บทที่ 884 ปรโลกน่าหวาดหวั่น ยอดฝีมือที่ตายไปแล้วทั้งหมดอยู่ในปรโลกหรือไม่?!
ตู้ม!
พลันมีเสียงอันน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นจากท้องฟ้าสูงขึ้นไป บรรพจารย์ฝูสั่นสะท้าน ก้นลงกับพื้น เบ็ดในมือเองก็ร่วงหล่นไปบนนอนที่พื้นเช่นกัน
“จบ...จบสิ้นแล้ว!”
เขาตัวสั่นระริก เอ่ยออกมาอย่างติดขัด สีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
เกิดอันใดขึ้น?!
เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกรรมจำนวนมากที่ตกลงมาใส่หัวของเขา!
ผลกรรมไม่อาจมองเห็น ไม่อาจสัมผัส ทว่าก็สามารถรับรู้ได้ไม่มากก็น้อย อย่างไรเสียขอบเขตของเขาก็ไม่ได้ต่ำต้อยจนเกินไป เป็นถึงบรรพจารย์เซียน ย่อมสามารถสัมผัสได้ว่ามีผลกรรมจำนวนมากมาถึงตัวของเขา
แต่…เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น
ไม่รู้ว่าผลกรรมเหล่านั้นคือสิ่งใด และไม่อาจสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดได้
ชั่วขณะนั้น เขาเกิดความคิดอยากตายขึ้นมา
นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!
เขารับรู้ได้ว่าผลกรรมเหล่านี้น่ากลัวมากเพียงใด ผลกรรมแต่ละสายที่ตกลงมาเกินกว่าที่ความสามารถของเขาจะรับได้ อีกทั้งยังมีจำนวนมากมายเป็นอย่างยิ่งที่ตกลงใส่หัวของเขา…
“ข้ามีทั้งคุณธรรมและความสามารถ จะดึงดูดผลกรรมน่ากลัวมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!”
เขาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
ผลกรรมหนึ่งสายเขาก็ไม่อาจต้านรับได้ ไม่ต้องพูดถึงการที่มีจำนวนมากถึงเพียงนี้เลย นี่ต้องการให้เขาตายไม่พอ ยังต้องการให้เขาตายอย่างอนาถ!
“&%¥#! ผู้ใดกันขุดหลุมใส่ข้าถึงเพียงนี้!”
เขาเงยหน้าขึ้นสบถสาปแช่ง ระบายความไม่พอใจออกมา
ไม่ต้องสงสัยเลย เขาจะต้องถูกคนขุดหลุมใส่ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาที่ปลีกตัวมาอยู่บนเกาะเพียงผู้เดียวจะสามารถดึงดูดผลกรรมอันน่าสะพรึงกลัวมากถึงเพียงนี้อย่างกะทันหันได้เช่นไร!
ตู้ม!
ตอนนั้นเอง อสนีบาตสวรรค์พลันพุ่งลงมาจากฟ้าสูงด้วยความเร็วอันไม่อาจจินตนาการได้!
บรรพจารย์ฝูเห็นเพียงแค่แสงสีทองสว่างวาบในดวงตา ก่อนที่สายฟ้าสีทองจะกระทบลงบนร่างของเขา ทำให้ทั่วทั้งด้านนอกไหม้เกรียนจนมีควันดำลอยออกมาจากร่าง
ชัดเจนว่าผู้ที่ขุดหลุมใส่เขาไม่อาจดูหมิ่นได้ มีพลังคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ เมื่อเขาเอ่ยสบถสาปแช่งออกไป พลังนั่นก็ลงโทษเขา!
พอลองคิดดูแล้ว การที่สามารถโยนผลกรรมน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ใส่เขาได้ คนที่ขุดหลุมใส่เขาจะธรรมดาสามัญได้อย่างไร?
ไม่มีทางเป็นไปได้
“กระทั่งสาปแช่งร้องทุกข์ก็ไม่อาจทำได้!”
