เขาคือชายคนที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง และแม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังรู้สึกว่าหมอนี่เป็นเสี้ยนหนามในสายตาอย่างมาก
แต่ประมุขแห่งความชั่วร้ายอย่างเขาย่อมไม่แสดงสีหน้าอันใดออกมา เขาทำราวกับว่าถังเส่าไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำขณะที่เดินผ่านเขาไป แล้วใช้มือโอบรอบเอวของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้พร้อมกับจูบหน้าผากของเธอ รอยยิ้มกว้างปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นระหว่างที่เขาเอ่ยขึ้นว่า “จบเรื่องแล้ว ไปกันเถอะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าช่วงนี้องค์ชายดูอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ
เป็นเพราะพวกเธออยู่ห่างกันมานานเกินไปหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยพนักหน้าอย่างงงๆ แต่ก็ยอมทำตามเขาอย่างว่าง่ายเช่นกัน
ในเมื่อถังเส่าอยู่ที่นี่ ดังนั้นย่อมหมายความว่างานที่เหลือเสร็จแล้ว เธอเชื่อว่าข้อมูลที่เธอรวบรวมมาน่าจะเพียงพอต่อการเปิดโปงคนเหล่านั้น ยิ่งกว่านั้น ถังเส่าเองก็มีความสามารถพิเศษในการกระตุกเชือกคลายปมเพื่อเปิดโปงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าอุตสาหกรรมการค้ามนุษย์จะหายไปหรือไม่ แต่อย่างน้อยหลังจากการกวาดล้างในวันนี้ คนพวกนั้นก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างไร้ศีลธรรมได้อีกต่อไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยง่วนอยู่กับการคิดถึงธุรกิจเหล่านั้น ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่สายตาของเธอจะหยุดอยู่ที่ถังเส่านานกว่าปกติ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองภาพนั้นจากด้านข้างพร้อมกับหรี่ตาลง นิ้วของเขาที่อยู่รอบเอวของเฮ่อเหลียนเวยเวยกำแน่นขึ้น แต่บนริมฝีปากของเขายังคงมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ “ไม่ไปหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่แน่นอนว่าเธอย่อมรู้สึกได้ถึงแรงที่ปลายนิ้วนั้น เธอเงยหน้าขึ้นมององค์ชาย แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดขึ้น…
เธอก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังขึ้นข้างหูว่า “ผมคิดว่าคุณคือถังเส่า ขอบคุณที่ช่วยดูแลเวยเวยของผมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ผมเคยได้ยินมาว่าในสำนักถังมีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่าคนที่ออกจากสำนักถังไปแล้วจะไม่ได้รับมอบหมายภารกิจใดๆ ให้อีก”
น้ำเสียงของเขาสุภาพเป็นอย่างยิ่ง และแฝงไปด้วยความเย็นชาห่างเหิน แต่ยังคงเต็มไปด้วยความทรงอำนาจอย่างที่สุด
ถังเส่ามองตอบด้วยสายตาแฝงไปด้วยความซุกซน “เรื่องคราวนี้เป็นคำขอร้องส่วนตัวจากผมถึงเวยเวย ผมคิดว่าเธอเองก็คงไม่ได้รังเกียจอะไร”
“ฉัน…” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันมีโอกาสได้พูดคำว่า ’ฉันไม่รังเกียจ’ ออกมาเลยด้วยซ้ำ เพราะเสี่ยวชิงเฉิงกระตุกแขนเสื้อเธอเอาไว้เสียก่อน “อะไรเหรอ”
เสี่ยวชิงเฉิงขยิบตาแล้วบุ้ยใบ้ไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นการบอกให้เธอมองหน้าเขา
