ตอนที่ 923 เถ้าแก่เฉามาหา
ทันทีที่หลินม่ายกลับบ้านและเข้าไปในห้องนั่งเล่น เธอก็เห็นฟางจั๋วหรานกำลังนั่งเล่นเกมกับพี่น้องโต้วโต้วและเสี่ยวมู่ตง
เธอถามอย่างกระวนกระวายว่า “คุณตื่นมานานแค่ไหนแล้ว? คุณไหวไหมคะ?”
เมื่อเธอกลับมากินข้าวในตอนเที่ยง เธอเห็นฟางจั๋วหรานเดินในบ้านอย่างเชื่องช้าโดยอุ้มเสี่ยวมู่ตงไว้
ฟางจั๋วหรานตอบกลับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ผมงีบหลับไปตอนบ่าย และเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่นาน”
เมื่อน้าถูทำอาหารเย็นเสร็จ คุณย่าฟางจึงเรียกทุกคนไปกินข้าว
ฟางจั๋วหรานไม่อาจกินอาหารรสเผ็ดได้ในช่วงพักฟื้น เนื่องจากมีฤทธิ์ร้อนเกินไป ซึ่อไม่เอื้อต่อการพักฟื้นร่างกายของเขา ทำให้บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารรสจืด
แม้หลินม่ายจะไม่ใช่คนกินเผ็ดจัด แต่ถ้าอาหารจืดเกินไป เธอก็เบื่ออาหารได้เหมือนกัน
ไม่มีใครรู้จักภรรยาได้ดีเท่าสามี
ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะโต้วโต้วและพูดว่า “ไปเอาเต้าหู้เหม็นหวังจื้อเหอและซอสพริกติ่งเซียงไปให้คุณแม่กินร่วมกับอาหารมื้อค่ำนี้นะ”
คนตัวเล็กรีบวิ่งไปที่ห้องครัว และตามมาด้วยเสี่ยวมู่ตง
ในฤดูหนาวเสี่ยวมู่ตงต้องสวมเสื้อผ้าจำนวนมาก ทำให้การเดินของเขาไม่มั่นคง
เสี่ยวเหวินกลัวว่าเขาจะหกล้ม จึงพยายามปกป้องเด็กน้อยราวกับแม่ไก่
หลังจากนั้นไม่นาน ภายใต้การคุ้มครองของเสี่ยวเหวิน สองพี่น้องก็กลับมาที่โต๊ะอาหารพร้อมซอสพริกและเต้าหู้เหม็น
ระหว่างรับประทานอาหาร คุณย่าฟางฉุกคิดบางอย่างได้และบอกหลินม่ายว่า แม่ถ่าน่าในมองโกเลียในโทรมาตอนบ่ายและบอกว่าหล่อนได้ซื้อของที่หลินม่ายขอไว้แล้ว
และเตือนหลินม่ายว่าให้โทรกลับหาแม่ถ่าน่าด้วย
หลังอาหารเย็น โต้วโต้วตามเสี่ยวเหวินกลับเข้าไปที่ห้องเพื่ออ่านหนังสือ
หลินม่ายและเสี่ยวมู่ตงช่วยกันประคองฟางจั๋วหรานกลับไปยังห้อง
หลังเตรียมชุดนอนกันหนาวสำหรับพ่อและลูกชาย หลินม่ายได้ช่วยอาบน้ำให้พ่อและลูกชาย ก่อนจะห่มนวมให้พวกเขา
ในทศวรรษที่ 1980 แม้แต่เมืองหลวงก็ยังไม่มีเครื่องทำความร้อนในบ้าน
โชคดีที่ในบ้านมีระบบมังกรดิน นับตั้งแต่ย้ายกลับมาที่เรือนสี่ประสาน หลินม่ายก็ให้น้าถูจุดไฟเครื่องทำความร้อนใต้ดิน ทำให้ห้องนอนอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเหมาะสำหรับการพักฟื้น
หลังจากพาพ่อและลูกเข้านอน หลินม่ายก็โทรกลับหาแม่ถ่าน่า
ปลายทางรับสายอย่างรวดเร็ว ก่อนที่แม่ถ่าน่าจะถามหลินม่ายว่า ฟางจั๋วหรานฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บบ้างแล้วหรือยัง
หลินม่ายตอบ “ไม่แย่เลยค่ะ”
จากนั้นเธอถามว่า “เพิ่งได้ยินจากคุณย่ามาว่า คุณซื้อถั่งเช่าให้ฉันเหรอคะ? คุณซื้อมันมามากแค่ไหนคะ?”
