ตอนที่ 909 ถ้าไม่อยากรื้อก็ไม่ต้องรื้อ
วันรุ่งขึ้น หลังเลิกเรียนในตอนบ่าย หลินม่ายขับรถไปที่โกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์
เจียวอิงจวิ้นรวบรวมชาวบ้านทั้งหมดไว้แล้ว และยังต้อนรับพวกเขาด้วยบุหรี่และชาอย่างดี
อีกทั้งยังพูดกับทุกคนอย่างจริงจังว่าบ้านของพวกเขาเก่ามากแล้ว
เปลี่ยนบ้านเก่าให้เป็นบ้านใหม่ ทุกสิ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลง แล้วยังมีมูลค่าเพิ่มด้วย นี่คือข้อตกลงที่ยอดเยี่ยม
ชาวบ้านตะโกนตอบว่า “ถ้าอยากจะให้พวกเราย้ายออก ง่าย ๆ เลยคือต้องจ้ายค่าพื้นที่บ้านหลังใหม่ในอัตราส่วน 1 : 1.5 เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเราไม่ยอมออก”
ใบหน้าของเจียงอิงอวิ้นกลายเป็นมืดมน
บ้านเก่าถูกเปลี่ยนให้เป็นอพาร์ทเมนต์ในทำเลเดียวกัน ค่าเช่าบ้านทั้งหมด และค่าใช้จ่ายในการย้ายบ้าน… ว่านทงกรุ๊ปยินดีจ่ายให้ทั้งสิ้น
แต่พวกเขายังต้องการอัตราส่วนชดเชยที่อยู่อาศัย 1 : 1.5 อยู่ ทำไมถึงไม่ไปร้องขอสิ่งนี้กับพระเจ้าเสียเองล่ะ?
เห็นว่าหลินม่ายกำลังมา เจียวอิงอวิ้นลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะเดินไปพบเธอแล้วนั่งลงเพื่อพูดคุย
เขากล่าวด้วยเสียงค่อย เผยท่าทางปวดหัว “หัวหน้าหลินครับ ชาวบ้านพวกนี้โลภมากกันจริง ๆ”
หลินม่ายถามเสียงแผ่ว “พวกเขายังไม่หยุดกันเหรอ?”
เจียวอิงอวิ้นตอบกลับหน้าเศร้า “หลังจากที่ผมคุยโทรศัพท์กับคุณเมื่อวาน ผมก็ไปพูดคุยกับชาวบ้านเป็นการส่วนตัว มอบผลประโยชน์ลับ ๆ เพื่อทลายช่องว่าง เช่นใครยอมย้ายออกก่อนจะได้รับรางวัลใหญ่ ก่อนหน้านี้ผมเคยมีส่วนร่วมในการกว้านซื้อที่ดินในหมู่บ้านซ่างฉวน และรู้วิธีเกลี้ยกล่อมพวกเขาทีละหลัง แต่ว่าด้วยความรู้ของผมแล้ว ที่นี่กลับไร้ประโยชน์ ครัวเรือนเหล่านั้นทำงานลำพัง ไม่สุงสิงกันนัก พวกเขาไม่ค่อยมีสัมพันธ์กันเลยไม่ยากที่จะพูดคุยกับพวกเขาทีละหลัง แต่ชาวบ้านพวกนี้อยู่หมู่บ้านเดียวกัน แล้วยังสามัคคีกันมากด้วย ทันทีที่ผมไปหาพวกเขาทีละคน พวกเขาก็พูดคุยกันและทำลายแผนของผมพังยับ พวกเขาสามัคคีกันมากจนผมรู้สึกว่าจะมีหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งนี้”
หลินม่ายครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะส่ายหัว “อืม ไม่น่าเป็นไปได้”
ถ้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านจริง ๆ ก็น่าจะโลภมากกว่านี้แน่นอน
ทันทีที่พวกเขามาพูดคุยเพื่อหาทางออกเป็นครั้งแรก พวกเขาเสนอมาตรฐานชดเชย 1 : 1.5 โดยตรงสำหรับการย้ายออก
เว้นแต่ว่าพวกเขาจะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่มีคนมาจุดประกายไฟต่อหน้าพวกเขาต่างหาก
ถ้าเป็นอย่างนี้ การจัดการก็สมควรง่ายขึ้น สุดท้ายแล้วถ้าติดสินบนพวกเขาด้วยเงิน ปัญหาก็จะไม่จบโดยง่ายเหรอ?”
