ตอนที่ 915 ไม่พบเบาะแส
เมื่อตำรวจมาถึงแล้ว ฟางจั๋วหรานก็เพิ่งทุบประตูสำนักงานอสังหาริมทรัพย์ซันไชน์พร็อพเพอร์ตี้เสร็จ
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายเดินลงจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขาแล้วพูดกับเขาว่า “ผมได้รับรายงานว่าคุณกำลังพังประตูบ้านคนอื่น มันผิดกฎหมายนะครับ ผมขอเชิญคุณกลับไปที่สถานีตำรวจกับพวกเราเพื่อสอบสวนเรื่องนี้ครับ”
ฟางจั๋วหรานยกยิ้มและเดินตามพวกเขาไปอย่างว่าง่าย
ที่เขาสร้างความวุ่นวายอย่างนี้ก็เพราะเขาต้องการให้ตำรวจมาหาไม่ใช่เหรอ?
เมื่อตำรวจมาถึงตัวเขาแล้ว เวลานี้ตำรวจถึงจะช่วยตามหาหลินม่ายได้สักที
แต่เขากลับคิดผิด
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจ เขาอธิบายว่าทำไมเขาถึงต้องทุบประตูสำนักงานอสังหาริมทรัพย์แห่งนั้น
ตำรวจตั้งข้อหาของเขาเพียงแค่สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น และให้เขาจ่ายค่าประตูสำนักงานที่พังลง ก่อนจะเทียบปรับแล้วปล่อยตัวเขาไป
สำหรับการช่วยตามหาหลินม่าย ตำรวจยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าเธอจะต้องหายตัวไปไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง
ฟางจั๋วหรานออกจากสถานีตำรวจอย่างไม่มีทางเลือก
เขายืนอยู่หน้าสถานีตำรวจเป็นเวลานาน ปล่อยให้ลมหนาวพัดปะทะใบหน้า
เขาครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะขับรถตรงไปที่สำนักหนังสือพิมพ์ทั้งหลายแห่ง
เขาจ่ายด้วยราคาสูงลิ่บเพื่อขอให้ทุกหนังสือพิมพ์ลงข่าวของหลินม่ายในวันพรุ่งนี้
อีกทั้งยังมีการระบุด้วยว่าหากผู้ใดให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์จะได้รับรางวัล 300 หยวน
หากพบหลินม่ายจากเบาะแสนั้น ๆ จะได้รับรางวัลเป็น 30,000 หยวน
เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะไม่สามารถหาหลินม่ายพบหลังตั้งรางวัลล่อลวงใจอย่างนี้
แน่นอนว่าการหายตัวไปของนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไม่ใช่ข่าวเล็ก
ต่อให้ฟางจั๋วหรานไม่จ่ายเงินเพื่อประกาศตามหาคนหายอย่างหลินม่าย แม้สำนักหนังสือพิมพ์จะไม่ได้รับเงินสักหยวน แต่พวกเขาก็จะรีบลงข่าวที่น่าตื่นตระหนกนี้แน่นอน
เมื่อฟางจั๋วหรานกลับมาถึงบ้าน คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางยังไม่หลับ
ฟางจั๋วหรานถามออกไปแม้จะมีความหวังเพียงริบหรี่ “ม่ายจื่อกลับมาแล้วหรือยังครับ?”