ถั่งเช่าในยุคสมัยนี้ล้วนเป็นสมุนไพรที่หาได้ยากยิ่ง
หลินม่ายหวังว่าจะได้รับเป็นจำนวนมาก เธอต้องการให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางดื่มซุปที่ทำจากถั่งเช่า เพื่อที่พวกเขาจะได้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีชีวิตที่ยืนยาว
“ราวห้าถึงหกชั่งค่ะ” แม่ถ่าน่าตอบ “ฉันไม่เพียงซื้อถั่งเช่าเท่านั้น แต่ยังซื้อเนื้อจามรีป่าจำนวนมากเพื่อส่งไปให้คุณด้วย พวกเราบางคนที่นี่เมื่อบาดเจ็บหรือป่วยหนักก็จะกินเนื้อจามรีเพื่อบำรุงร่างกาย ซึ่งได้ผลดีมาก มันได้ผลดียิ่งกว่าเนื้อวัวเสียอีก ฉันส่งของพวกนี้ไปให้คุณแล้ว และน่าจะถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”
หลินม่ายขอบคุณหล่อนทางโทรศัพท์
แม่ถ่าน่าตอบอย่างตรงไปตรงมา “ขอบคุณฉันทำไมคะ มันไม่ใช่เรื่องยากเข็ญอะไรเลย”
จากนั้นหล่อนก็คุยกับหลินม่ายเกี่ยวกับการซื้อแคชเมียร์และขนสัตว์ในครั้งนี้
หล่อนอดไม่ได้ที่จะโอ้อวด “ฉันซื้อแคชเมียร์และขนแกะเกรดหนึ่งทั้งหมดได้ในราคาของสินค้าเกรดสอง คราวนี้จึงกว้านซื้อมาได้เต็มตู้รถไฟ”
หลินม่ายชมเชยหล่อนด้วยความดีใจ “ฉันได้ยินมาว่ากระทั่งผ้าแคชเมียร์และขนแกะเกรดสองในปัจจุบันยังซื้อยากเลยไม่ใช่เหรอคะ ไม่ต้องพูดถึงเกรดหนึ่ง แล้วคุณหามาได้มากขนาดนี้ได้ยังไงโดยไม่มีปัญหา?”
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณอิทธิพลของคุณ”
หลินม่ายถามด้วยความสับสน “ทำไมฉันถึงได้มีอิทธิพลได้ล่ะคะ?”
