แม่ผู้สูญเสียลูกชายออกตามหาลูกไปตามเมืองต่างๆ กว่ายี่สิบเมือง และในที่สุดก็พบลูกของเธอในเขตอวิ๋นกุย
แต่การช่วยเหลือลูกของเธอส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง เธอเสียชีวิตลงในตึกที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างแห่งหนึ่ง
เธอคงนึกไม่ถึงว่าความตายจะมาเยือนเธอทันทีหลังจากโทรศัพท์หาตำรวจ
ถัดจากตึกที่สร้างไม่เสร็จแห่งนั้นคือโกดังที่นักค้ามนุษย์ขังเด็กๆ เอาไว้
อุบัติเหตุนี้ติดเทรนด์ค้นหาบนเว็บไซต์แห่งหนึ่งทั้งในหมวดรูปภาพและข้อความ แทบทุกคนต่างก็ต้องการติดตามความคืบหน้าของเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่ความน่าสะพรึงกลัวของเรื่องนี้กลับยิ่งยกระดับเพิ่มขึ้น คราวนี้มันไม่ใช่แค่หลิวหงเจียง แต่คนที่มีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้ยังมีคนอื่นอีกด้วย คนเหล่านั้นรวมถึงเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในส่วนท้องถิ่น และฝ่ายบริหารของสถานีรถไฟเป็นต้น
เป็นไปได้ว่าตอนที่พวกเขาทำเรื่องพวกนี้ลงไป พวกเขาอาจไม่ได้รู้ถึงจุดประสงค์แอบแฝงของรองผู้กำกับหลิว และเพียงแค่ต้องการให้ความช่วยเหลือเขาเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับปล่อยให้เด็กจำนวนมากถูกพาตัวขึ้นรถไฟโดยไม่สอบปากอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เพราะนั่นเป็นคำสั่งจากรองผู้กำกับ ทั้งที่มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นแต่กลับไม่มีการสอบสวนเชิงลึกเช่นนี้ย่อมถือว่าเป็นการละเลยหน้าที่อย่างไม่อาจโต้แย้งได้!
เรื่องนี้แตกต่างไปจากการค้ามนุษย์ เพราะมันคือชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง
ในจีนแผ่นดินใหญ่ คดีที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมมักได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
หลิวหงเจียงทิ้งร่างลงบนเก้าอี้ทำงานของตัวเองอย่างหมดเรี่ยวแรงทันทีที่เห็นข่าวนี้ เขารู้ว่าคราวนี้เส้นทางในฐานะข้าราชการของเขาจบสิ้นลงแล้ว! ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้อีกต่อไป เขาหวังอยู่เพียงอย่างเดียวว่าอดีตหัวหน้าจะช่วยรักษาชีวิตของเขาไว้ได้
ความคิดเห็นของประชาชนอาจสามารถควบคุมได้ แต่หัวใจมนุษย์ไม่มีวันสงบสุข
เขตอวิ๋นกุยถูกบีบให้อธิบายเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนกลุ่มหนึ่งมาพาหลิวหงเจียงไปจากห้องทำงานของเขาโดยทันที
นับว่าเป็นโชคร้ายสำหรับเขา ในเวลานี้ย่อมไม่มีใครถูกเขาหลอกได้ง่ายๆ อีกต่อไป เนื่องจากเรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นให้กับคนทั้งประเทศ
สาเหตุที่อยู่เบื้องหลังการกระทำอันไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของหลิวหงเจียงมาจากความร่วมมือที่เขาได้รับจากหน่วยงานอื่นๆ
แต่ครั้งนี้สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่แค่แพะรับบาปตัวเดียว แต่พวกเขาต้องการที่จะลงโทษผู้กระทำผิดพวกนั้นให้หมดทุกคน!