คุณย่าฟางส่ายศีรษะ “ถ้าหล่อนกลับมาแล้ว พวกเราคงไม่นั่งเป็นห่วงอย่างนี้หรอก”
ใบหน้าของคุณย่าฟางเต็มไปด้วยความกังวล “ม่ายจื่อยังไม่กลับมา ฉันเป็นห่วงหล่อนจริง ๆ เธอช่วยโทรหาเสิ่นเสี่ยวผิงหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ม่ายจื่อไปรับประทานอาหารค่ำกับลูกค้า แต่หล่อนไม่เคยกลับดึกขนาดนี้เลย”
คุณย่าฟางครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะกล่าวต่อว่า “หรือไม่ก็ให้หล่อนบอกมาว่ากินเลี้ยงที่ไหน แล้วเธอก็ขับรถไปรับม่ายจือไง”
นางกล่าวพึมพำ “มื้อเย็นเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด แต่เวลานี้หล่อนกลับยังไม่ถึงบ้าน”
เพราะฟางจั๋วหรานไม่พูดอะไร คู่สามีภรรยานี้จึงไม่ทราบว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับหลินม่าย
ฟางจั๋วหรานนึกถึงประกาศหาคนหายที่เขาตีพิมพ์หน้าหนึ่งในหลายฉบับ ซึ่งมันจะถูกเผยแพร่ในวันพรุ่งนี้ และมันจะกลายเป็นไฟลามทุ่งจนไม่อาจมอดดับ
นอกจากนี้เขาไม่มีทางอื่นที่จะช่วยเหลือหลินม่ายอีกแล้ว ถ้าเขาต้องการใช้ความสัมพันธ์ของคุณปู่ฟางสำหรับเส้นสายต่าง ๆ เขามีเพียงต้องบอกความจริงเท่านั้น
เวลานี้เขาตัดสินใจนั่งลง ก่อนจะกล่าวกับผู้เฒ่าทั้งสองว่า “ไม่ต้องโทรหาเสี่ยวเสิ่นหรอกครับ หล่อนไม่รู้ว่าม่ายจื่ออยู่ที่ไหน”
ทั้งคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางพลันสับสน “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง? หล่อนเพิ่งโทรมาบอกเราว่าม่ายจือออกไปงานเลี้ยงกับลูกค้าไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยหล่อนก็ควรจะรู้ว่าม่ายจื่อไปโรงแรมไหน เราได้รับที่อยู่ก็ยังดีไม่ใช่เหรอ?”
ฟางจั๋วหรานกล่าวเสียงแผ่ว “เสิ่นเสี่ยวผิงที่โทรมาก่อนหน้านี้เป็นตัวปลอมครับ”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางถึงกับเผยสีหน้าตื่นตระหนก
คุณปู่ฟางกล่าวติดขัด “ตัวปลอม? มีอะไรเกิดขึ้น… กับม่ายจื่อ?”
คุณย่าฟางรีบจ้องมองฟางจั๋วหรานอย่างเคร่งขรึม
ฟางจั๋วหรานพยักหน้ารับอย่างหนักใจ
คุณย่าฟางรีบถามด้วยความกระวนกระวาย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธอบอกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ฟางจั๋วหรานส่ายศีรษะ “ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดที่ผมรู้ตอนนี้คือหล่อนหายตัวไประหว่างไปหาตัวแทนอสังหาริมทรัพย์เพื่อดูบ้านครับ”
เขาหยุดชั่วขณะก่อนจะเอ่ยปากต่อว่า “ผมคิดว่า ม่ายจื่ออาจจะถูกลักพาตัว”
คุณย่าฟางรีบถาม “แจ้งตำรวจหรือยัง?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “แจ้งแล้วครับ แต่ตำรวจบอกว่าคนจะต้องหายตัวไปมากกว่า 48 ชั่วโมงถึงจะรับแจ้งความครับ”
