ตอนที่ 928 สหายในวัยเด็ก
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่ได้สนใจโยมิ อาซากุสะในเวลานี้
ภรรยาของเขาถูกเอาเปรียบ เขาจึงโกรธมากจนอยากเตะหลูเจียซิ่งที่นอนอยู่บนพื้นให้ตายตก
หลูเจียซิ่งตกใจมาก เขารีบลุกขึ้นจากพื้นเพื่อวิ่งหนีพลางตะโกน “ผมไม่ได้ลวนลามภรรยาของคุณ คุณเข้าใจผิดแล้ว!”
หลินม่ายเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยเพิ่งได้รับการผ่าตัดมะเร็งตับเมื่อไม่นานมานี้ และไม่สามารถออกแรงได้เต็มที่
เธอจึงคว้าแขนฟางจั๋วเยวี่ยที่กำลังจะไล่ตามหลูเจียซิ่งและพูดว่า “ฉันตามเอง”
เธอกระโจนตัวออกไปราวกับกระต่าย ก่อนตามหลูเจียซิ่งทันอย่างรวดเร็วพร้อมเตะเขาจากด้านหลัง
หลูเจียซิ่งเสียหลักล้มไปด้านหน้าจนกระแทกพื้นอย่างแรง ส่งผลให้จมูกมีเลือดกำเดาไหลพร้อมฟันหน้าหักสองซี่
หลินม่ายคว้าข้อเท้าข้างหนึ่งของเขาและลากกลับไปยังที่เดิมเหมือนกับลากซากสุนัข
หลูเจียซิ่งเห็นว่าตัวเองฟันหน้าหักสองซี่และเลือดกบปาก เขาตะโกนขึ้นอย่างคลุมเครือว่า “ผมจะไปสถานีตำรวจเพื่อฟ้องคุณในข้อหาทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา”
“ฟ้องเลยสิ” หลินม่ายพูดอย่างใจเย็น “ฉันจะจัดการไปทีละอย่าง ก่อนอื่นต้องจัดการเรื่องที่แกลวนลามเพื่อนของฉันก่อน”
หลูเจียซิ่งยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง “ผมไม่ได้แตะต้องเพื่อนของคุณเลยสักนิด”
“จริงเหรอ?” หลินม่ายโยนเขาลงพื้น และยกมือปรามฟางจั๋วเยวี่ยที่อยากจะเข้ามาจัดการอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด
เธอชี้ไปยังหลูเจียซิ่งที่อยู่บนพื้นและถามฝูงชนเสียงดัง “เมื่อครู่มีใครเห็นชายคนนี้จับก้นเพื่อนของฉันไหมคะ?”
มีผู้คนมากมายในสนามบิน หลินม่ายไม่เชื่อว่าจะไม่มีพยานรู้เห็นเลย
ทันทีที่พูดจบ เสียงใสกังวานของเด็กสาวอายุราวสิบห้าปีก็ดังขึ้น “หนูค่ะ! หนูเห็น!”
ทุกคนหันมองเด็กสาวตัวน้อยเป็นตาเดียว ขณะที่แม่ของเด็กสาวพูดด้วยความโกรธ “แม่บอกแล้วใช่ไหม อย่าแส่หาเรื่องใส่หัว ทำไมไม่ฟังกันบ้าง?”