เจียวอิงอวิ้นพยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ ผมจะลองดู”
“อืม” หลินม่ายพยักหน้า
ในเวลานี้ ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาอย่างกระวนกระวายใจ “คนแซ่เจียว คุณหมายความว่ายังไงที่เรียกพวกเรามาที่นี่ แต่กลับไปมุดหัวอยู่ตรงไหน?”
เจียวอิงอวิ้นกล่าวตอบไปว่า “ผมไม่มีสิทธิ์ตอบตกลงเงื่อนไขที่พวกคุณเสนอมา”
จากนั้นเขาชี้ไปที่หลินม่าย “หัวหน้าของเราอยู่ที่นี่แล้ว คุณหลิน พวกคุณสามารถคุยกับเธอได้”
ฝูงชนตะโกนเสียงดังก่อนหน้าหันมองหลินม่ายอย่างพร้อมเพียง เผยความประหลาดใจออกบนสีหน้า
โดยไม่คาดคิด ผู้นำของว่านทงกรุ๊ปจะเป็นผู้หญิง แล้วยังเด็กมากด้วย
หลินม่ายยืนขึ้นก่อนจะยกยิ้มใจดี เธอพูดกับชาวบ้านว่า “ตอนเดินเข้ามาฉันได้ยินคำร้องขอจากทุกคนแล้ว”
ชาวบ้านเหล่านั้นเห็นว่าหลินม่ายเป็นเพียงเด็กสาวจึงคิดข่มเหง พวกหล่อนตะโกนเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นก็รีบตอบตกลงซะ!” น้ำเสียงของพวกเขากลายเป็นข่มขู่
เจียวอิงอวิ้นโกรธมาก เขาอยากจะลุกออกไปทุบหน้าคนผู้นั้นให้จบสิ้นเสีย
แต่หลินม่ายกลับยิ้มหวานพร้อมกล่าวอย่างใจเย็น “ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ เราจะจ่ายในอัตรา 1:1 เท่านั้น และเรายังจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าขนย้ายซึ่งเป็นสิ่งที่เรายินดีจ่ายให้ ซึ่งมันมากพอแล้ว ไม่สามารถเพิ่มเติมได้อีก”
เธอปฏิเสธด้วยคำพูดที่เด็ดขาดทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนโยน
ชาวบ้านโกรธจัดทันที “งั้นพวกเราจะไม่ย้าย!”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อที่นี่คือบ้านเกิด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะย้ายออก ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณดี พวกคุณลังเลที่จะย้ายออกจากบ้านที่อาศัยอยู่มาตลอดชีวิต แม้ว่าบ้านหลังนี้จะทรุดโทรมหรือพังในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ตาม”
ทั้งชาวบ้านและเจียวอิงอวิ้นต่างตกตะลึง
ชาวบ้านถามว่า “ถ้าพวกเราไม่ย้าย แล้วจะสร้างได้ยังไง?”
หลินม่ายยิ้ม “โครงการจะดำเนินการต่อไป แต่ที่ดินของหมู่บ้านนี้เราจะไม่ยุ่งเกี่ยว”
ชาวบ้านอีกคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “หมู่บ้านของพวกเราครอบครองที่ดินตั้งมาก ถ้าคุณไม่ซื้อ คุณก็จะสร้างอาคารได้น้อยลง ไม่คุ้มค่าแน่นอน!”
หลินม่ายยังคงยิ้ม “แต่ถ้าฉันยอมรับเงื่อนไขของพวกคุณ ฉันจะสูญเสียยิ่งกว่าการไม่สร้างอาคารสักสองสามหลัง”
ชาวบ้านทั้งหมดกลายเป็นใบ้ทันที
หลินม่ายกล่าวต่อว่า “เรื่องนี้ถือว่าตกลงกันเสร็จสิ้นแล้ว เชิญแยกย้ายกันกลับได้ค่ะ ขอบคุณที่สละเวลา”
ชาวบ้านได้ยินอย่างนั้นถึงกับคอตก พวกเขาหันไปพูดคุยกันด้วยความหดหู่ใจก่อนจะแยกย้ายกันไป
ชาวบ้านบางคนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าเงื่อนไขที่พวกเขาเสนอมันมากเกินไปหรือไม่
มิฉะนั้นผู้นำของว่านทงกรุ๊ปถึงกับยอมยกเลิกการสร้างตึกในหมู่บ้านของพวกเขา และยอมรับที่จะสร้างอาคารน้อยลงด้วยแบบนี้หรือ
หลังจากชาวบ้านออกไปหมดแล้ว เจียวอิงอวิ้นถามหลินม่ายด้วยน้ำเสียงค่อย “หัวหน้าหลิน คุณจะยกที่ดินนี้ให้กับชาวบ้านจริงเหรอครับ? ที่ดินผืนนี้สามารถสร้างอาคารได้ตั้งห้าหลัง มันจะทำเงินได้มาก น่าจะดีกว่าถ้าเรายอมรับข้อเสนอของพวกเขาว่า 1:1.5 เท่า มันค่อนข้างจะขาดทุนสักหน่อยที่จะยกผลประโยชน์ชั้นหนึ่งและสองให้พวกเขาไป แต่เราก็ยังมีอีกสี่ชั้นเพื่อรับกำไรนะครับ”
เจียวอิงอวิ้นไม่ใช่ชาวบ้านที่จะถูกหลินม่ายหลอกเอาได้ โดยคิดแทนว่าอัตรา 1:1.5 นั้นหลินม่ายไม่ได้สูญเสียมากขนาดนั้น
ความจริงแล้วยังสามารถทำเงินได้ แต่มันเป็นเพียงว่ารายได้จะน้อยลงสักหน่อย
หลินม่ายตอบกลับอย่างไม่ปกปิด “ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น หลังจากนี้ชาวบ้านจะมาร้องไห้กับเราและขอเซ็นสัญญารื้อถอนทีหลัง”
เจียวอิงอวิ้นถึงกับเงยหน้าขึ้น “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะครับ!”