อันที่จริง บนใบหน้าขององค์ชายไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย แต่ดวงตาของเขากลับไม่มีร่องรอยแห่งความสุขอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว สีหน้านี้เป็นสีหน้าที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคุ้นเคยอย่างมาก
ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้ว่าองค์ชายกำลังไม่พอใจ
ถังเส่าไม่มีเจตนาที่จะทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตกที่นั่งลำบากเช่นกัน เขาเพียงแค่อยากเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใส่ใจสหายร่วมรบของเขาขนาดไหนเท่านั้น
ได้ยินไม่ผิด พวกเขาเป็นสหายร่วมรบกัน
แม้ความสัมพันธ์ทางการของพวกเขาจะเป็นผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ในความเป็นจริงนั้นพวกเขาสนิทสนมกันมากกว่านั้น
เพราะเคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงแตกต่างจากคนอื่น
ดังนั้น ถังเส่าจึงถอยหลังไปก้าวหนึ่งพร้อมกับใช้นิ้วคีบบุหรี่ขึ้น “ดูเหมือนเวยเวยจะรังเกียจกระมัง ในเมื่อตอนนี้เธอมีคนที่ต้องดูแลแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่านี่เป็นภารกิจสุดท้ายของเธอก็แล้วกัน เรื่องในเมืองอวิ๋นกุยยังไม่จบเพราะยังมีคนอื่นซ่อนตัวอยู่ แต่เธอก็มีคุณสุภาพบุรุษคนนี้คอยให้การช่วยเหลืออยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นน่าจะสามารถแก้ไขมันได้อย่างรวดเร็ว หลังจบเรื่องนี้เธอจะไม่ได้รับภารกิจจากสำนักและฉันอีก แต่แน่นอนว่าถ้ามีใครปฏิบัติไม่ดีต่อเธอ สำนักถังย่อมพร้อมเป็นบ้านให้เธอกลับมาพักพิงได้ทุกเมื่อ”
คำพูดเหล่านี้เป็นราวกับการแถลงจุดยืนของเขา
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมสมาชิกเงาของสำนักถังถึงกลับมาทันทีที่สำนักออกคำสั่ง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลขนาดไหนก็ตาม
การฝึกฝนอันไร้ซึ่งมนุษยธรรมนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ยากจะเข้าถึง
แต่ระหว่างการเดินทางนั้น พวกเขากลับพบว่าตัวเองคล้ายกันอย่างมาก และกลายเป็นครอบครัวเดียวกันโดยไม่รู้ตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจว่าถังเส่าหมายความว่าอย่างไร ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็เข้าใจเช่นกัน เขาตอบเสียงเบาด้วยท่าทางเหนือกว่าราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติว่า “ไม่มีใครปฏิบัติไม่ดีต่อเธอแน่”
ถังเส่าเชื่อในคำพูดนั้น แต่หลังจากได้พบชายคนนี้ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้รู้จักเฮ่อเหลียนเวยเวยมากกว่าที่เธอรู้จักเขาเสียอีก
ยิ่งเขารู้มากเท่าใด เขาก็จะยิ่งสามารถคาดเดาเธอได้มากเท่านั้น และเธอก็จะยิ่งสำคัญต่อเขา
เหมือนอย่างที่เขาปฏิบัติต่อคนคนนั้น
ถังเส่ารู้จักความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็ปฏิบัติต่อคนรักของตัวเองเหมือนกับที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปฏิบัติ ดังนั้นทันทีที่เขาเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโน้มตัวลงหอมเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาจึงรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีเบื้องหลังซับซ้อนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีจิตใจที่สลับซับซ้อนอีกด้วย
เมื่อเผชิญหน้ากับคนเช่นเขา ถังเส่าย่อมไม่คิดที่จะเป็นศัตรูกับคนประเภทนั้น แต่เขาก็ไม่คิดที่จะผูกมิตรกับพวกเขาเหมือนกัน
เพราะเขาอาจดูขัดหูขัดตาสำหรับคนพวกนั้น
