ถ้าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้ชำเลืองมองเขาเป็นระยะ หลิวหงเจียงคงได้คิดไปเองแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินเขาหรือไม่ก็ไม่เห็นความสำคัญในคำพูดของเขา
ความจริงก็คือ เขาได้ยินทุกอย่างแต่เลือกที่จะไม่ให้คำตอบใดๆ
ทุกอย่างเงียบกริบ หลิวหงเจียงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเดินไปที่ห้องสอบปากคำห้องที่สอง เขาไม่เชื่อหรอกว่าในจำนวนคนตั้งมากมายขนาดนี้ จะไม่มีใครสักคนสูญเสียการควบคุมจนหลุดพูดอะไรออกมา
ห้องสอบปากคำที่หลิวหงเจียงเดินเข้ามาในครั้งนี้คือห้องของชายสวมชุดสูทที่ชื่อเอส
จากประสบการณ์หลายต่อหลายปีในการสังเกตพฤติกรรมมนุษย์ที่หลิวหงเจียงมี การจะเค้นข้อมูลออกมาจากคนสวมชุดสีสันสดใสเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เอสเริ่มอ้าปากทันทีที่หลิวหงเจียงเดินผ่านประตูเข้ามา
แต่สิ่งที่เขาพูดก็คือ “ผมต้องการติดต่อทนายความ”
มีคนไม่มากนักที่จะสามารถจ่ายค่าทนายความส่วนตัวได้ และยิ่งมีน้อยคนที่จะเข้าใจความสำคัญของการมีทนายความส่วนตัวในประเทศจีนได้
เมื่อมีทนายความอยู่ด้วย ทนายความคนนั้นย่อมสามารถจัดการทุกอย่างแทนเขาได้ และตราบใดที่ยังไม่พบหลักฐานแน่นหนาที่สามารถเชื่อมโยงผู้ถูกสอบปากคำเข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ผู้ถูกสอบปากคำย่อมมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด
หลิวหงเจียงคิดว่าคนคนนี้เป็นคนประเภทที่ยุ่งยากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อนว่า “พวกเราจะติดต่อทนายความให้คุณเองครับ แต่คุณต้องบอกผมมาก่อนว่าคุณขึ้นไปทำอะไรบนรถไฟ”
“ก็ไปนั่งรถไฟน่ะสิ” เอสตอบด้วยรอยยิ้มอันเสแสร้ง
ตอนแรกหลิวหงเจียงคิดว่าชายหนุ่มช่างพูดคนนี้จะเป็นตัวช่วยให้กับแผนการของเขาได้
หลังจากผ่านไปสิบห้านาที เขาจึงตระหนักได้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังใช้คำตอบของตัวเองปั่นหัวเขาอยู่ คำตอบพวกนั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
หลิวหงเจียงถึงกับเผลอคิดขึ้นมาว่าผู้ชายคนนี้ได้รับการฝึกฝนในการสอบปากคำมาแล้วด้วยซ้ำ คำตอบไร้สาระทุกคำตอบของเขาล้วนแต่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วเป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ก็ได้
เขาพูดราวกับว่าพวกเขาอยู่บนรถไฟขบวนนั้นเพราะมีจุดประสงค์เพื่อนั่งรถไฟเพียงอย่างเดียว
สีหน้าของหลิวหงเจียงเริ่มเขียวขึ้นเรื่อยๆ เขาใกล้จะหมดความอดทนเต็มที “พอได้แล้ว หยุดพูดสักที!”