โทสะจากภายในระเบิดออกมาอย่างรุนแรงจนไม่อาจควบคุมได้
ผู้บริหารระดับสูงสั่งเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อหาทางรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตอวิ๋นกุยอย่างจริงจัง
ในไม่ช้า บรรดาหัวหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มาถึง ถึงพวกเขาจะกลัว แต่พวกเขาก็รู้สึกในเวลาเดียวกันว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่ตัวหลักที่คุ้มครองคนพวกนั้น อย่างร้ายที่สุดก็คงถูกสั่งย้ายไปอยู่ในหน่วยงานระดับเดียวกัน
แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่ได้รับการลงโทษรุนแรงนักหากเป็นในอดีต เพราะการตัดสินว่าใครมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องที่เกิดขึ้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกว่านั้นก็ไม่มีใครอยากจับลูกน้องของตัวเองเข้าคุก
ดังนั้นผู้สอบวินัยที่นั่งอยู่บนสุดจึงยังคงเงียบ เขาเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นและฟังสิ่งที่ทุกคนพูดคุยกันเท่านั้น
“อย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นความรับผิดชอบของหลิวหงเจียงแต่เพียงผู้เดียว คนจากหน่วยงานอื่นๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าสถานการณ์นั้นจะทำให้พวกเขากระทำความผิดเหล่านี้ลงไปได้ ก็อย่างที่คุณเห็น พวกเขาต่างยินยอมที่จะให้ความร่วมมือกับเราทันทีที่พวกเขารู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเราไม่จำเป็นต้องควบคุมตัวพวกเขาเอาไว้สักหน่อย การทำอย่างนั้นจะยิ่งทำให้คนที่คิดกบฎต่อประเทศชาติของเราได้ใจไปกันใหญ่ แทนที่จะลงโทษกันเป็นการภายใน ก่อนอื่นผมว่าพวกเราควรจับกุมผู้สมรู้ร่วมคิดหลักๆ ที่ก่อเรื่องนี้ขึ้นมาต่างหาก! ตอนนี้คนที่อยู่ในมือของพวกเขาไม่ได้มีแค่ลูกชายของหลิวหงเจียง แต่ยังมีเด็กคนอื่นๆ อยู่ด้วย พวกเขาพยายามข่มขู่เราอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่พวกเขาทำคืออาชญากรรม!”
“รองผบ.ตร.จางพูดถูก พวกเขากล้าอัดวีดีโอในห้องสอบปากคำ มิหนำซ้ำยังกล้าเจาะเข้ามาในระบบของพวกเรา แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่เคารพเราเลยแม้แต่นิดเดียว! การปล่อยคนพวกนี้เอาไว้ก็เหมือนการปล่อยให้พวกเขารบกวนความสงบสุขในสังคม!”
“ถูกต้อง ผมเห็นด้วยว่าเราควรจะลงโทษคนที่ทำผิดกฎหมายพวกนั้นก่อน! และต้องลงโทษให้แรงๆ ด้วย! ถ้าพวกเราไม่จัดการเรื่องนี้ให้เหมาะสม หลังจากนี้เราจะไปควบคุมอะไรได้! เรายังพอมีเวลาในการคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นภายใน และอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ แต่อาชญากรพวกนี้แตกต่างออกไป พวกเขาไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยสักนิด!”
“ใช่! โทษสถานหนัก พวกเราต้องใช้บทลงโทษสถานหนักกับพวกเขา!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้สอบวินัยจึงเหลือบมองคนที่อยู่ด้านล่างด้วยสายตาเรียบเฉย ผู้สอบวินัยคนนี้เคยรับหน้าที่ในกองทัพและเป็นถึงอดีตนายพล ว่ากันว่าสมัยอยู่ในกองทัพนั้นเขาเป็นคนอารมณ์ร้ายทีเดียว แต่หลังจากเป็นผู้สอบวินัย เขาก็ไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมาง่ายๆ อีกต่อไป บนใบหน้าของเขามักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่คนที่เคยอยู่ในกองทัพมาก่อนย่อมรู้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถหาเรื่องด้วยได้
น่าเสียดายที่ไม่มีใครในจำนวนข้าราชการเหล่านี้เคยเป็นทหารมาก่อน
“พูดจบหรือยัง” อดีตนายพลถามด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนคิดว่าเขาเห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าโดยไม่ลืมที่จะหยิบชาขึ้นจิบ
แต่นึกไม่ถึงว่าในวินาทีถัดมา พวกเขาจะได้ยินเสียงดังปัง!