แต่คนคนนี้น่ากลัวตรงที่ว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้แสดงความเป็นศัตรูออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่แปลกใจเลยที่เวยเวยจะตกหลุมรักเขา
ถังเส่าเม้มริมฝีปากล่าง และไม่คิดที่จะเก็บเรื่องนี้มาคิดอีก เขาเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเริ่มเข้าประเด็นทันทีว่า “คนที่อยู่ในเมืองอวิ๋นกุยคนนี้คือเป้าหมายในภารกิจครั้งนี้ แต่ความท้าทายมันอยู่ที่ว่า คนคนนี้ฉลาดมาก และเขาก็ยังไม่เคยมีส่วนในการลักลอบค้ามนุษย์หรือให้การช่วยเหลือเหล่าลิ่ว แต่ทุกอย่างที่หลิวหงเจียงทำล้วนแต่เป็นคำสั่งจากเขาโดยตรง ตอนนี้เจ้าคนที่ว่านี่อยู่ที่เมืองหลี่ และน่าจะถูกย้ายกลับไปที่ปักกิ่งในเร็วๆ นี้ คนแบบนี้ไม่ควรได้กลับไปอยู่ที่เมืองหลวง และมันจะต้องมีปัจจัยมากกว่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องแน่ถ้าเขาได้กลับ พวกเราควรใช้โอกาสกำจัดเขาซะตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ในเมืองหลี่ แต่ตอนนี้สิ่งที่พวกเราขาดอยู่ก็คือหลักฐาน แต่ฉันเชื่อในฝีมือการค้นหาความจริงของเธอ วานรกับคนอื่นๆ รออยู่ข้างนอกแล้ว พวกเขามาที่นี่เพื่อสมทบกับเธอก็จริง แต่ก็ยังมาเพื่อดูหน้าผู้ชายที่เธอเคยนอนด้วยด้วย ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในสำนักถัง ดูเหมือนเธอจะไม่เคยลาพักร้อนเลยนี่นา ถือซะว่าใช้โอกาสนี้ไปฮันนีมูนด้วยเงินจากงบประมาณรัฐก็แล้วกัน ทุกอย่างสำนักถังจะออกค่าใช้จ่ายให้เอง”
“ดีเลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยสนใจการพักร้อนโดยใช้งบประมาณรัฐมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งกว่านั้นพวกเธอก็อยู่ที่นี่แล้ว การเดินทางไปเมืองหลี่จึงฟังดูเป็นความคิดที่ดีทีเดียว เธอสามารถใช้โอกาสนี้ในการสร้างความสนิทสนมกับลูกชายทั้งสองได้อีกด้วย
นึกไม่ถึงว่าองค์ชายจะไม่ได้ต่อต้านความคิดนี้แต่ประการใด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขารู้ดีกว่าคำคัดค้านของเขามักจะส่งผลตรงกันข้ามทุกครั้งที่มีผู้หญิงคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง
เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องทำทีละขั้นตอน ดังนั้นบางทีเขาน่าจะยอมให้ความร่วมมือกับคนของสำนักถัง ตราบใดที่งานของพวกเขาไม่ได้ทำให้ถังเส่ามาปรากฏตัวต่อหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยอีก
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ย่อมเป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้ภายหลัง ใช่ว่าองค์ชายจะสามารถประกาศศักดาได้ด้วยวิธีเดียวเสียเมื่อไหร่
วิธีที่เขาใช้ย่อมเป็นวิธีที่รุนแรงที่สุดเสมอ
เช่นการตอบโต้ด้านล่างนี้
“ในเมื่อคุณคุยเรื่องงานเสร็จแล้ว ผมก็มีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกับเวยเวยเหมือนกัน ถังเส่า ถ้าเป็นไปได้คุณช่วยพาเจ้าหนูสองคนนี้ออกไปแล้วปิดประตูให้เราที” ระหว่างที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดประโยคนี้อยู่นั้น…
เด็กชายตัวน้อยทั้งสองต่างก็ลอบสบตากันอย่างเงียบๆ จากนั้นองค์ชายก็สร้างเขตอาคมขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา
ภายในไม่กี่วินาที ภายในห้องสอบปากคำแห่งนั้นก็เหลือแค่เฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่กันเพียงลำพัง…