เวลานี้ แม้แต่ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในรถไฟต่างก็ได้ยินเสียงอึกทึกที่ดังอยู่บนหลังคาอย่างชัดเจน พวกเขาจึงพากันแนบใบหน้าเข้ากับหน้าต่างเพื่อมองออกไปนอกขบวน
นอกจากนี้ รถไฟที่พวกเขานั่งอยู่ก็ยังเป็นรถไฟสายสีเขียวที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ขบวนในจีนแผ่นดินใหญ่ รถไฟของเขตอวิ๋นกุยก็เป็นหนึ่งในนั้น
มันแตกต่างไปจากรถไฟด่วนขบวนอื่นเพราะหน้าต่างของรถไฟสายสีเขียวสามารถเปิดได้
ผู้โดยสารอายุน้อยหลายคนไม่สามารถข่มความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ได้ พวกเขาจึงรีบเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกศีรษะออกไป
แต่พวกเขาก็ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกในทันที
“นั่นมัน… อะไรน่ะ”
“เครื่องบิน… นั่นมันเครื่องบินนี่”
“มีเครื่องบินลงจอดบนรถไฟ?! แกต้องเข้าใจอะไรผิดอยู่แน่ๆ!”
“ฉันไม่ได้สายตาสั้นนะโว้ย ถ้าแกไม่เชื่อก็มาดูเอาเองสิ!”
ความวุ่นวายในขบวนรถทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ แม้กระทั่งเด็กผู้หญิงก็พากันเกาะกระจกมองออกไปข้างนอก
กระแสลมจากใบพัดเครื่องบินทรงพลังเสียจนยากจะมองข้ามได้
ผู้โดยสารทุกคนบนรถไฟต่างหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงเว่ยปั๋วอย่างบ้าคลั่ง
ข้อความบนเว่ยปั๋วต่างออกมาในทำนองว่า ”เคยเห็นคนที่รวยขนาดเอาเครื่องบินส่วนตัวลงจอดบนรถไฟหรือเปล่า”
“คนที่ยืนอยู่ติดกับเครื่องบินดูสูงมากเลย เขาจะต้องหล่อสุดๆ ไปเลยว่าไหม!”
“มีใครสังเกตเห็นหรือเปล่าว่าวันนี้พระจันทร์ดูเต็มกว่าปกติ ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาของเครื่องบินหรอก คำถามสำคัญก็คือทำไมคนที่ขับเครื่องบินลำนั้นมาถึงไม่ใช่ฉันต่างหาก”
“ประธานจอมเผด็จการ! เขาจะต้องเป็นประธานจอมเผด็จการแน่ๆ!”
“ลองนับดูสิว่ามีใครในประเทศนี้บ้างที่จะมีเครื่องบินส่วนตัวเป็นของตัวเอง ถ้าเจ้าของเครื่องหน้าตาดี ฉันจะกระโดดออกไปจากรถไฟตอนนี้เลย!”
ข้อความบนเว่ยปั๋วของบรรดาชาวเน็ตจุดชนวนความตื่นเต้นให้กับทุกคนได้เป็นอย่างดี มันดึงดูดวามสนใจจากคนในท้องถิ่นได้ทันทีแม้จะไม่มีใครแจ้งเรื่องนี้กับพวกเขา
สื่อทุกช่องต่างรีบออกข่าวเรื่องนี้ในทันที แม้จะดึกมากแล้ว แต่เหตุการณ์นี้ก็มีแววว่าจะได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น
แต่ก็เพราะว่ามันดึกแล้วนี่แหละ
ผู้มีอำนาจส่วนท้องถิ่นจึงสามารถใช้มาตรการปิดกั้นไม่ให้หัวข้อข่าวเรื่อง ’เครื่องบินส่วนตัวลงจอดบนหลังคารถไฟ’ ถูกอัปโหลดลงไปก่อนที่ข่าวนี้จะแพร่สะพัดออกไปในวงกว้าง
พวกเขาออกประกาศชี้แจงอย่างเป็นทางการว่าสาเหตุของการลงจอดฉุกเฉินของเครื่องบินส่วนตัวลำนี้มาจากน้ำมันหมดกลางทาง ทั้งยังแนบแผนภาพที่จัดทำขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
ข้อความทั้งหมดบนเว่ยปั๋วที่ถูกผู้โดยสารบนขบวนอัปโหลดขึ้นไปก็ถูกบล็อกเอาไว้ด้วยเหตุผลหลายประการ
ทันทีที่สามารถควบคุมสื่อเอาไว้ได้ หน่วยงานบริหารในเครือข่ายจึงรีบต่อสายหาคนระดับสูงในเขตอวิ๋นกุยทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างเมื่อใบหน้าอันงดงามของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรากฏขึ้นบนหลังคารถไฟ