เขาร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ทั้งน้ำตาน้ำมูกไหลออกมาจนเสื้อผ้าเปียกโชก
เขาช่างน่าเวทนาเกินไปแล้ว ต้องทนรับผลกรรมอันน่าสะพรึงกลัวมากมายถึงเพียงนี้ กระทั่งบ่นสบถด่ายังไม่อาจทำได้…
“ข้าตายแล้ว มีเรื่องก็เผากระดาษมา ไม่มีก็อย่าได้คิดถึง!”
เขาขุดหลุม ทำป้ายหลุมศพ ทั้งยังสร้างโลงเอาไว้ ก่อนจะฝังตัวเองลงไป
ผลกรรมน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ เขาย่อมไม่กล้าไปไหน ต้องการซ่อนตัวอยู่ด้านในโลงเพื่อดูว่าจะสามารถรอดพ้นไปได้หรือไม่
…
ณ เขาไท่หัว
“บรรพจารย์ฝูอย่างนั้นหรือ? พาข้าไปหาเขาเสีย ข้าต้องการจะสนทนากับเขา”
สีหน้าของชายหนุ่มสงบนิ่ง ไม่มีความหวาดเกรงอันใด
เขามีภูมิหลังที่ดี เบื้องหลังของเขาคือเทวโลก เช่นนั้นเขาจะหวาดกลัวได้อย่างไร?
ไม่มีทาง
“อ่า เจ้ายังเยาว์วัยเกินไป ไม่รู้จักบรรพจารย์ฝูก็ไม่แปลก”
หลี่จิ่วเต้าส่ายหัว
“ข้าอยากจะเอ่ยสักวาจา หากฝึกฝนแล้วไม่รู้จักนามบรรพจารย์ฝู แม้ว่าเจ้าจะฝึกเท่าใดก็เสียแรงเปล่า!”
เขาเปิดปากเอ่ยออกมาด้วยความหนักแน่น เปี่ยมด้วยความเชื่อใจในบรรพจารย์ฝู
บรรพจารย์ฝูคือตัวตนไร้เทียมทานมากที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ไม่มีผู้ใดทัดเทียม!
“แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น?!”
“หากฝึกฝนแล้วไม่รู้จักนามบรรพจารย์ฝู แม้ว่าเจ้าจะฝึกเท่าใดก็เสียแรงเปล่า! บรรพจารย์ฝูผู้นี้คือใครกันแน่?!”
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างหวาดเกรง
ผู้ที่หลี่จิ่วเต้าเคารพเลื่อมใส บรรพจารย์ฝูเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากที่ใดกัน?!
ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต่างเกิดความยำเกรงบรรพจารย์ฝูขึ้นมา
“พูดวาจาไร้สาระอันใด! ยังกล่าวแม้ว่าเจ้าจะฝึกเท่าใดก็เสียแรงเปล่า! กระทั่งประมุขแห่งสรวงสวรรค์ พระอมิตาภะพุทธเจ้า ปรมาจารย์เต๋าและยอดฝีมือคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาเช่นนี้!”
มารซินยิ้มหยัน ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของหลี่จิ่วเต้า
แม้อาจเป็นเรื่องจริงที่บรรพจารย์ฝูจะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่จะสามารถแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?