อดีตนายพลฟาดถ้วยชาในมือของตัวเองเข้ากับศีรษะของรองผบ.ตร.จาง!
“ในฐานะรองผู้บัญชาการตำรวจ เวลาที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คุณคิดจะใช้เหตุผลนี้ปัดความรับผิดชอบตัวเองให้คนอื่นเหรอ! สิ่งที่คุณพูดมามีแต่เรื่องไร้สาระทั้งเพ!”
รองผบ.ตร.จางคาดไม่ถึงว่าอดีตนายพลคนนี้จะระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างกะทันหัน เขายกมือขึ้นแนบหน้าผากตัวเองพลางมองไปที่อดีตนายพลพร้อมกับเอ่ยตะกุกตะกักว่า “ผม ผม…”
“หยุดอ้ำอึ้งสักที! พาตัวเขาออกไปซะ! ส่วนผู้กระทำผิดที่คุณพูดถึงคนนั้น ผมเห็นเธอมาตั้งแต่ตอนเธอทำภารกิจครั้งแรก ถ้าเทียบกับเธอ พวกคุณมันก็เป็นได้แค่เศษสวะ! ย้อนกลับไปสมัยที่อเมริการุกคืบเข้ามาในประเทศจีน เธอคนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่ปกป้องประเทศเราเอาไว้!” อดีตนายพลพูด
พวกเขาได้ยินเสียงประตูห้องประชุมเปิดออกดังเอี๊ยด
ร่างผอมเพรียวร่างหนึ่งเดินออกมาจากจุดตัดระหว่างแสงกับเงา การเดินของคนคนนั้นสมบูรณ์แบบไร้ที่ติราวกับได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ทุกย่างก้าวล้วนแต่ดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี
ชายคนนั้นสวมชุดเครื่องแบบกองทัพเรือ เครื่องแบบนั้นดูสมส่วนและขับเน้นให้เห็นช่วงขายาวกับแผ่นหลังตรงของเขา เหล็กชิดเท้าที่อยู่บนรองเท้าหนังทรงสูงล้อแสงเป็นประกาย ในระหว่างที่แสงตกลงมากระทบกับเครื่องหมายยศทหารที่อยู่บนไหล่ของเขา มันสะท้อนแสงจางๆ แต่กลับดูโดดเด่นยิ่งกว่าสีสันใดๆ เขาดูมีเสน่ห์อย่างไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ทันใดนั้นเขาก็เอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา คิ้วของเขาเลิกขึ้นก่อนจะขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อเขาเริ่มพูดว่า “อาจารย์ ผมขอถามได้หรือเปล่าครับ อย่างไรผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดหลักๆ ที่เขาว่าเหมือนกัน” ชายคนนั้นกวาดตามองไปรอบห้องระหว่างเอ่ยเช่นนั้น จากนั้นจึงเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยเสียงหัวเราะว่า “ผมได้ยินว่ามีคนพยายามป้ายความผิดให้กับสมาชิกของสำนักถังของพวกเรา เขาเป็นใครหรือครับ แสดงตัวออกมาได้หรือเปล่า”
ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นแม้แต่คนเดียว ทันทีที่คำว่า “สำนักถัง” หลุดออกมาจากปากของเขา ใบหน้าของทุกคนก็พลันซีดเผือด!
ไม่ใช่แค่ไม่มีใครกล้าแสดงตัว แต่ทุกคนต่างก็พากันกลั้นหายใจ ไม่มีใครกล้าพอที่จะขยับมือด้วยซ้ำ
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่ฝีมือของคนธรรมดา หรือองค์กรเล็กๆ ที่พวกเขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ แต่เป็นฝีมือของสำนักถังโดยตรง
หมายความว่าสำนักถังเป็นผู้ริเริ่มการสอบสวนในครั้งนี้ สำนักถังเป็นหน่วยงานลับภายในที่พวกเขาใช้รับมือกับศัตรูจากต่างประเทศ ไม่มีใครประเมินอำนาจของหน่วยงานนี้ได้แม่นยำนักเพราะมันลึกลับเต็มไปด้วยปริศนา และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นอย่างนั้นก็เพราะหัวหน้าของพวกเขา… ถังเส่านั่นเอง