ขนนกสีดำปลิวลงมาแทบเท้าในทุกย่างก้าวที่เขาเดิน
เหล่าลิ่วรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขายื่นมือออกไปดึงลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาหาตัวเพื่อเป็นโล่มนุษย์พร้อมกับถอยหลังไปเก้าหนึ่ง
คนที่มากับเหล่าลิ่วคือผู้ชายที่ลักพาตัวพวกไป๋หลี่ซ่างเสียมา และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นี้มีเหตุวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นในตู้เสบียง เขาคิดว่าคนที่อยู่ตรงนั้นตั้งใจมาหาเรื่องพวกเขา ดังนั้นเขาจึงตะโกนขึ้นว่า ”แกกล้าดีอย่างไรถึงเอาเครื่องบินส่วนตัวลงจอดที่นี่ ไม่รู้หรือว่าใครเป็นเจ้าของรถไฟขบวนนี้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงเงียบ แต่จู่ๆ เขาก็ดึงมือออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างกะทันหัน
เงาสีดำที่ยืนอยู่ข้างเขายกปืนขึ้นประจำตำแหน่งไว้แล้ว ราวกับรู้ล่วงหน้าในสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ต้องการ
เขาไม่คิดที่จะชะงักมือเลยแม้แต่นิดเดียว
“ปัง!” เสียงปืนดังสะท้อนไปทั่วอากาศ
ชายคนนั้นยกมือขึ้นจับหน้าอกตัวเองพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
ทุกคนที่อยู่บนหลังคาถึงกับตัวแข็งอยู่กับที่ พวกเขามาได้สติเอาก็เมื่อตอนที่ชายคนนั้นล้มลงกับพื้น ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่รวยอย่างเดียว แต่ยังเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมืออีกด้วย
ใช่ ไม่ผิดแน่
ชายคนนี้เป็นคนที่ยากจะรับมืออย่างที่สุด!
คนของเหล่าลิ่วพกปืนกันมาก็จริง แต่บนจีนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ต่อให้พวกเขาจะเป็นคนจิตใจหยาบช้าเพียงใด พวกเขาก็ยังกลัวการถูกยิงอยู่ดี
ไม่เหมือนกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เห็นมนุษย์เป็นเพียงแค่อาหารรสชาติห่วย เขาสามารถยิงทุกคนได้ตามที่ใจต้องการ
เขาเล่นกับปืนในมือด้วยท่าทางสง่างาม ก่อนจะหันปลายกระบอกปืนไปยังชายร่างกายกำยำคนหนึ่ง
จากนั้นทุกคนก็ตระหนักได้ว่าเขาจะยิงใครก็ตามที่ขวางทางไปสู่ตู้โดยสาร
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เขาพร้อมยิงทุกคนที่เข้ามาขวางทาง
ชายหนุ่มต่างไปจากที่พวกเขาคิดเอาไว้ เขาไม่ได้ร้องขอความเมตตาหรือแสดงการขัดขืนรุนแรงแต่อย่างใด
แต่เขากลับสามารถจับกระสุนทุกนัดที่ยิงใส่ตัวได้อย่างไม่มีผิดพลาด
พวกเขาเปิดฉากกระหน่ำยิงเขาทันที
ปัง! ปัง! ปัง! กระสุนจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงคำรามผ่านอากาศ
ยิ่งกระสุนถูกยิงออกไปเท่าใด จำนวนคนที่ล้มลงข้างๆ พวกเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น
นักค้ามนุษย์ที่ลักพาตัวไป๋หลี่ซ่างเสียกับเด็กคนอื่นๆ มานอนนิ่งอยู่กับพื้นพร้อมเลือดที่ทะลักออกมาจากปาก และสติสัมปชัญญะที่เริ่มเลือนหายไป
มีใครบางคนพูดขึ้นว่า ”นายท่าน พวกเราระบุตำแหน่งของนายน้อยได้แล้วขอรับ เขาอยู่ในตู้โดยสารหมายเลขสิบ”