จากนั้นหล่อนก็หันไปพูดขอโทษกับฝูงชนว่า “เด็ก ๆ ก็พูดไร้สาระไปแบบนั้นแหละค่ะ อย่าถือสาเลยนะคะ”
หลูเจียซิ่งซึ่งนอนอยู่บนพื้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่เด็กสาวยังคงยืนกรานพูดว่า “หนูไม่อาจดูพี่หลินม่ายถูกใส่ร้ายได้”
หล่อนสะบัดมือของแม่ออก ก่อนฝ่าวงล้อมเดินไปตรงกลางอย่างกล้าหาญพร้อมชี้หลูเจียซิ่งและพูดว่า “หนูเห็นลุงคนนี้จับก้นของพี่สาวคนนี้ด้วยตาของตัวเอง”
สิ้นเสียง หล่อนชี้ไปทางเถาจืออวิ๋นอีกครั้ง
หลูเจียซิ่งตะโกนแย้ง “ผมไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่บังเอิญไปสัมผัสตอนสะบัดมือออกเท่านั้น”
เมื่อครู่เขาบอกว่าไม่ได้แตะต้องเถาจืออวิ๋นเลย แต่ตอนนี้กลับบอกว่ามือของเขาไปโดนหล่อนโดยไม่ได้ตั้งใจ
ต่อให้โง่เขลาแค่ไหนก็รู้ว่าเขากำลังโกหก
หลินม่ายมองเขาอย่างเย็นชา “แกเพิ่งบอกว่าไม่ได้แตะต้องเพื่อนของฉัน แล้วทำไมถึงเปลี่ยนคำพูดตัวเองแล้วล่ะ?”
หลูเจียซิ่งพึมพำ “ที่ผมไม่ได้บอกความจริงไป เพราะกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด”
“เป็นแค่การเข้าใจผิดจริง ๆ หรือคะ?” หลินม่ายถามเด็กสาว “หนูเห็นผู้ชายเลวจับก้นพี่สาวคนนี้กี่ครั้งคะ?”
“อย่างน้อยสี่ครั้งค่ะ” เด็กสาวตอบกลับอย่างมั่นใจ
หลินม่ายมองหลูเจียซิ่งด้วยสายตาเหยียดหยาม “หนึ่งครั้งพอจะพูดว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่จะบังเอิญทั้งสี่ครั้งเลยเหรอ?”
หลูเจียซิ่งลูบคอด้วยความยากลำบาก “ผมไม่ได้แตะมันเยอะขนาดนั้น เด็กนั่นกำลังใส่ร้ายผม!”
เด็กสาวหน้าแดงด้วยความโกรธ “หนูไม่ได้โกหก!”
หลินม่ายถามว่า “คุณมีความแค้นฝังลึกอะไรกับเด็กสาวคนนี้หรือยังไง ถึงบอกว่าหล่อนกำลังใส่ร้ายคุณ?”
หลูเจียซิ่งไม่สามารถตอบได้
ในขณะนี้ ภารโรงของสนามบินและผู้สังเกตการณ์หลายคนก็ก้าวไปข้างหน้า โดยชี้ให้เห็นว่าหลูเจียซิ่งได้จับบั้นท้ายของเถาจืออวิ๋นหลายครั้ง และเห็นได้ชัดว่าเป็นการจงใจ
ไม่ใช่ว่าหลายคนขาดความยุติธรรม แต่พวกเขาเพียงแค่หลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้ง กระนั้นเมื่อมีคนเป็นผู้นำ ก็ย่อมมีคนตาม
หลินม่ายมองหลูเจียซิ่งอย่างเหยียดหยาม “คนเหล่านี้มีความแค้นกับคุณด้วยหรือเปล่า?”
หลูเจียซิ่งพูดไม่ออก
จากนั้นหลินม่ายหันมองโยมิ อาซากุสะ “คุณยังกล้ากล่าวหาว่าฉันเตะชายคนนี้ออกไปเพราะฉันดูแคลนเขาอีกหรือเปล่า?”
แม้แต่หลูเจียซิ่งยังไม่สามารถปฏิเสธ แล้วโยมิ อาซากุสะจะกล้าทำผิดต่อหลินม่ายได้อย่างไร?
หล่อนปิดปากแน่นยิ่งกว่าฝาหอย
เมื่อเห็นหลินม่ายพูดกับโยมิ อาซากุสะ ฟางจั๋วเยวี่ยก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จัดการหล่อน
เขาถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ผมได้ยินว่าคุณใส่ร้ายคุณปู่ของผมเมื่อครู่งั้นเหรอ?”