“อย่าลืมสิ ตลาดแกะในทุ่งหญ้าของเราแย่มากเมื่อปีที่แล้ว
คุณไม่เพียงละเว้นการฉวยโอกาสจากสถานการณ์เพื่อขอลดราคาซื้อลูกแกะเท่านั้น แต่คุณยังรักษาราคาให้คงที่ เพิ่มปริมาณการซื้อ ทำให้ผู้เลี้ยงสัตว์ไม่เพียงหลีกเลี่ยงการสูญเสียและยังทำกำไรได้เล็กน้อย คนเลี้ยงแกะทุกคนรู้สึกขอบคุณคุณมาก พอได้ยินว่าคุณต้องการซื้อสินค้าจำนวนมาก ทุกคนจึงยอมขายแคชเมียร์และขนสัตว์ของพวกเขาให้กับคุณ ทำให้มันกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับฉันที่จะหาสินค้าเหล่านี้มา”
หลังจากพูดคุยกับแม่ถ่าน่าอีกครู่หนึ่ง หลินม่ายหยุดนิ่งครุ่นคิด ก่อนต่อสายไปหาเถาจืออวิ๋น ทว่าเถาจืออวิ๋นไม่อยู่บ้าน
ก่อนเข้านอน หลินม่ายโทรหาหล่อนที่บ้านอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มันอาจเร็วเกินไปที่จะโทร เนื่องจากเป็นเวลาราวสองทุ่มเท่านั้น เถาจืออวิ๋นอาจกำลังพาฉีฉีไปที่บ้านของแม่หล่อน แต่เวลานี้พวกเขาควรจะกลับมาได้แล้ว
แต่มันก็เป็นไปได้ที่ทั้งสองจะพักบ้านของผู้เป็นแม่ ดังนั้นหลินม่ายคิดจะโทรติดต่อตรงไปยังสำนักงานของเธอในวันพรุ่งนี้
หลินม่ายไม่ได้คาดหวังให้ปลายสายรับโทรศัพท์ แต่เธอก็ต้องแปลกใจที่เถาจืออวิ๋นรับสายอย่างรวดเร็ว
เถาจืออวิ๋นกล่าวทักทายสั้น ๆ ก่อนที่หลินม่ายจะพูดเข้าเรื่อง “ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่หน่อย”
อีกฝ่ายโทรหาเวลาดึกและยังบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุย เถาจืออวิ๋นจึงตอบรับอย่างจริงจัง “เกิดอะไรขึ้น?”
หลินม่ายบอกหล่อนว่าแม่ถ่าน่าได้ส่งผ้าแคชเมียร์และขนสัตว์ชั้นหนึ่งมาให้เธออีกหนึ่งขบวนรถไฟ
หลินม่ายกล่าวต่อ “ถึงจะยังมีวัตถุดิบอยู่ แต่สินค้าที่เถ้าแก่เฉาจัดหาให้ก็มีเรื่องบางอย่างผิดปกติ ฉันเลยไม่คิดจะทำธุรกิจกับเขาอีกต่อไป ฉันอยากให้พี่ช่วยติดต่อโรงงานสิ่งทอที่มีเครื่องจักรขั้นสูงในเมืองเจียงเฉิง เพื่อแปรรูปผ้าขนสัตว์บริสุทธิ์ทุกชนิดให้เราให้หน่อยน่ะค่ะ”
หลังจากที่หลินม่ายคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ การเลือกโรงงานสิ่งทอของรัฐก็ดูน่าเชื่อถือเหมือนกัน
โรงงานสิ่งทอของรัฐได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล และจะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนกับโรงงานสิ่งทอส่วนตัวของเถ้าแก่เฉาที่พยายามหลอกลวงผู้คน
และเธอต้องการให้เถาจืออวิ๋นช่วยเหลือในเรื่องนี้
หล่อนเคยทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของรัฐ และคุ้นเคยกับโรงงานสิ่งทอของรัฐในเมืองเจียงเฉิงเป็นอย่างดี
เถาจืออวิ๋นรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเรื่องราว