หลินม่ายเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “งั้นพนันกันไหมคะ ถ้าหลังจากนี้ชาวบ้านไม่มาขอเซ็นสัญญารื้อถอน ฉันจะให้เงินคุณ 1,000 หยวน แต่ถ้าเป็นไปถามที่ฉันพูด คุณต้องจ่ายเงินให้ฉัน 1,000 หยวน”
เจียวอิงอวิ้นยกยิ้ม “ผมจะกล้ารับเงินจากหัวหน้าได้ยังไงละครับ”
หลินม่ายมองเขาอย่างสดใส “รู้ได้ยังไงคะว่าจะชนะ? พรุ่งนี้ให้คุณไปหาคุณอวี๋เพื่อออกแบบพิมพ์เขียวใหม่ อย่าลืมอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง และยกเว้นที่ดินของหมู่บ้านนั้น”
เจียวอิงอวิ้นพึมพำรับปาก
หลินม่ายออกจากสถานที่ก่อสร้างและขับรถไปที่ซันไชน์พร็อพเพอร์ตี้เพื่อไปหาพนักงานขายหลู
เธอไม่มีเวลาไปเยี่ยมชมเรือนสี่ประสานสองวงที่อีกฝ่ายเคยแนะนำเลย
อย่างไรเสีย วันนี้ก็ยังไม่ถึงเวลากลับบ้าน ถ้าลองแวะไปดูลานบ้านหลังนั้นสักหน่อยก็คงจะดี เธออยากรู้ว่ามันคุ้มค่าจะซื้อหรือไม่
ธุรกิจตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่งานง่าย ๆ และพนักงานขายหลูก็แทบจะแห้งเหี่ยวจนเห็ดขึ้นร่างกาย เมื่อเห็นหลินม่ายเดินเข้ามา เขาลุกขึ้นด้วยความประหลาดใจ “คุณหลิน มาได้ยังไงครับ? มาดูบ้านใช่ไหมครับ?”
หลินม่ายพยักหน้ารับ “ค่ะ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองมาถึงลานบ้านที่แนะนำโดยพนักงานขายหลู
หลินม่ายมองลานบ้านตรงหน้าและคิดว่ามันก็ดูดีไม่น้อย แต่ราคาของมันสูงไปสักหน่อย
เวลานี้พนักงานหลูกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หัวหน้าหลิน ตอนนี้ราคาของลานบ้านอยู่ในจุดสูงสุดแล้วครับ ลานบ้านที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้ราคาสูงมาก ถ้าเป็นราคาอื่นเจ้าของบ้านไม่ต้องการขายครับ”
หลินม่ายยกยิ้มเล็กน้อย “ลองถามเจ้าของบ้านดูแล้วกัน ถ้าเขาตกลงก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไม่ตกลงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฉันไม่ได้ขาดแคลนลานบ้าน” หลังจากนั้นเธอก็ขับรถออกไป
พนักงานขายหลูอยากจะร้องไห้ออกมา ใช่สิ คุณไม่ได้ขาดแคลนลานบ้าน แต่ผมขาดแคลนยอดขาย…
หลินม่ายขับรถผ่านบ้านเช่าของตัวเอง เธอเข้าไปในบ้านเห็นว่าประตูลานเปิดกว้างอยู่ โคมไฟขนาดใหญ่ที่แขวนประตูติดสว่าง มีป้ายบอกเขียนไว้ว่า แลนเทิร์น อินน์
เธอหยุดรถก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน มีพนักงานเสิร์ฟในชุดสไตล์ยุโรปเดินไปเดินมา
เธอหยุดรถก่อนจะเดินขมวดคิ้วเข้าไปด้านใน เวลานี้บริกรทักทายและถามเธอว่า “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิงพักอยู่ที่นี่เหรอคะ?”