เขาไม่เชื่อ คิดว่าหลี่จิ่วเต้าจงใจพูดถึงบรรพจารย์ฝูเกิดจริงเพื่อข่มขวัญให้พวกเขาล่าถอย
“วาจามากเกินไปแล้ว…”
หวังจื้อเองก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน
“กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ มีประโยชน์อันใด? จงใจพูดเกินจริง หวังข่มขวัญผู้คน…จะเป็นไปได้อย่างไร วิธีการนี้ไม่เข้าท่ายิ่ง”
เขาส่ายหัว เขาจะเกิดความเกรงกลัวจนล่าถอยขึ้นมาอย่างง่ายดายได้เช่นไร ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มเองก็ยิ่งไม่เชื่อ
หลังจากฟังหลี่จิ่วเต้าเอ่ยจบ เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “อย่าวุ่นวาย เอ่ยวาจาให้สัตย์จริงขึ้นเสีย นี่ทำได้แต่เพียงให้เจ้าเป็นตัวตลกเท่านั้น”
“สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังคงเยาว์เกินไป วาจาเองก็ไม่มียั้ง ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หากเจ้ามีโอกาสได้พบกับบรรพจารย์ฝู จึงจะตระหนักได้ว่าคำพูดของเจ้าในตอนนี้โง่เขลามากเพียงใด”
หลี่จิ่วเต้ากล่าว “แต่ข้าเองก็เข้าใจได้ อย่างไรเสียเจ้ายังคงเป็นเด็กคึกคะนองนัก”
เขามองชายหนุ่มอย่างไม่ติดใจอันใด คิดว่าชายหนุ่มยังคงเด็กเป็นอย่างมาก
ทว่าเมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูชายหนุ่ม ก็สร้างผลกระทบเป็นอย่างมาก คิดว่าหลี่จิ่วเต้าจงใจดูหมิ่นเขา
อย่างไรเสียหลี่จิ่วเต้าก็ควรรู้ว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มจริงตามรูปลักษณ์ ทว่าหลี่จิ่วเต้ากลับเอาแต่เปิดปากบอกว่าเขายังเยาว์วัยเกินไป เป็นเด็กคึกคะนอง นี่ไม่ได้จงใจดูหมิ่นเขาอย่างนั้นหรือ?!
เขายังเด็กอยู่ที่ไหนกัน แต่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าอายุนับหลายพันล้านปีแล้ว
การที่เขายังคงรักษารูปลักษณ์ชายหนุ่มเอาไว้ก็เพราะยังคะนึงถึงวัยเยาว์และสัญญาที่มีให้ต่อคนผู้หนึ่ง…
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายเย็นเยียบ บนร่างเปี่ยมด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวแล่นไปทั่ว ปริภูมิเวลารอบด้านเริ่มบิดเบี้ยวแล้วหยุดนิ่ง
‘นี่ นี่…ช่างไม่เห็นปริภูมิเวลาอยู่ในสายตา! ถึงกับดึงเข้ามายุ่งเกี่ยว หากเปลี่ยนเป็นสถานที่ ดูเสียว่าเขาจะกล้าทำเช่นนี้หรือไม่!’
แมงมุมปริภูมิเวลาเอ่ยในใจด้วยความไม่พอใจกับท่าทางของเขา
ปล่อยลมหายใจรบกวนปริภูมิเวลาตามใจชอบ?
ทั้งยังเป็นสถานที่แห่งนี้
หากเปลี่ยนสถานที่แห่งอื่น ชายหนุ่มจะต้องจ่ายราคาชดใช้อย่างแน่นอน กองกำลังปริภูมิเวลาจะต้องมาเพื่อลงโทษชายหนุ่มอย่างรุนแรง
ทว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีกฎปริภูมิเวลา
นางรู้เป็นอย่างดีว่าปริภูมิเวลาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรบกวนพวกตน ไม่ยอมให้สิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือรบกวนปริภูมิเวลาตามใจชอบ
เนื่องจากสัตว์ประหลาดเฒ่าอาศัยอยู่ภายในธารปริภูมิเวลา ดังนั้นการรบกวรปริภูมิเวลาตามใจชอบจะส่งผลต่อสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้น
ปริภูมิเวลาสร้างกฎปริภูมิเวลาทุกอาณาจักรทั่วดินแดนทั้งหมด สาเหตุหลักก็เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตมารบกวนกับปริภูมิเวลาตามใจชอบ
‘สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นต้องการทำสิ่งใด? ตลอดเวลาเอาแต่ซ่อนตัวในธารปริภูมิเวลา ระแวดระวังตัวเป็นอย่างมาก…’
แมงมุมปริภูมิเอ่ยในใจ
ปริภูมิเวลาไม่ยอมให้สิ่งมีชีวิตอื่นรบกวน ทว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าด้านในมักท่องไปในธารปริภูมิเวลา คิดดูแล้วก็สามารถตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งไม่ธรรมดา สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นอาจมีแผนการใหญ่!
ตู้ม!
ชายหนุ่มลงมือ แสงอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งสู่ท้องฟ้า ด้านหลังปรากฏวิญญาณนับไม่ถ้วน ทั้งหมดต่างดูแล้วน่าหวาดกลัว แยกเขี้ยวปากอ้าออก มองดูก็แยกออกว่าเป็นผีร้ายในหมู่ผีร้ายตั้งแต่แรกเห็น
“ปรโลก!”