ทันใดนั้น รอยยิ้มอันเย่อหยิ่งและเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเย็นชาก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม รอยยิ้มนั้นทำให้คนที่เห็นตัวสั่นสะท้าน ”อยู่ที่นี่แล้วจัดการเก็บกวาดพวกมันซะ จะกินอย่างไรก็กินไป”
คนที่อยู่บนหลังคาเพิ่งสังเกตเห็นหมอกสีดำที่ลอยออกมาจากด้านหลังของชายหนุ่มได้ในเวลานี้นี่เอง ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งปรากฏขึ้นภายใต้ความมืดมิดนั้น ตาคู่นั้นราวกับสามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งได้
นักค้ามนุษย์อยากส่งเสียงกรีดร้องเมื่อเห็นอสุรกายตัวมหึมาเดินเข้ามาทางเขา แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถส่งเสียงออกมาจากลำคอได้ สิ่งเดียวที่ออกมามีเพียงเลือดที่ไหลโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการถูกกัดเป็นชิ้นๆ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่ลักพาคนมาผิดตัว โดยเฉพาะเด็กชายสองคนนั้น
เขาหันกลับไปมองยังประตูตู้โดยสาร แต่ก็พบว่าลูกพี่ของตัวเองไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
ความหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่ทุกเซลส์ในร่างกายของเขาราวกับคลื่นน้ำ ความพยายามอย่างมหาศาลในการคลานถอยกลับนี้ไม่สามารถช่วยให้เขาเอาตัวรอดจากการถูกกินได้
ค่ำคืนอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดดังที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดเอาไว้ เหล่าลิ่วเสี่ยงชีวิตแอบมองออกไป ก่อนจะรีบกลับเข้ามาในตู้โดยสาร สีหน้าของเขาดูย่ำแย่อย่างยิ่ง มือของเขาสั่นอย่างรุนแรงราวกับว่าเจ้าสิ่งที่อยู่บนหลังคารถนั้นทั้งอันตรายและเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง
เขาคว้าชายเสื้อของหารีติแล้วส่งเสียงร้องลั่นอย่างไม่คิดว่า ”หัวหน้าครับ ข้างนอกมีปีศาจ… ไม่ ไม่ใช่แค่ตัวเดียวแต่เป็นฝูง… มีปีศาจอยู่เป็นฝูงเลยครับ!”
“ใจเย็นๆ” หารีติบอก เธอรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าปีศาจตัวนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็คงไม่ได้แข็งแกร่งไปมากกว่าเธอ
ทันทีที่ได้ยินเสียงของหารีติ เหล่าลิ่วก็เริ่มนับว่ามีเศรษฐีกี่คนเหลืออยู่ในจำนวนผู้เห็นเหตุการณ์ เขาเงียบเสียงลง แต่ดวงตาของเขากลับดูตื่นตัวยิ่งกว่าที่เคย เขาหันปืนไปที่ประตูตู้โดยสารพร้อมกับจ้องมันด้วยสายตาไร้อารมณ์ เขาพร้อมเหนี่ยวไกทันทีที่มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้น
“เขาคงกลัวท่านพ่อของผมครับ” ไป๋หลี่ซ่างเสียเยาะขึ้นด้วยน้ำเสียงมีเอกลักษณ์ ”ท่านพ่อไม่ได้หน้าตาดีอะไรขนาดนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …นอกจากจะเป็นคนสารเลวแล้วยังหน้าตาไม่ดีอีกหรือ หมอนั่นคงจบสิ้นแล้ว
“พูดถึงก็มาพอดี!” ไป๋หลี่ซ่างเสียหรี่ดวงตาสีเลือดของตัวเองลงพร้อมกับมองไปที่ประตูตู้โดยสารนั้น
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของบรรดาปีศาจ ร่างสูงราวกับภาพสะท้อนของยามราตรีอันหนาวเหน็บและอากาศอันบางเบาก็เดินเข้ามา ร่างนั้นค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาพวกเขาทีละก้าว…