“ไม่ค่ะ ฉันมาที่นี่เพราะต้องการพบเจ้านายของคุณ เขาชื่อคุณเจียงหรือเปล่าคะ?”
คนที่เช่าบ้านของหลินม่ายเป็นคนแซ่เจียง
บริกรพยักหน้า “เจ้านายของเราสกุลเจียงจริง ๆ ค่ะ ฉันจะโทรหาเขาให้นะคะ”
ขณะที่วิ่งออกไป บริกรหันกลับมามองหลินม่ายด้วยความสงสัยหลายครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าเจียงก็วิ่งเข้ามา ชายคนนั้นคือคุณเจียงที่เช่าลานบ้านของหลินม่าย
เวลานี้หัวหน้าเจียงกลายเป็นอึดอัดเมื่อเห็นหลินม่ายปรากฏตัว
เขาไม่ต่างจากเด็กทำผิดแล้วถูกครูจับได้
หลินม่ายกวาดสายตาไปยังบรรยากาศโดยรอบก่อนจะพูดว่า “หัวหน้าเจียงคะ อธิบายเรื่องนี้ให้ฉันฟังหน่อยเถอะค่ะ?”
แม้จะมีการลงนามในสัญญาเช่าว่ามีข้อแม้ให้บ้านหลังนี้ใช้ประกอบอาชีพส่วนตัวได้ แต่ไม่สามารถใช้ในเชิงการค้าได้
หลินม่ายทำเช่นนี้ก็เพราะป้องกันบ้านเสียหาย
เวลานี้เห็นชัดแล้วว่าหัวหน้าเจียงกำลังใช้มันเป็นสถานที่เชิงพาณิชย์
หัวหน้าเจียงถึงกับกล่าวติดขัด “ถึงผมจะเปิดโรงแรมเล็ก ๆ ในบ้านของคุณ แต่มันก็ไม่มีอะไรเสียหายหรือเปลี่ยนแปลงเลยนะครับ”
“แต่คุณละเมิดสัญญาด้วยการใช้เป็นสถานประกอบการค่ะ” หลินม่ายกล่าวเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้เขาคาดหวังว่าวันนี้คงจะมาถึงในไม่ช้า หัวหน้าเจียงเตรียมรับมือกับเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อย่างนั้นผมเพิ่มค่าเช่าให้หนึ่งร้อยหยวนดีไหมครับ? เพื่อให้คุณใช้ลานนี้เชิงพาณิชย์”
หลินม่ายตอบกลับ “ฉันไม่ได้ขาดเงิน แต่ฉันกลัวว่าบ้านจะเสียหายค่ะ”
หัวหน้าเจียงเป็นคนฉลาด “งั้นค่าเช่าตามปกติ และเงื่อนไขเพิ่มอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าบ้านเสียหายเพียงเล็กน้อย ผมจะจ่ายชดเชยเป็นห้าเท่าของราคาตลาด แบบนี้ดีไหมครับ?”
เห็นว่าหัวหน้าเจียงเริ่มต่อรองด้วยค่าตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างนี้ หลินม่ายก็ผ่อนคลายลง
เธอขอให้หัวหน้าเจียงไปที่สำนักงานในตอนเช้าเพื่อลงนามในเงื่อนไขเพิ่มเติมนี้
แน่นอนว่าหัวหน้าเจียงย่อมยินดี
เขาเปิดโรงแรมในซอยนี้ ถึงจะลึกไปหน่อยแต่กิจการก็ดีมาก
หนึ่งคือราคาถูก และอีกอย่างคือนักท่องเที่ยวที่มาถึงเมืองหลวงต้องการอาศัยในลานบ้านสไตล์โบราณแบบนี้สักวันหรือสองวัน
เพราะอย่างนี้เขาจึงยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้หลินม่ายยึดบ้านคืนไป
หลินม่ายขับรถออกไปแล้ว มองป้ายที่แขวนอยู่ที่ประตูลานบ้านอีกครั้ง
เมื่อคิดว่านี่เป็นโฮมสเตย์แห่งแรก สุดท้ายแล้วหัวหน้าเจียงก็ค่อนข้างฉลาดจริง ๆ
หลังจากกลับบ้าน การประกาศข่าวภาคค่ำจบลง ฟางจั๋วหรานยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับเสี่ยวมู่ตงในอ้อมแขน
ทันทีที่เห็นว่าหลินม่ายกลับมาแล้ว จิตใจที่โหวงเหวงก่อนหน้าก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เมื่อหลินม่ายลงจากรถแล้ว เขาก็เอาแต่กล่าวถามซ้ำ ๆ “คุณกลับช้าจัง? หิวไหมครับ?”