สายตาของเขาหันมองคุณปู่ฟางทันที “ผมอยากขอให้คุณปู่ช่วยม่ายจื่อครับ”
คุณปู่ฟางทั้งโกรธจัดและกระวนกระวาย ก่อนจะตำหนิเขาว่าทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้
คุณปู่ฟางกดเบอร์โทรศัพท์แล้วโทรออกทันที ภายในยี่สิบนาทีมีตำรวจสองคนมาที่บ้านของพวกเขา และสอบถามเกี่ยวกับการหายตัวไปของหลินม่าย
ครั้งนี้ไม่มีตำรวจคนไหนพูดคำว่าต้องรอ 48 ชั่วโมงอีกแล้ว แต่พวกเขากลับเร่งรัดกระบวนการทั้งหมดราวกับนี่คือคดีอาญาที่ต้องจัดการโดยเร็วที่สุด
หลังจากสอบปากคำที่บ้านตระกูลฟางแล้ว ตำรวจพาพนักงานทั้งหมดของซันไชน์ พร็อพเพอร์ตี้ไปที่สถานีตำรวจ ก่อนจะเริ่มสอบปากคำอย่างแข็งขัน
พนักงานทั้งหมดของบริษัทซันไชน์ พร็อพเพอร์ตี้ยิ่งตื่นตระหนก ทุกคนแย่งกันกล่าวและให้เบาะแสอย่างแข็งขัน
น่าเสียดายที่มีเพียงผู้จัดการร้านและพนักงานขายหลูเท่านั้นที่ได้ติดต่อกับหลินม่าย ส่วนพนักงานคนอื่น ๆ กลับไม่ทราบอะไรเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถให้ปากคำถึงสิ่งที่ประโยชน์ได้
อย่างไรเสีย เบาะแสสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับไม่สามารถมีผู้ใดกล่าวออกมาได้ ทั้งผู้จัดการร้านและพนักงานขายหลู
ผู้จัดการร้านรู้เพียงว่าผู้ขายอยากจะขายบ้านหลังนั้นมาก เขาเลยโทรไปบอกกล่าวว่าจะขอลดราคาให้
ผู้จัดการร้านจึงบอกให้พนักงานขายหลูติดต่อกับหลินม่ายเพื่อหวังจะได้ข้อสรุป
พนักงานขายหลูให้ปากคำต่อว่า เขานัดกับหลินม่ายตอนบ่ายสองที่ลานบ้านเพื่อดูบ้านอีกครั้งแล้วพูดคุยเรื่องราคา
แต่เขารออยู่ที่นั่นจนกระทั่งสี่โมงเย็นก็ไม่ได้พบเจอทั้งหลินม่ายหรือเจ้าของบ้าน เขาจึงต้องกลับไปอย่างขุ่นเคือง
หลังจากสอบปากคำพนักงานของสำนักงานอสังหาริมทรัพย์เสร็จสิ้น ก็เช้าพอดี
แต่ตำรวจยังไม่หยุดเคลื่อนไหว พวกเขาเรียกเจ้าของบ้านและเสิ่นเสี่ยวผิงมาที่สถานีตำรวจ
แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าของบ้านไม่ได้โทรหาบริษัทอสังหาริมทรัพย์เลย เขาไม่เคยพูดว่าจะขายบ้านในราคาต่ำกว่านี้
เสิ่นเสี่ยวผิงเองก็ยืนยันว่าตนเองไม่ได้โทรหาบ้านตระกูลฟางเมื่อคืนนี้เช่นกัน
แต่ผู้จัดการร้านและคุณย่าฟางบอกว่าเสียงที่พวกเขาได้ยินคือเจ้าของบ้านกับเสิ่นเสี่ยวผิง
หากทั้งเจ้าของบ้านและเสิ่นเสี่ยวผิงไม่ได้โกหก ในคดีนี้จึงมีบุคคลปลอมตัวโทรหาคนของอีกฝ่ายถึงสองครั้ง และน้ำเสียงก็คล้ายคลึงกับบุคคลที่แอบอ้างด้วย
ครั้งแรกคือแสร้งทำเป็นเสิ่นเสี่ยวผิง เลขาของหลินม่าย และอีกครั้งแสร้งทำตัวเป็นเจ้าของบ้าน
เห็นชัดว่ามีใครบางคนจงใจล่อลวงหลินม่ายให้กลับมาที่บ้านหลังนี้ แล้วโจมตีเธอระหว่างทาง
และเมื่อเกิดปัญหานี้ขึ้น ไม่มีเงื่อนงำใดนำพาไปถึงผู้โทรตัวปลอม คดีก็ไม่สามารถไปต่อได้