สีหน้าของสิ่งมีชีวิตหลังจากต่างแปรเปลี่ยน พวกเขาจะยังไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายหนุ่มเป็นคนของปรโลก!
วิญญาณหยินนับเป็นสิ่งต้องห้ามของปรโลก มีเพียงแค่ปรโลกเท่านั้นที่สามารถควบคุมมันได้ การที่ชายหนุ่มเรียกวิญญาณหยินจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มมีความเกี่ยวข้องกับปรโลกอย่างแน่นอน!
เป็นตาย หยินและหยาง ปรโลกลึกลับน่าสะพรึงกลัวเกินไป กระทั่งระดับพวกเขายังไม่อาจเข้าใจปรโลกได้
วิญญาณหยินแท้จริงคือสิ่งใดกันแน่!
ในมุมมองพวกเขา ความตายคือการสลายหายไปสิ้น หากมีความคิดหลงเหลือ ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นความตาย สามารถฟื้นคืนกลับมาใหม่ได้
ทว่าปรโลกทำสิ่งใด?
วิญญาณหยินด้านในแปลงมาจากคนตาย คนทั่วไปเรียกว่าผี พวกเขาเรียกว่าวิญญาณหยิน
เมื่อตายดับสูญไป ทุกสิ่งล้วนสูญสลาย เช่นนั้นจะกลายเป็นวิญญาณหยินได้อย่างไร?
วิญญาณหยินมาจากที่ใด?
ทุกอย่างล้วนไม่อาจวิเคราะห์ออกมาได้ มันซับซ้อนเกินกว่าที่ระดับพวกเขาจะเข้าใจ
ขณะเดียวกันก็ยังทำให้พวกเขาอดกริ่งเกรงต่อปรโลกไม่ได้
เนื่องจากในฉากหลัง เมื่อผู้แข็งแกร่งตายลงแล้ว จะกลายเป็นวิญญาณหยิน ถูกปรโลกพาตัวไป
เช่นนั้นพวกเขาจะไม่กลัวปรโลกได้อย่างไร
หากพวกเขาตายลงไป จะต้องตกเป็นของปรโลก ถูกควบคุมและกลายเป็นวิญญาณหยินของปรโลก
ยามปกติพวกเขาไม่ตายไม่ดับสูญ ไม่เสื่อมสลาย เป็นนิรันดร์ แต่นั่นก็เพียงแค่ในสถานการณ์ปกติเท่านั้น
หากเผชิญหน้ากับพลังที่เหนือกว่า พวกเขาเองก็สามารถถูกสังหารได้ ทว่าเพียงแค่ไม่ตายหรือดับสูญไปแต่โดยง่าย
ถ้าต้องการสังหารผู้แข็งแกร่งเช่นพวกเขา ก็จำต้องสังหารให้หมดสิ้น ตราบใดที่ยังมีร่องรอยเหลืออยู่เพียงนิด พวกเขาก็สามารถฟื้นคืนกลับมาใหม่ได้
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผยองถึงเพียงนั้น ที่แท้ก็มาจากปรโลก!”
มารซินยิ้มมุมปาก “ปรโลกมีพลังเช่นใดกัน? หากคนระดับพวกเราตาย นั่นย่อมหมายถึงทั้งหมดสลายหายไป แต่ปรโลกกลับสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นวิญญาณหยินได้ กลายเป็นอีกสถานะหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้เสียจริง…”
เขาเอ่ยต่อ “สิ่งมีชีวิตที่ถูกกองกำลังมืดมิดสังหาร สามารถกลายเป็นวิญญาณหยินได้หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริง ปรโลกจะน่ากลัวยิ่ง…”
ช่วงกาลอันยาวนานที่ผ่านมา มียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยได้ตายลง ยิ่งหลังจากกองกำลังมืดมิดปรากฏตัว ยิ่งมียอดฝีมือถูกสังหารมากขึ้น
หากสิ่งมีชีวิตที่ถูกกองกำลังมืดมิดสังหาร และถูกปรโลกพาไปเปลี่ยนเป็นวิญญาณหยินได้ นี่หมายความว่าผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่ตายไปต่างล้วนอยู่ในปรโลกไม่ใช่หรือ?!