หล่อนคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบไปว่า “ปัจจุบันโรงงานสิ่งทอในเมืองเจียงเฉิงล้วนมีอุปกรณ์ที่ล้าสมัย ยกเว้นโรงงานสิ่งทอหมายเลขหก พรุ่งนี้ฉันจะติดต่อโรงงานสิ่งทอหมายเลขหก เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถผลิตผ้าตามที่เราต้องการได้หรือไม่”
หลินม่ายกล่าวขอบคุณ และกำลังจะถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันฟางจั๋วเยวี่ย แต่เถาจืออวิ๋นกลับพูดขึ้นมาก่อน
“เธอต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าจิ่นซิ่วของเราให้กลายเป็นแบรนด์หรูใช่ไหม ลองดูแบรนด์หรูต่างประเทศอย่างชาแนลเป็นตัวอย่างสิ พวกเขามีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว น้ำหอม และอื่น ๆ เสื้อผ้าจิ่นซิ่วของเราจะค่อย ๆ มีความหลากหลายมากขึ้น รวมถึงมีผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงทั้งหมด จากนั้นมาเริ่มกันที่เนื้อผ้า เราตั้งโรงงานทอผ้าเพื่อผลิตผ้าใช้เองก็ได้นะ เสื้อผ้าแบรนด์หรูหลายแบรนด์มีโรงงานสิ่งทอเป็นของตัวเอง วิจัยและพัฒนาผ้าขั้นสูงแบบใหม่อยู่เสมอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเสื้อผ้าของพวกเขานั้นแตกต่าง”
หลินม่ายพูดทางโทรศัพท์ “ความคิดนี้ไม่เลวเลย ในเมื่อพี่เป็นคนเสนอ งั้นฉันขอฝากเรื่องนี้กับพี่แล้วกัน”
เถาจืออวิ๋นยิ้ม “ฉันน่าจะรู้ดีกว่านี้ ถ้าพูดมากเกินไปก็เหมือนหาเรื่องให้ตัวเอง
หลังจากเสร็จสิ้นธุระอย่างเป็นทางการ หลินม่ายถามว่า “จั๋วเยวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง”
เถาจืออวิ๋นตอบ “ไม่เลวเลย ติดที่แม่หวังคอยกวนใจเขาตลอดเวลา ทุกครั้งที่หล่อนมาหา เขาจะโกรธจนแทบคลั่ง แต่ก็ทำให้อาการของเขาดีขึ้นมาก”
หลินม่ายประหลาดใจ “ทำไมหวังเหวินฟางถึงต้องคอยวนเวียนมาหาเขา? หล่อนต้องการให้พวกเธอเลิกอยู่ด้วยกันเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันได้ยินมาเล็กน้อยว่า หวังเหวินฟางมาขอเงินจากจั๋วเยวี่ย แต่จั๋วเยวี่ยปฏิเสธที่จะให้”
หลินม่ายรู้สึกสับสน “ทำไมหวังเหวินฟางถึงต้องการเงินล่ะ? เงินเดือนของหล่อนสามารถเลี้ยงดูตัวเองและแม่ของหล่อนได้แล้วไม่ใช่หรือไง”
“ฉันเองก็ไม่รู้เหตุผล ฉันตามจั๋วเยวี่ย แต่เขาปฏิเสธที่จะเล่าอะไรให้ฟัง”
หลินม่ายกล่าว “ตราบใดที่หล่อนไม่ได้มาขัดขวางให้พวกพี่อยู่ด้วยกัน งั้นก็ไปหล่อนไปเถอะ แล้วให้จั๋วเยวี่ยจัดการเอง”
เถาจืออวิ๋นส่งเสียงตอบรับ
มันเป็นเวลาดึกมากแล้ว หลังจากวางสาย หลินม่ายจึงเข้าไปนอนใต้นวมเมื่ออาบน้ำเสร็จ
เธอต้องการนอนกับเสี่ยวมู่ตรงที่กำลังนอนตรงกลาง แต่ฟางจั๋วหรานกลับอุ้มเด็กน้อยไปวางลงในเปล
หลินม่ายพูดด้วยความโกรธ “คุณยังต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ แล้วจะอุ้มลูกแบบนี้ได้ยังไง คุณไม่กลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่ออาการบาดเจ็บตัวเองเลยหรือไง”
ฟางจั๋วหรานตอบ “ตอนนี้มันดีขึ้นมากแล้ว ผมอุ้มเสี่ยวมู่ตงได้สบาย”