โยมิ อาซากุสะรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่มีทาง มันไม่ใช่ฉัน มันไม่จริง คนอื่นแค่พูดไร้สาระกันไปเอง มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยค่ะ…”
หลินม่ายพูดขึ้นทันที “คุณอาจไม่ได้ใส่ร้ายคุณปู่ของฉันอย่างเปิดเผย แต่ระหว่างชุลมุนคุณฉวยโอกาสสร้างกระแสบิดเบือนความคิดเห็นของสาธารณชนราวกับไม่มีใครสามารถล่วงรู้เล่ห์เหลี่ยมของคุณได้”
ฟางจั๋วเยวี่ยมองโยมิ อาซากุสะตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางถามอย่างสงสัย “คุณเป็นใคร? แล้วคุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง?”
หลังจากไม่ได้เจอกันนาน ฟางจั๋วเยวี่ยจึงลืมโยมิ อาซากุสะไปนานแล้ว
โยมิ อาซากุสะพูดเสียงเบา “ฉันชื่ออวี่กั๋วหงค่ะ…”
หลินม่ายพูดอย่างเย็นชา “อย่าฟังเรื่องไร้สาระของหล่อน ชื่อของหล่อนไม่ใช่อวี่กั๋วหง หล่อนเปลี่ยนชื่อเป็นโยมิ อาซากุสะ”
หลังรับฟังดังนั้น ฝูงชนก็มองไปทางเป็นโยมิ อาซากุสะด้วยสายตาซับซ้อน
“โอ้… คุณนั่นเอง” ฟางจั๋วเยวี่ยมีท่าทางเบื่อหน่ายทันที “ไม่ได้เจอกันมากกว่าสิบปี ไม่คิดว่าจะโตมาชั่วร้ายขนาดนี้! รูปร่างหน้าตาสะท้อนจิตใจ คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลย ต่อให้ตอนเด็กคุณสวยแค่ไหน ตอนนี้คุณกลายเป็นคนน่าเกลียดไปแล้ว ดูปากบวมเจ่อของคุณสิ ให้มองตรงๆ ยังไม่อยากมองเลย!”
โยมิ อาซากุสะไม่ได้ขี้เหร่ แท้จริงหล่อนค่อนข้างเป็นคนสวย
แต่ปากไส้กรอกนั้นส่งผลต่อรูปร่างหน้าตาของหล่อนจริง ๆ
หล่อนไม่ชอบให้ใครพูดถึงปากบวมเจ่อของเธอมากนัก แต่ฟางจั๋วเยวี่ยกลับพูดถึงมันโดยตรง ไม่พอแค่นั้น ยังบอกว่าหล่อนน่าเกลียด
โยมิ อาซากุสะเดือดดาลจนหน้าแดงก่ำ “จั๋วเยวี่ย คุณจะมากเกินไปแล้วนะ!”
“ที่ผมทำแบบนี้ ก็เพราะคุณรังแกคนของผมก่อน!” ฟางจั๋วเยวี่ยกล่าวตบหน้าหล่อนอย่างแรง และบอกเหตุผลที่เขารังแกหล่อน
โยมิ อาซากุสะเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยไม่คิดถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่า หล่อนพูดด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา “หลินม่ายร่ำรวยขึ้นมาได้จากการพึ่งพาคุณปู่ของคุณ! หากไม่มีคุณปู่ของคุณ หล่อนที่เป็นแค่เด็กสาวจากชนบทจะได้รับโชคลาภมากมายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้ยังไง?”