เช่นนั้นปรโลกจะแข็งแกร่งปานใด?!
นี่…ยากจะจินตนาการถึงได้!
“เขาเองก็เป็นวิญญาณหยินด้วยหรือ? เป็นยอดฝีมือสะท้านโลกันตร์คนใด? ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างไม่อาจอธิบายได้ หรือว่าเขาจะมาจากนิกายของพวกเรา?!”
สีหน้าของหวังจื้อจริงจัง ความรู้สึกคุ้นเคยบางประการไม่เคยเลือนหาย
หลังฉากนั้นไม่ได้สงบสุขแต่อย่างใด เกิดการต่อสู้แย่งชิงตลอดเวลา ในการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือสะท้านโลกันตร์ย่อมต้องมีผู้ที่ร่วงหล่นลงไป
แม้จะมีอยู่ไม่มาก แต่ก็ต้องมีอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียเวลาที่ผ่านมาก็ยาวนานยิ่งนัก
จากนั้นเขาก็ดำดิ่งลงไปในห้วงความทรงจำ นึกถึงคนของนิกายที่ตายจากไป แล้วเปรียบเทียบคนเหล่านั้นกับชายหนุ่มเพื่อดูว่ามีตรงกันหรือไม่
“สู้กันในที่ไร้คนเถิด”
หลี่จิ่วเต้าโบกมือ เรียกกระบี่ฉุนจวินออกมาเบื้องหน้าทันที จากนั้นก็ขี่กระบี่ฉุนจวินทะยานออกไปยังสถานที่ที่ไร้คน
เขากลัวว่าการต่อสู้จะสร้างความเสียหายให้กับเขาไท่หัว และทำให้สิ่งมีชีวิตด้านในได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าบอกที่ไหนก็ต้องเป็นที่นั่นหรือ? สนามรบเป็นสิ่งที่เจ้าตัดสินใจได้หรือ? น่าขัน ข้าจะเป็นผู้ตัดสินสนามรบเอง!”
สีหน้าของชายหนุ่มไม่แยแส ไม่ยอมให้หลี่จิ่วเต้าตัดสินใจเลือกสถานที่ต่อสู้ เขาต้องการจะลงมือเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสนามรบ
ชายหนุ่มลงมือทันที วิญญาณนับไม่ถ้วนส่งเสียงโหยหวน หมอกสีดำพลุ่งพล่านเกิดเป็นม่านพลังวิญญาณหยิน ปิดผนึกสถานที่แห่งนี้เอาไว้อย่างรวดเร็วไม่ปล่อยหลี่จิ่วเต้าให้ออกไปได้
หลังจากนั้นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หลี่จิ่วเต้าเหยียบบนกระบี่ฉุนจวินพุ่งไปดังลำแสง ทะลุม่านพลังออกจากสถานที่แห่งนี้ไป
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนสลายไปในพริบตา ม่านพลังทลายลง ไม่สามารถหยุดหลี่จิ่วเต้าได้แม้แต่น้อย
“ตาย!”
สีหน้าของชายหนุ่มมืดมน พุ่งตรงเข้าใส่ในพริบตา เขามีความหยิ่งผยองในตนเอง รู้ดีว่าหลี่จิ่วเต้าไม่ต้องการต่อสู้ที่นี่ก็เพราะไม่ได้การให้สิ่งมีชีวิตอื่นได้รับผลกระทบ
เขาสามารถใช้สิ่งมีชีวิตในที่แห่งนี้บังคับให้หลี่จิ่วเต้ากลับมาต่อสู้ที่นี่ได้
แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้น ทั้งยังไม่คิดสนใจจะทำเสียด้วยซ้ำ!
“ปลายทางสุดท้ายของเจ้าคือปรโลก หยุดดิ้นรนเสีย ทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์!”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นชา
เขาต้องการสังหารลี่จิ่วเต้า แล้วนำวิญญาณหยินของหลี่จิ่วเต้าไปยังปรโลก!