หลินม่ายอธิบายไม่กี่คำกับฟางจั๋วหราน ก่อนจะคลำท้องไปมา “ดึกขนาดนี้ จะไม่หิวได้ยังไงละคะ?”
ฟางจั๋วหรานกลายเป็นทุกข์ใจ “ในเมื่อคุณหิว แล้วทำไมไม่รู้จักหาอะไรกินรองท้องล่ะ? รีบเข้าไปในบ้านเถอะ คุณย่าให้น้าถูเตรียมของดี ๆ ไว้เยอะแยะเลย”
พอเข้ามาในบ้านแล้ว น้าถูก็ยกกับข้าวที่เก็บไว้ให้หลินม่ายขึ้นโต๊ะทันที อาหารทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่เธอชอบ
หลินม่ายรับประทานอาหารเย็นค่อนข้างเยอะ ส่วนฟางจั๋วหรานใช้ทักษะการผ่าตัดเพื่อแกะกุ้งอยู่ด้านข้างให้เธอกินได้อย่างสะดวกสบาย
ทารกน้อยในอ้อมแขนของเขาตื่นเต้นก่อนจะร้องเสียงดัง ส่งเสียงว่าเขาก็ต้องการกินกุ้งด้วย
ฟางจั๋วหรานจูบศีรษะของเขาก่อนจะถามว่า “ลูกมีฟันแค่ซี่เดียว จะกินกุ้งได้ยังไง?”
ท้ายที่สุด คุณย่าฟางพาเสี่ยวมู่ตงออกไปพร้อมป้อนอาหารเสริมให้กับเขา เขาจึงยอมสงบลง
หลินม่ายนั่งในห้องนั่งเล่นก่อนจะถามคุณย่าฟางว่า “พี่เถาอยู่ไหนเหรอคะ?”
แม่เถาตอบกลับว่า “ฉันตุ๋นหมูสามชั้นไว้พร้อมกับทำซุปไว้ให้ หล่อนนำไปส่งให้จั๋วเยวี่ยแต่ยังไม่กลับมา และตอนนี้เฝ้าเขาอยู่ที่โรงพยาบาล”
คุณย่าฟางป้อนข้าวบดให้กับเสี่ยวมู่ตงก่อนจะกล่าวอย่างทุกข์ใจ “เด็กคนนี้นี่นะ จืออวิ๋นก็เป็นอย่างนี้เสมอ จั๋วเยวี่ยอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก หล่อนเข้าไปไม่ได้ ต่อให้จะเป็นบุคคลใกล้ชิดก็ตาม จึงทำได้แค่รออยู่ด้านนอก ทำไมถึงไม่กลับมาพักผ่อนที่บ้านนะ”
“บอกให้หล่อนกลับมาพักผ่อนที่บ้านเถอะค่ะ” หลินม่ายกล่าวขณะแกะกุ้งที่ฟางจั๋วหรานแกะเปลือกให้
เธอเห็นหวังเหวินฟางกำลังเดินลงจากบันไดจากหางตา
เห็นหลินม่ายเหลือบมองตนสองสามครั้ง หวังเหวินฟางกลายเป็นตื่นตระหนกโดยไม่มีเหตุผล
ชายชราสองคนถอนหายใจพร้อมกัน “เราเกลี้ยกล่อมหล่อนแล้ว แต่จืออวิ๋นไม่ฟังพวกเราเลย”
หลินม่ายอุทาน “โอ้” ก่อนจะหันมองหวังเหวินฟางด้วยความสงสัย เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เมื่อครู่เธอเพียงเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ ทำไมต้องทำสีหน้าตื่นตระหนกด้วย?
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางของหวังเหวินฟาง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คิดจะหัวหมอใส่ม่ายจื่อ ไม่รู้เลยว่าม่ายจื่อน่ะตัวแม่ เล่นผิดคนแล้วพวกชาวบ้าน ทีนี้แม้กระทั่งเงินค่าชดเชยการรื้อถอนบ้านก็ไม่ได้สักหยวน
หวังเหวินฟางมีแผนอะไรอีก หยุดกีดกันความรักของลูกได้แล้ว
ไหหม่า(海馬)