ฟางจั๋วหราน คุณปู่ฟาง คุณย่าฟางก้ยังอยู่กับตำรวจอย่างใกล้ชิดตลอดการสืบสวน เมื่อเห็นว่าคดีไม่พบเบาะแสใด ๆ เพิ่มเติม ทั้งสามยิ่งนอนไม่หลับ กลายเป็นวิตกกังวลไปต่าง ๆ นา ๆ
ฟางจั๋วหรานยังหนุ่มแน่นและสุขภาพดี การที่เขาไม่หลับนอนทั้งคืนจึงไม่ส่งผลอะไรนัก
แต่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ดังนั้นการที่พวกเขานอนดึกอย่างนี้ ฟางจั๋วหรานจึงนึกเป็นห่วงกลัวทั้งสองจะป่วย เลยพยายามรีบเกลี้ยกล่อมให้พวกเขากลับไปนอนพัก
แม้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจะแก่มากแล้ว แต่พวกเขาก็ต่างเข้าใจทุกอย่างดี
เวลานี้พวกเขารู้ว่าต่อให้ตนนอนดึก ก็ไม่ช่วยให้คดีมีความคืบหน้าใด แต่กลับเหนื่อยและอาจจะป่วยได้ ยิ่งมีแต่จะทำให้ฟางจั๋วหรานต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ดังนั้นพวกเขาจึงกลับไปนอนพักผ่อนอย่างว่าง่าย
ฟางจั๋วหรานกลับไปที่ห้องของตนเอง เวลานี้น้าทังยังตื่นอยู่และยังคงอยู่เคียงข้างเสี่ยวมู่ตงเช่นเคย
ฟางจั๋วหรานชะเง้อมองมู่ตงที่หลับอยู่ในเปลแล้วพูดกับน้าทังว่า “ขอบคุณที่ทำงานหนักนะครับ ไปนอนเถอะครับ”
น้าทังหาวหวอดใหญ่ก่อนจะเดินจากไป
ฟางจั๋วหรานยังไม่ได้อาบน้ำ เขาล้มตัวลงบนเตียงขนาดใหญ่จ้องมองเพดานว่างเปล่าตรงหน้าอย่างนอนไม่หลับ
เขารู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังกระสับกระส่าย และเขาสัมผัสกับความรู้สึกนี้ตอนที่อายุสามสิบ
ครั้งสุดท้ายก็คือคืนที่แม่ของเขาตายเมื่อตอนเขายังเด็ก
หญิงสาวร่างผอมถูกทรมานด้วยโรคร้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่าต้องการดื่มซุปไก่สักชาม
แม่ของเขาไม่สามารถกินข้าวได้หลายวันแล้ว แต่จู่ ๆ กลับอยากกินซุปไก่ขึ้นมา นั่นทำให้เขามีความสุขมาก
เขาคิดว่าอาการป่วยของแม่คงจะดีขึ้นแล้ว จึงบอกให้พี่เลี้ยงรีบทำซุปไก่ให้หล่อนทันที
เพื่อที่จะปรุงซุปไก่ เขาคอยพัดวีเตาเพื่อให้ไฟติดเร็วขึ้น
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ซุปไก่ร้อน ๆ ก็เสร็จสิ้น เขารีบกระวีกระวาดนำมันไปให้แม่ แต่สุดท้ายก็พบว่าปิดเปลือกตาแน่น และจากเขาไปตลอดกาล
ซุปไก่ในมือร่วงหล่นพื้น น้ำซุปหกกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่เขลา ยืนอยู่นานหลายชั่วโมงและไม่ยอมขยับเขยื้อนใด ๆ จนกระทั่งมีคนมาเรียกเขา
คนเรานั้นมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีเพียงต้องปล่อยวางเท่านั้น หากไม่ปล่อยวางก็ไม่อาจพ้นทุกข์ได้
แต่สุดท้ายแล้ว จิตใจที่ห่อเหี่ยวนี้แตกต่างจากครั้งที่แม่ของเขาตายโดยสิ้นเชิง
หลินม่ายประสบกับโชคร้าย ไม่ใช่เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งเหล่านี้เขาไม่อาจรับได้