เขายื่นมือออกไปดึงหลินม่ายเข้ามาในอ้อมแขน “ถ้าผมไม่อุ้มเขาไปนอนเปล แล้วผมจะกอดคุณได้ยังไงล่ะ?” จากนั้นจูบแสนอบอุ่นประทับลงบนพวงแก้มของเธอ
หลินม่ายนึกถึงคำพูดจากชาติที่แล้ว พ่อแม่คือรักแท้ ลูกคือความประหลาดใจ
มันกลายเป็นเรื่องจริง
ฟางจั๋วหรานโยนลูกชายตัวเองออกไปเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเธอ
ฟางจั๋วหรานไม่สามารถหยุดจูบได้
หลังจากจูบแก้ม เขาก็เลื่อนไปจูบปาก จากนั้นจูบใบหู และเลื่อนลงมาที่ต้นคอ
ขณะที่กำลังมอบจุมพิต หลินม่ายหยุดเขาไว้ก่อน “คุณยังต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ และควรพักผ่อนมากกว่านี้ ไปนอนได้แล้วค่ะ”
เธอกลัวว่าหลังจากฟางจั๋วหรานจูบอย่างต่อเนื่อง เขาอาจมีความต้องการมากกว่านี้ แต่สภาพร่างกายในปัจจุบันของเขายังไม่เอื้ออำนวยนัก
จากนั้นฟางจั๋วหรานก็หยุดจูบเธอ กอดเธอแน่นพลางกระซิบข้างหู “ม่ายจื่อ คุณใจดีกับผมมากเลย”
เธอเอาใจเขา และยังไปขอแม่ถ่าน่าซื้อถั่งเช่ามาให้
หลินม่ายกอดตอบเขา “พูดอย่างกับว่าคุณปฏิบัติต่อฉันไม่ดี เราเป็นสามีภรรยากัน ก็ควรปฏิบัติดีต่อกันไม่ใช่หรือคะ?”
สามีภรรยาควรประคับประคองและอดทนไปด้วยกัน
เถาจืออวิ๋นโทรกลับหาหลินม่ายในคืนถัดมา หล่อนได้ไปคุยกับหัวหน้าโรงงานสิ่งทอของรัฐในตอนเช้าแล้ว
ขณะนี้พวกเขาไม่มีความสามารถในการผลิตผ้าขนสัตว์คุณภาพสูงอย่างที่เสื้อผ้าจิ่นซิ่วต้องการ
หลินม่ายรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
เนื่องจากมันเป็นการยากที่จะหาผู้ผลิตที่เชื่อถือได้สำหรับการผลิตตามที่เสื้อผ้าจิ่นซิ่วต้องการ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อผ้าจากท้องตลาด
แม้ว่าจะเพิ่มต้นทุนของเสื้อผ้าและไม่ได้กำไรมากนัก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาลูกค้าไว้
เวลาผ่านไปไวเหมือนลูกธนูพุ่งจากสาย ในพริบตาก็ผ่านไปอีกหลายวัน
บ่ายวันนี้ หลังเลิกเรียนคาบสุดท้าย หลินม่ายและเพื่อนร่วมชั้นสองถึงสามคนเดินออกจากห้องเรียนพลางพูดคุยกันถึงปัญหาในการเรียนของพวกเธอ
เธอพลันเหลือบไปเห็นเถ้าแก่เฉาร่างผอมและเตี้ยยืนมองเธออยู่ไม่ไกล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองหาหลินม่าย
หลินม่ายบอกลาเพื่อนร่วมชั้น จากนั้นจึงรีบเดินไปหาเถ้าแก่เฉาและพูดอย่างใจดีว่า “เถ้าแก่เฉา สวัสดีค่ะ”
สายตาของเถ้าแก่เฉากำลังมองไปทางนักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียน
เมื่อได้ยินเสียงของหลินม่าย เขารีบหันกลับมาละพูดด้วยท่าทางลำบากใจว่า “ประธานหลิน ผมมีธุระอยากคุยกับคุณ”
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้ารับ “แต่ฉันต้องโทรหาครอบครัวก่อน และบอกพวกเขาว่าวันนี้ฉันจะกลับช้า”
ครั้งสุดท้ายที่เธอถูกหญิงวิกลจริตลักพาตัวไป ฟางจั๋วหราน คุณปู่ฟาง และคุณย่าฟางต่างก็กังวลใจอย่างมาก