ชายสวมชุดสูทที่ชื่อเอสทำตามและปิดปากเงียบตามที่เขาสั่ง แต่สายตาของเขาที่จ้องมองมายังหลิวหงเจียงกลับแฝงไปด้วยความเยาะเย้ย
หลิวหงเจียงหงุดหงิดที่ไม่ได้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียวทั้งที่สอบปากคำคนไปแล้วถึงสองคน
ถึงเขาจะมีอิทธิพลกว้างขวาง แต่คำรับสารภาพก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นในการปิดคดี
ถ้าคนพวกนี้ไม่ยอมรับสารภาพ หลังจากนี้เขาคงต้องหันไปใช้วิธีข่มขู่เพื่อให้ได้มาซึ่งคำสารภาพนั้น แต่ข้างนอกนั่นยังมีคนอยู่อีกมาก ดังนั้นเขาจึงต้องทำตัวให้ก้าวร้าวน้อยที่สุด
อย่างไรหลิวหงเจียงก็คุ้นเคยกับกระบวนการเหล่านี้ดี ทั้งยังเก่งเรื่องการชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสียต่างๆ อีกด้วย
เขากำลังคิดที่จะสอบปากคำคนอื่นต่อ และวางแผนว่าจะใช้วิธีการรุนแรงจัดการกับคนพวกนี้ถ้าเขายังไม่ได้ข้อมูลอะไรอีก
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลิวหงเจียงจึงเปิดประตูห้องสอบปากคำที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ออก
ทั้งสองคนนั่งเผชิญหน้าอยู่ตรงข้ามกัน เขาคิดอยู่เสมอว่าผู้หญิงจะมีอาการฉุนเฉียวเวลาที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ และพวกเธอจะประมาททำผิดพลาดทันทีที่สูญเสียความเยือกเย็น ต่อให้พวกเธอมีเหตุผล แต่มันก็เหมือนกัน
แต่ผู้หญิงตรงข้ามเขากลับหลับตาลงครึ่งหนึ่งราวกับกำลังพักผ่อน พอเขาเข้ามา เธอถึงค่อยๆ คลี่ยิ้มขึ้นอย่างเกียจคร้านเหมือนกำลังรอเขาอยู่
“พวกเราไม่ใช่คนที่ขับเครื่องบินลำนั้นมา ในเอกสารก็บอกเอาไว้แล้วว่าเครื่องบินลงจอดบนหลังคารถไฟเพราะเชื้อเพลิงหมด”
เขาถึงกับประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายใช้ประกาศฉบับนั้นมาปิดปากเขา
โดยปกติแล้ว ข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนพวกนี้ล้วนแต่เป็นการทำเพื่อลดความวุ่นวาย แต่เธอกลับนำมันมาใช้กับเขาราวกับเห็นเขาเป็นคนโง่
หลิวหงเจียงคุ้นเคยกับการถูกคนดูถูกหลังจากนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้มานานหลายปี การเก็บความรู้สึกพวกนั้นเอาไว้กับตัวจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนอารมณ์ร้อนอย่างเขา เขาเยาะขึ้นว่า “ทั้งคุณกับผมต่างก็รู้กันดีว่าทำไมเครื่องบินลำนั้นถึงลงจอดบนรถไฟ เลิกเล่นละครเป็นผู้บริสุทธิ์ได้แล้ว คุณคิดว่าอยู่ที่นี่แล้วจะโกหกได้หรือ”
“โอ้?” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยอธิบายให้ฉันฟังได้หรือเปล่าว่าทำไมเครื่องบินลำนั้นถึงลงจอดบนหลังคารถไฟ”
ปัง!
