ตอนที่ 926 งานเลี้ยง
ผู้บริหารของเขตเดินเข้ามาเห็นว่าสีหน้าของโยมิ อาซากุสะไม่ค่อยดีนัก เขาจึงถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องอะไรกัน?”
โยมิ อาซากุสะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ฉันอยากจะเชิญหลินม่ายไปร่วมงานเลี้ยงของบริษัทน่ะค่ะ หล่อนไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร แต่หล่อนกลับมาต่อว่าฉัน”
เวลานั้นผู้บริหารเขตก็แสดงตนเป็นผู้อาวุโส ก่อนจะกล่าวตำหนิหลินม่าย “ปู่ของพวกคุณเป็นสหายร่วมรบกัน ดังนั้นผู้น้อยไม่ควรจะแข็งกร้าวกับรุ่นน้องนัก ก็แค่ไปงานเลี้ยงต้อนรับของเสี่ยวอวี่เท่านี้เอง”
หลินม่ายถึงกับเย้ยหยัน “ห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่าได้รับการสนับสนุนจากพวกคุณ แล้วฉันยังจำเป็นต้องไปอยู่เหรอคะ?”
เวลานี้ผู้บริหารเขตเทศบาลกลายเป็นเผยท่าทางลำบากใจ
หลินม่ายเพียงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบเท่านั้น
เธอยกยิ้มก่อนจะกล่าวต่อว่า “แต่ถ้าหากท่านอยากให้ฉันไปด้วย ฉันก็จะเข้าร่วมแน่นอนค่ะ”
หลังจากนั้นเธอกับเถาจืออวิ๋นก็ไปที่หลังเวทีเพื่อตามหากู่เยี่ยน ก่อนที่ทั้งสามคนจะไปงานเลี้ยงของโยมิ อาซากุสะด้วยกัน
งานเลี้ยงต้อนรับของโยมิ อาซากุสะในยุคนี้จัดได้ยอดเยี่ยมไม่เบา
สิ่งที่เตรียมไว้ต้อนรับคืออาหารบุฟเฟ่ต์ที่คนทั่วไปไม่เคยพบเจอมาก่อน และมีอาหารที่หลากหลาย ทั้งไก่ เป็ด ปลา เนื้อวัว และอาหารทะเล
ในช่วงปี 1985 วัตถุดิบต่าง ๆ ยังค่อนข้างหาได้ยาก คนธรรมดาไม่มีทางที่จะนึกถึงสิ่งเหล่านี้
หลินม่ายและเพื่อน ๆ คีบอาหารทะเล ปลาชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นใหญ่ใส่จาน ไม่สนใจอาหารจานผักอื่น ๆ แม้แต่น้อย
หากจะมาร่วมงานของโยมิ อาซากุสะ ก็ควรหยิบอาหารแพง ๆ ไว้ก่อน
ทั้งสามนั่งลงบนโต๊ะก่อนจะพูดคุยกันเสียงเบาเป็นการส่วนตัว เพลิดเพลินไปกับอาหารและไวน์แดงในงาน
เวลานี้หลินม่ายกล่าวชื่นชมกู่เยี่ยนทันที โดยพูดว่าท่วงท่าการเดินของหล่อนดีขึ้นเรื่อย ๆ และถามว่าหล่อนกำลังพัฒนาชื่อเสียงในต่างประเทศอย่างไรบ้าง
เถาจืออวิ๋นชำเลืองมองกู่เยี่ยนด้วยความชื่นชมเช่นกัน “ตอนนี้หล่อนมีชื่อเสียงในอิตาลี่มาก และก็เริ่มมีชื่อเสียงภายในแวดวงนางแบบแล้วล่ะ ตราบใดที่มีการจัดแสดงแฟชั่น กู่เยี่ยนมักถูกกล่าวถึงและจะถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเสมอ ไม่จำเป็นต้องมีรายได้จากการขายถุงเท้าอีกต่อไปแล้วล่ะ”
ใบหน้าของกู่เยี่ยนแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อยหลังได้รับคำชม “ถ้าไม่มีพี่เถาที่เสนองานนางแบบให้กับฉัน ฉันคงไม่สามารถมีโอกาสยืนหยัดในวงการแฟชั่นภายในประเทศอิตาลี่ได้หรอกค่ะ”
หลินม่ายยิ้มก่อนจะพูดว่า “ถึงพี่สาวเถาจะช่วยเหลือ แต่เธอก็ต้องพยายามอย่างหนักเหมือนกัน” พูดจบก็ตักเค้กเข้าปาก
ทั้งสามคนกินอย่างเอร็ดอร่อย และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เวลานี้โยมิ อาซากุสะก็เดินผ่านมาพอดี
เมื่อเห็นว่าทั้งสามกำลังกินปลาและอาหารทะเล หล่อนจึงรู้สึกว่าปกติแล้วพวกหล่อนคงจะไม่ได้กินมันบ่อย ๆ
เพราะวัตถุดิบในประเทศนี้ค่อนข้างจะหายาก
หล่อนจึงเย้ยหยันอย่างอดไม่ได้ “กินเยอะ ๆ เลยนะคะทุกคน ปกติแล้วคงจะไม่ได้กินของอร่อยกันใช่ไหมล่ะคะ”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นก่อนจะส่งยิ้มให้ เธอจิบไวน์แดงสองสามอึกก่อนจะกล่าวว่า “สหายเสี่ยวอวี่ คุณกู้ยืมเงินธนาคารมาตั้งมาก ตอนนี้จ่ายคืนถึงหนึ่งในสิบหรือยังคะ? ถ้าคุณชวนพวกเรามาดื่มกินอย่างสำราญด้วยเงินที่กู้มาจากธนาคาร และไม่ยอมจ่ายหนี้ ในอนาคตธนาคารจะยึดทรัพย์สินทั้งหมดไหม? แล้วในอนาคตคุณจะมีอาหารเต็มโต๊ะแบบนี้อีกไหมล่ะคะ?”
