา
เหลยซิ่งเห็นแบบนั้นก็รีบคว้ามีดออกมาทันทีและแนบลงที่ข้อมือซ้ายพลางพูดเสียงดัง “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามา!”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยมองกลับมาที่หลินม่าย หลินม่ายจึงบอกกับเขาว่า “จัดการต่อ!”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยและลูกน้องเขาเพิ่งเดินไปหาเหลยซิ่งได้สองก้าว หล่อนก็กัดฟันและใช้มีดกรีดข้อมือ ทำให้เลือดพุ่งออกมาทันที
หลายคนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ถอยหนีด้วยความตกใจ บางคนตะโกนขึ้นว่า “มีคนฆ่าตัวตาย! มีคนฆ่าตัวตาย!”
แต่เร็วเกินไปที่หล่อนจะตายตอนนี้
หลินม่ายสั่งให้หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยพาเหลยซิ่งไปโรงพยาบาลอย่างใจเย็น
แม้ว่าเหลยซิ่งจะน่ารำคาญ แต่ถ้าหลินม่ายไม่ช่วยหล่อนในทันที อาจเป็นหลินม่ายเองที่ถูกจับและต้องรับโทษทางอาญา
เหลยซิ่งถูกบังคับนำตัวส่งโรงพยาบาล
ขณะเดียวกันผู้จัดการตลาดก็รีบสั่งพนักงานให้ทำความสะอาดตลาดสด
ใบหน้าของทังอี้เต็มไปด้วยความลำบากใจ เขาขยับเข้ามาใกล้อย่างลังเลและกระซิบว่า “ประธานหลิน ผมขอโทษ…”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แง จั๋วเยวี่ยจะเก็บเรื่องเงียบแบบนี้ไม่ได้นะ อาการหนักขนาดนี้ ยังมีครอบครัวที่เป็นห่วงอยู่นะ
ยัยเหลยซิ่งนี่ก็หาเรื่องสามีไม่หยุด รักษาตัวเสร็จควรส่งบำบัดจิตด่วนอะ โตมาไงถึงได้เป็นแบบนี้
ไหหม่า(海馬)