เธอไม่สามารถปล่อยให้ครอบครัวกังวลเกี่ยวกับเธอได้อีกต่อไป จึงจำเป็นต้องโทรรายงานทางบ้านก่อน
หลินม่ายใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรกลับบ้าน
เถ้าแก่เฉาแอบฟังสนทนาของหลินม่ายกับทางครอบครัว ซึ่งเธอบอกว่าต้องอยู่พูดคุยเรื่องธุรกิจ และอาจกลับบ้านช้า ได้ยินแบบนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปาก
เขาวิจารณ์อยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้ครองโลกธุรกิจ แต่ฐานะทางบ้านของเธอกลับต่ำมาก แม้แต่เรื่องธุรกิจเธอยังต้องรายงานต่อผู้อื่น
เถ้าแก่เฉาต้องการเชิญหลินม่ายไปยังร้านอาหารเพื่อพูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร แต่หลินม่ายกล่าวปฏิเสธ
ถั่งเช่าและเนื้อจามรีที่แม่ถ่าน่าซื้อเพิ่งมาถึงเมื่อบ่ายวานนี้
วันนี้เธอต้องการกลับบ้านไปเตรียมอาหารเย็นโดยเร็ว เพื่อลองลิ้มรส
ทั้งสองจึงไปโรงน้ำชาขนาดเล็ก พูดคุยธุระขณะที่ดื่มชา
เถ้าแก่เฉาหยิบชาเก็กฮวยที่หลินม่ายสั่งจากมือบริกรมาวางตรงหน้าเธอ
เขากล่าวคำด้วยสีหน้าสำนึกผิด “ผมมาหาคุณครั้งนี้ก็เพื่อสารภาพผิด”
หลินม่ายยกถ้วยเก็กฮวยขึ้นมาจิบพลางมองเขาเงียบงัน
เถ้าแก่เฉาขยับตัวบนเก้าอี้อย่างอึดอัดใจ และพูดต่ออย่างงุ่มง่ามว่า “ผมไม่ได้สั่งให้คนงานทำชุดผ้าขนสัตว์ที่ไม่ตรงตามข้อกำหนด เป็นน้องเขยของผมที่ทำแบบนี้ลับหลัง และผมไม่รู้เรื่องนี้เลย”
เขาอธิบายต่อ “น้องเขยของผมรับผิดชอบส่วนของการผลิตในโรงงานสิ่งทอของผม”
หลินม่ายตอบอย่างใจเย็นว่า “ไม่ว่าผ้าที่ไม่ได้มาตรฐานจะเป็นความคิดของคุณหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่มันผลิตโดยโรงงานทอผ้าของคุณ คุณก็ต้องรับผิดชอบ”
เถ้าแก่เฉาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า “แน่นอนครับ ผมไม่เคยคิดที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ผมจะจ่ายชดเชยราคาที่เหมาะสม และรับโทษที่สมควร ซึ่งผมจะไม่ปฏิเสธสิ่งใด”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ
เธอนึกว่าเขามาหาเพราะต้องการต่อรองขอจ่ายน้อยลง แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะไม่ได้คิดแบบนั้น
หลินม่ายไม่อาจเข้าใจความคิดของเถ้าแก่เฉาได้ชั่วขณะหนึ่ง
เธอจิบชาและถามอย่างแช่มช้า “แล้วคุณมาหาฉันทำไม?”
การแสดงออกของเถ้าแก่เฉาค่อนข้างอ่อนน้อมถ่อมตน “ผมต้องการร่วมมือกับเสื้อผ้าจิ่นซิ่วต่อไปและจัดหาผ้าให้คุณ”
เขาหัวเราะอย่างเขินอาย “และจะไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต”
สิ้นเสียงกล่าว เขามองหลินม่ายด้วยสีหน้าประหม่าเล็กน้อย ราวกับกำลังรอการพิจารณาคดี
…………………………………………………………………………………………………………………………สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อจะให้โอกาสไหมนะ หรือจะยกเลิกความร่วมมือไปก่อน
ไหหม่า(海馬)