โยมิ อาซากุสะได้ยินอย่างนั้นก็กระทืบเท้าจากไปด้วยความโกรธทันที
ใช่ หล่อนกู้เงินจากธนาคารตั้งหลายล้าน และยังไม่ได้ผ่อนชำระคืนสักแดงเดียว
ความปรารถนาในใจของหล่อนมีเพียงความกระหายที่ต้องการทำลายห้องเสื้อจิ่นซิ่วให้พังพินาศ และให้ห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่าของหล่อนขึ้นมาแทนที่
แต่สถานการณ์ในเวลานี้คือห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่าของหล่อนถูกเสื้อผ้าอันงดงามของหลินม่ายบดขยี้ และยังไม่มีความหวังจะได้รับชัยชนะ
โยมิ อาซากุสะถึงกับลอบสบถในใจ
คนสมัยนี้มักจะนิยมสิ่งของจากต่างประเทศมาก เมื่อได้ยินว่าเป็นของจากต่างประเทศก็จะแห่กันไปสนใจ
หลินม่ายที่เป็นเจ้าของห้องเสื้อจิ่นซิ่วก็เพียงแค่เปลี่ยนแบรนด์เป็นของฮ่องกงไม่ใช่เหรอ? เพราะอย่างนี้จึงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคไม่ใช่เหรอ?
ห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่าของฉันที่มาจากประเทศเกาะมันก็สมควรจะเป็นที่นิยมในประเทศจีนด้วยสิ!
หลังจากรับประทานอาหารที่งานเลี้ยงของห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่าแล้ว หลินม่ายและสหายทั้งสองคนก็เดินออกจากงาน
ก่อนที่จะแยกย้าย พวกเธอจะต้องแวะเข้าไปพูดคุยกับเจ้าภาพสักหน่อย
เมื่อหลินม่ายพาเถาจืออวิ๋นและกู่เยี่ยนเข้าไปหาโยมิ อาซากุสะ เธอก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับผู้อำนวยการฉีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ผู้อำนวยการฉีพูดคุยกับโยมิ อาซากุสะด้วยรอยยิ้มที่แทบจะฉีกถึงใบหู “คุณก็เคยเห็นผ้าแคชเมียร์ของผมแล้วนี่ครับ และผมไม่ได้โกหกจริง ๆ แล้วจะมีเรื่องอะไรต้องกังวลอีกล่ะครับ? ผมรับประกันว่าจะจัดส่งให้ภายในครึ่งเดือนนี้ครับ”
แต่โยมิ อาซากุสะตอบรับอย่างไม่มีความสุข “เดี๋ยว ๆๆ ฉันทำได้แค่รองั้นเหรอ! ฉันตกลงว่าจะชำระเงินเต็มจำนวน และคุณจะส่งสินค้าทันทีไม่ใช่เหรอ นี่ฉันรอมาครึ่งเดือนแล้ว…”
เวลานี้น้ำเสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ขณะนั้นเองเห็นว่าหลินม่ายกำลังเดินเข้ามาหา ใบหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนสีก่อนจะกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
หลินม่ายกล่าวคำเบา “ไม่มีอะไรค่ะ พวกเราแค่กำลังจะกลับ เลยมาทักทายตามมารยาทน่ะค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะแสดงสีหน้าอย่างนี้กับแขก ตอนนี้ได้เห็นกับตาแล้ว”
หลังพูดจบ เธอก็เหยียดปากเย้ยหยันก่อนจะจากไปพร้อมเถาจืออวิ๋นและกู่เหยี่ยน
เห็นอย่างนั้นแล้ว แขกคนอื่นๆ ที่จะเข้ามาอำลาโยมิ อาซากุสะก็ถึงกับลังเล คิดในใจว่าจะเข้าไปบอกลาดีหรือไม่
ทั้งสามคนออกจากโรงแรม หลินม่ายเรียกแท็กซี่ให้กู่เยี่ยนเพื่อกลับโรงแรมเช่นกัน
เวลานี้เธอกลับบ้านพร้อมกับเถาจืออวิ๋น
ก่อนแท็กซี่จะมาถึงประตูบ้าน ทั้งสองคนเห็นฟางจั๋วหรานอุ้มเสี่ยวมู่ตง และฟางจั๋วเยวี่ยยืนรออยู่ที่ประตู
หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันพร้อมยกยิ้มมีความสุข
หลังจากลงจากรถแล้ว พวกเธอเดินเข้าหาคนรักของตนทันที
ผู้ชายทั้งสองคนก็เดินเข้าหาคนรักของตนอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ฟางจั๋วเยวี่ยเดินมาหาพร้อมถามว่า “ภรรยา คุณได้รับรางวัลไหม?”