บุคคลที่ลักพาตัวเธอไปคงจะไม่มอบอาหารและน้ำดื่มแก่เธอแน่นอน เธอคงต้องทุกข์ทรมาน
แต่เขารู้สึกว่าหากเธอยังถูกทรมานอยู่ มันอาจจะดีกว่า
เขากลัวว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือวันอื่น ๆ จะมีข่าวการตายของหลินม่ายปรากฏ…
ฟางจั๋วหรานยิ่งกังวลและเสียใจ กังวลมากกว่าครั้งที่หลินม่ายถูกลักพาตัวในฮ่องกงเสียอีก
คราวที่แล้วอันธพาลพวกนั้นมีจุดประสงค์คือเงิน
แต่คราวนี้คนพวกนั้นไม่เพียงแต่จะไม่โทรศัพท์มา แต่พวกมันกลับไม่บอกกล่าวว่าจุดประสงค์ของตนคืออะไร
หากไม่ทราบจุดประสงค์ของพวกมันแล้ว ทุกอย่างยิ่งล่าช้า หลินม่ายก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตราย
บางทีแม่ลูกอาจจะมีเส้นใยเชื่อมโยงถึงกัน เสี่ยวมู่ตงไม่สามารถนอนหลับอย่างสนิทใจได้ เขากระสับกระส่ายและร้องไห้จ้าทุกสิบนาที
ฟางจั๋วหรานลุกขึ้น ชงนม ห่อทารกน้อยตรงหน้าด้วยผ้าห่มอุ่น อุ้มเขาในอ้อมแขนก่อนจะพยายามป้อนนม
เวลานี้เจ้าตัวเล็กไม่เพียงแต่ไม่ยอมดื่มนม แต่ยังต่อต้านและร้องเสียงดังขึ้น
ฟางจั๋วหรานพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยอยู่นานกว่าเขาจะหลับ เวลานี้จึงวางเขาลงในเปลอีกครั้ง
ฟางจั๋วหรานนั่งลงอย่างหดหู่ใจ และทันใดมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านก่อนจะวิ่งไปที่หน้าประตู เขาเปิดประตูออกทันทีโดยหวังว่าจะเป็นหลินม่าย
เธอควรจะโอบลำคอของเขาและหยอกเย้าเขาราวกับเด็กน้อย อีกทั้งยังกล่าวขอโทษที่มาไม่ทันมื้อเย็นในวันนี้จนทำให้เขากังวลตลอดทั้งคืน ก่อนจะเริ่มจูบแก้มเขาอย่างเอาอกเอาใจ
ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือน้าถู
หล่อนถือชามซุปกระดูกอ่อนไว้ในมือ
ก่อนจะกล่าวว่า “คุณคงจะนอนไม่หลับ เดี๋ยวร่างกายจะไม่ไหวเอานะคะ ดื่มซุปสักชามเถอะ จะได้มีแรงนะคะ”
ฟางจั๋วหรานโบกมือ “ไม่ล่ะครับ เอากลับไปเถอะ”
แทนที่จะยกซุปกลับไป แต่น้าถูกลับวางมันไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง
หล่อนหันศีรษะกลับมาคุยกับเขา “ถ้าไม่มีอารมณ์จะดื่ม ก็ต้องบังคับตัวเองให้ดื่มให้ได้ค่ะ สุดท้ายแล้วมันจะทำให้ท้องของคุณอิ่ม คุณต้องรักษาร่างกายไว้เพื่อช่วยม่ายจื่อ อย่าให้เป็นอะไรไปเสียก่อน”
หลังพูดจบ น้าถูก็เดินออกจากห้องไป
ฟางจั๋วหรานมองชามซุปกระดูกอ่อนตรงหน้า ก่อนจะยกมันขึ้นดื่มจนหมด
น้าถูพูดถูกต้องแล้ว เขาจะป่วยไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องช่วยเหลือม่ายจื่อ
ม่ายจือยังรอคอยการช่วยเหลือจากเขาอยู่
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พอเรื่องถึงหูปู่ฟางนี่รีบทำงานกันใหญ่เลยนะคะ ทำงานแบบไม่อืดอาดเลย ต้องให้คนใหญ่คนโตสั่งถึงจะทำเหมือนที่ไหนสักแห่งเลย
ขอให้เจอม่ายจื่อเร็วๆ นะคะ
ไหหม่า(海馬)