ตราบใดที่พวกเขายังยึดมั่นในความจริงที่ว่า ความสำเร็จในอาชีพการงานของหลินม่ายนั้นเป็นเพราะอาศัยคุณปู่ฟางล้วนๆ พวกเขาก็จะไม่สามารถอธิบายมันออกไปได้
ใครบอกให้ฟางจั๋วเยวี่ยทำให้หล่อนอับอายก่อนกัน ในเมื่อเป็นแบบนี้หล่อนก็จะทำให้ชื่อเสียงของคุณปู่ฟางและหลินม่ายเสื่อมเสีย
การแพร่กระจายข่าวลือใช้เวลาเพียงชั่วครู่ แต่การหักล้างอาจเป็นความพยายามที่เหน็ดเหนื่อย
โยมิ อาซากุสะยิ้มอย่างพอใจ หล่อนต้องการดูว่าหลินม่ายและคนอื่น ๆ จะลบล้างข่าวลือนี้ได้อย่างไร
คงจะดีมากถ้าข่าวลือของหล่อนสามารถทำลายตระกูลฟางได้
หลินม่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางส่ายหัว “คุณกำลังขุดหลุมฝังศพตัวเองใช่ไหม? งั้นฉันจะช่วยเอง!”
ฟางจั๋วเยวี่ยชี้ไปทางโยมิ อาซากุสะและพูดว่า “คุณกล้าดียังไงถึงมาใส่ร้ายคุณปู่และพี่สะใภ้ต่อหน้าผม คอยดูเถอะ!”
โยมิ อาซากุสะเชิดหน้าขึ้น “คอยดูอยู่แล้ว ทำอย่างกับว่าฉันจะกลัวคุณ!”
เมื่อตอนที่ปู่ของหล่อนยังมีชีวิตอยู่ เขามีชื่อเสียงที่น่าเกรงขาม
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่เมื่อลูกหลานของเขาทำผิดพลาด เหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ยังไม่กล้าลงโทษลูกหลานเหล่านี้
มิเช่นนั้นมันจะไม่เป็นการก่อเวรแก่ลูกหลานของผู้พลีชีพอื่น ๆ ที่สละชีพเพื่อชาติหรือ?
นอกจากนี้ คุณปู่ฟางเป็นคนใจกว้างมาก เขาจะสนใจลูกหลานรุ่นหลังอย่างเธอได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าโยมิ อาซากุสะไม่สนใจ หลินม่ายจึงประกาศชื่อปู่ของหล่อนในที่สาธารณะด้วยเจตนาร้าย
ก่อนพูดต่อว่า “โยมิ อาซากุสะจงใจใส่ร้ายป้ายสีฉันและคุณปู่ เพราะเราเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ และหล่อนเป็นประธานห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่า”
ห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่าและห้องเสื้อจิ่นซิ่วเป็นคู่แข่งที่ร้ายกาจ ซึ่งผู้บริโภคหลายคนทราบดี
ทุกคนมองไปที่โยมิ อาซากุสะด้วยสายตาที่ซับซ้อน
หลินม่ายเอ่ยตบหน้าโยมิ อาซากุสะต่อ “คุณไม่สามารถแข่งขันทางธุรกิจกับฉันได้ คุณจึงหันมาใส่ร้ายฉันและปู่ของฉันแทน ใครจะไปรู้กันล่ะว่าปู่ของคุณในโลกใต้พิภพอาจรู้เรื่องนี้ บางทีเขาอาจจะโกรธจัดจนถึงขนาดมาเยี่ยมคุณกลางดึกก็ได้”
ฝูงชนที่รับชมเหตุการณ์ต่างพากันหัวเราะ โยมิ อาซากุสะรู้สึกอับอายมาก แต่ก็ไม่อาจกล่าวปฏิเสธได้
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ปากเสียแบบนี้ระวังส่งผลเสียต่อแบรนด์เสื้อตัวเองที่ทำท่าจะก้าวขาลงเหวนะคะยัยคุณหนู คิดจะงัดข้อกับแบรนด์ของม่ายจื่อมันเหนื่อยอยู่นะ
ไหหม่า(海馬)