เถาจืออวิ๋นกล่าวด้วยความเขินอาย “เรายังไม่แต่งงาน อย่าเพิ่งเรียกฉันแบบนี้”
ฟางจั๋วเยวี่ยหัวเราะก่อนจะยกผ้าขนสัตว์คลุมไหล่ให้หล่อน แล้วโอบไหล่หล่อนพาเข้าบ้านอย่างอบอุ่น
สำหรับพี่ชายและพี่สะใภ้ เขาลืมสองคนนี้ไปนานแล้ว
เมื่อหลินม่ายเห็นฟางจั๋วหราน เธออดไม่ได้ที่จะตำหนิ “คุณพาลูกออกมาทำไม อากาศมันหนาวนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมกอดเขาไว้แน่นแล้ว เขาอุ่นแน่นอน”
ทั้งคู่เดินเข้าบ้านพร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย
ในปีนี้ ประเทศเกาะมีการประกวดแฟชั่นดีไซน์เนอร์ในวันที่ 15 ธันวาคมด้วย
แน่นอนว่าเถาจืออวิ๋นและโยมิ อาซากุสะก็เข้าร่วมการแข่งขันนี้เช่นกัน
แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือเถาจืออวิ๋นถูกเชิญให้เข้าร่วม แต่โยมิ อาซากุสะลงทะเบียนด้วยตนเอง
หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นบินไปประเทศเกาะเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันแฟชั่นภายในประเทศ
และการเดินทางรอบนี้จะต้องใช้เวลาหลายวัน
ในคืนก่อนที่จะเดินทาง หลินม่ายเริ่มปรุงซุปเอาไว้ให้ฟางจั๋วหรานดื่มในทุกวัน
แต่ฟางจั๋วหรานไม่ต้องการให้เธอต้องเหนื่อย เขาจึงอุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน
“ผมแข็งแรงแล้วครับ ไม่ต้องทำซุปแล้ว ตอนนี้ทุกคนบอกว่าผมดูอ้วนขึ้นด้วยซ้ำ”
หลินม่ายจ้องมองเขาสักครู่ “ไม่เห็นจะอ้วนเลยค่ะ พวกเขาพูดจาไร้สาระทั้งนั้น”
หากภรรยาบอกว่าไม่อ้วนก็คือไม่อ้วน
หลินม่ายแกะมือเขาออกแล้ววิ่งลงไปชั้นล่าง เธอยืนกรานอย่างหนักว่าจะทำซุปให้เขาก่อนแล้วค่อยนอนภายหลัง
แม้หลินม่ายไม่ได้รับเชิญจากคณะกรรมการแข่งขันภายในประเทศเกาะด้วย แต่เธอก็เข้าใจภาษาและพูดได้อย่างคล่องแคล่ว
คราวนี้เธอจึงไปกับเถาจืออวิ๋นในฐานะล่าม
วันต่อมา ทั้งสองลากกระเป๋ามาที่สนามบินด้วยกัน ก่อนจะได้พบเจอกับโยมิ อาซากุสะอีกครั้ง
อีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับชายสองสามคนซึ่งดูเหมือนเป็นเหล่าอาวุโสระดับสูง
ต่างฝ่ายต่างเห็นกันแล้ว
โยมิ อาซากุสะไม่คิดทักทาย ส่วนหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นก็ไม่สนใจหล่อนเช่นกัน
อาวุโสระดับสูงที่กำลังยืนล้อมรอบโยมิ อาซากุสะอยู่มองเห็นหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นแล้ว
เวลานี้หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นว่า “ไม่คิดเลยว่าหลินม่ายตัวจริงจะสวยกว่าที่ฉันเคยเห็นในทีวีซะอีก”
ใบหน้าของโยมิ อาซากุสะถึงกับมืดครึ้ม
แต่ทันใดหล่อนก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนจากตระกูลใหญ่ จึงรีบเก็บงำความอิจฉาไว้ในใจทันที
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หน้าใหญ่ใจโตแบบนี้ ระวังเวลาล้มแล้วกันนะคะ ยิ่งตกลงมาสูงยิ่งกระแทกแรงเจ็บหนักนะ
ไหหม่า(海馬)