หลิวหงเจียงฟาดมือลงบนโต๊ะไม้ “ที่นี่ผมคือคนที่สอบปากคำ ไม่ใช่คุณ ผู้สมรู้ร่วมคิดของคุณรับสารภาพแล้ว ต่อให้คุณดื้อรั้นไปก็เปล่าประโยชน์ อธิบายทุกอย่างมาด้วยความสัตย์จริงจะดีกว่า”
“ก็ได้ ในเมื่อพวกเขาสารภาพแล้ว ฉันก็จะสารภาพเหมือนกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาลงด้วยท่าทางเหมือนพร้อมที่จะรับสารภาพ แต่ความจริงนั้นเธอเพียงแค่กำลังหามุมที่ดีกว่านี้เพื่อจับภาพการแสดงสีหน้าของอีกฝ่ายให้ชัดๆ ต่างหาก
หลิวหงเจียงแอบภูมิใจในตัวเองอยู่ลึกๆ ฮ่าๆ ผู้หญิงมักจะสารภาพทุกอย่างออกมาหลังจากถูกขู่ให้กลัว
“เครื่องบินลำนั้นไม่ใช่ของเรา แต่พวกเรามีความขัดแย้งเล็กน้อยกับเหล่าลิ่วที่อยู่บนรถไฟ”
ถ้าคำว่า ’ก่อความวุ่นวาย’ ที่หลิวหงเจียงใช้นับว่าฉลาดแล้ว คำว่า ’ความขัดแย้งเล็กน้อย’ ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้ก็ต้องนับว่าฉลาดกว่าอย่างมาก
ในเมื่อเขาต้องการทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก และทำเรื่องเล็กให้หายไป เธอก็จะทำตามความตั้งใจของเขา
แน่นอนว่าหลิวหงเจียงย่อมพยักหน้าด้วยความพอใจ
แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ “ฉันคิดว่าคุณคงมีความใกล้ชิดกับเหล่าลิ่วมากทีเดียว” คำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยตรงไปตรงมา “เหล่าลิ่วคนที่ว่านั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้ามนุษย์”
สีหน้าของหลิวหงเจียงเปลี่ยนไป รอยยิ้มของเขาดูเย็นชา “คุณพูดเรื่องอะไรอยู่ เหล่าลิ่วเป็นใคร ผมไม่เข้าใจเลยแม้แต่อย่างเดียว นี่เป็นการปรักปรำกันชัดๆ”
“ถ้าคุณไม่รู้จักเขาจริงๆ ทำไมคุณถึงสนใจเรื่องที่ว่าเครื่องบินลำนั้นมาจากไหน แทนที่จะสนใจว่าเด็กที่อยู่บนรถไฟมาจากไหนล่ะ” คำพูดทุกคำของเธอฉะฉานตรงประเด็น ”ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีใครแจ้งคุณว่าตู้โดยสารตู้นั้นเต็มไปด้วยเด็กๆ อายุต่ำกว่าห้าขวบที่ทั้งหิวโซและจิตใจแตกสลาย ปัญหาหลักมันคือเรื่องนี้ต่างหาก ไม่ใช่เครื่องบิน แต่แน่นอนว่าถ้าคุณสงสัยเพียงแค่สาเหตุที่ว่าทำไมเครื่องบินลำนั้นถึงลงจอดบนหลังคารถไฟได้ ฉันก็จะตอบคุณอีกครั้งก็แล้วกันว่าพวกเราไม่ได้เป็นคนขับเครื่องบินลำนั้นมา แต่มันถูกส่งออกมาด้วยฝีมือของพ่อที่ร้อนใจตามหาตัวลูกชายที่ถูกลักพาตัวไป คุณพอใจกับคำตอบนี้หรือเปล่า“
ดวงตาของหลิวหงเจียงดิ่งลงทันทีที่ได้ยินคำพูดของเธอ เขาสามารถบอกได้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่คิดที่จะยอมจำนน
“ผู้หญิงอะไรปากกล้าเสียไม่มี! คุณทำเรื่องสกปรกลงไปแต่กลับไม่ยอมรับ ซ้ำยังพยายามที่จะปรักปรำคนที่คิดจะคลี่คลายคดีนี้อีกด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาอีกครั้ง “คุณบอกว่าตัวเองต้องการคลี่คลายคดี ถ้าอย่างนั้น คุณจะประกาศความผิดของเหล่าลิ่วเมื่อไหร่ล่ะ การลักลอบค้ามนุษย์จำนวนมากขนาดนั้นน่าจะมีโทษถึงตายเลยไม่ใช่เหรอ“
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น หลิวหงเจียงก็ผุดลุกขึ้นทันที แต่เขายังวางมือไว้บนโต๊ะเพื่อประคองตัวเอง เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเย็นชา ”ที่นี่โทษของการลักลอบค้ามนุษย์ไม่ได้ถึงตาย ยิ่งกว่านั้น คำสารภาพของคุณก็ยังน่าสงสัยอย่างมาก มันไม่มีความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิดเดียว“
”อย่างนั้นหรือ“ ทันใดนั้น จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะขึ้น แล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “ฉันหวังว่าหลังจากนี้ คุณจะยังมั่นใจได้แบบนี้ก็แล้วกัน…”