ตอนที่ 929 ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ขณะนี้สนามบินส่งเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารให้ขึ้นเครื่องแล้ว
ฟางจั๋วเยวี่ยฉุดหลูเจียซิ่งขึ้นจากพื้นก่อนจะหันมาพูดกับเถาจืออวิ๋นว่า “ภรรยา พี่สะใภ้ ไปแข่งที่ประเทศเกาะคราวนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่หมาบ้าบางตัวจะมากเล่ห์เหลี่ยมเหมือนตอนอยู่ในประเทศเรา คราวนี้พวกคุณต้องได้ที่หนึ่งแน่”
เขากำลังพูดถึงโยมิ อาซากุสะ
โยมิ อาซากุสะถึงกับสบฟันแน่นด้วยความโกรธ
ฟางจั๋วเยวี่ยเขย่าหลูเจียซิ่งที่ฟุบตัวอยู่บนแขนของเขาเล็กน้อย “ส่วนทางนี้ผมจะจัดการให้กับคุณเอง”
ได้ยินอย่างนั้น หลูเจียซิ่งก็เผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมา
เขาอยากจะร้องไห้ แต่เขาไม่กล้า เพราะด้วยภูมิหลังของหลินม่าย เขาไม่กล้าที่จะโต้แย้งใด ๆ
เขาเพียงต้องการใช้ประโยชน์จากเพื่อนสนิทของหล่อน แต่เขากลับสร้างปัญหาเสียได้
โยมิ อาซากุสะฟังเสียงเรียกขึ้นเครื่องบินซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะหันมองหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นด้วยรอยยิ้มเย่อหยิ่ง
หล่อนคิดในใจว่า ในเมื่อนังสองคนนี้ไม่สามารถพูดภาษาประเทศเกาะได้ ทั้งสองจะต้องเข้ามาขอความช่วยเหลือจากหล่อนแน่นอน
ในเวลานั้น นอกจากหล่อนจะไม่ช่วยทั้งสองคนแล้ว แต่ยังคิดจะสร้างความอับอายให้กับพวกหล่อนเพื่อระบายความคับแค้นใจด้วย
ทว่าสิ่งที่หล่อนไม่คาดคิดมาก่อนคือผู้หญิงทั้งสองคนนี้กลับไม่มาอ้อนวอนให้หล่อนร่วมทริปไปด้วยจนกระทั่งขึ้นเครื่องด้วยซ้ำ
โยมิ อาซากุสะลอบคาดเดาในใจว่าหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นคงจะไม่ต้องการขอร้องหล่อนจนกว่าจะถึงเวลาล่ะมั้ง
จากสนามบินแผ่นดินใหญ่ในปักกิ่งไปยังประเทศเกาะ ยังไม่มีการใช้ภาษาประเทศเกาะในระหว่างนี้
นังแพศยาทั้งสองคนนั้นคงจะรอจนถึงประเทศเกาะก่อน แล้วค่อยอ้อนวอนขอความช่วยเหลือภายหลังแน่
เพราะท้ายที่สุดแล้วหากไม่เข้าใจภาษาประเทศเกาะ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนไหวใด ๆ ที่นั่น
หากไม่ถามหล่อน พวกเขาอาจจะหาสถานที่จัดการแข่งขันไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งนึกถึงภาพหลินม่ายมาร้องขอความช่วยเหลือด้วยใบหน้าไร้เดียงสาราวกับสุนัขจนตรอก โยมิ อาซากุสะยิ่งยิ้มเยาะ หล่อนอารมณ์ดีอย่างอดไม่ได้ขณะก้าวเท้าขึ้นเครื่องด้วยใบหน้าหยิ่งยโส
เถาจืออวิ๋นจ้องมองคน ๆ นั้นอย่างว่างเปล่า
หล่อนกล่าวกระซิบกับหลินม่าย “ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าคนแซ่อวี่ยังเป็นหนี้ธนาคารจำนวนมากไม่ใช่เหรอ? แต่หล่อนถึงกับกล้าซื้อตั๋วชั้นหนึ่งเชียวนะ ไม่ละอายใจบ้างหรือไง”
หลินม่ายยักไหล่ “ใครจะไปรู้ล่ะ?”
ทั้งเธอและเถาจืออวิ๋นไม่ใช่คนไร้สาระอย่างนั้น จึงไม่อาจเข้าใจวงจรความคิดของพวกไร้สาระเหล่านี้ได้
แน่นอนว่าทั้งสองคนซื้อตั๋วชั้นประหยัด
ทันทีที่หลินม่ายนั่งลงบนที่นั่ง เธอก็ลุกขึ้นอีกครั้งก่อนจะชี้ไปยังห้องโดยสารของชั้นธุรกิจว่า “ฉันจะไปที่นั่นสักครู่”
ท้ายที่สุด เธอก็หยิบกล้องตัวเล็กออกมาจากกระเป๋า
กล้องตัวนี้เธอซื้อมันมาเพื่อการแข่งขันแฟชั่นโดยเฉพาะ มันมีไว้เพื่อถ่ายภาพเวลาอยู่ในงานประกวด
แต่เถาจืออวิ๋นถามออกไปอย่างสับสน “จะไปทำอะไรเหรอ?”
หลินม่ายโบกมืออย่างไม่หันกลับมามอง “ไม่ต้องห่วงหรอก”
เมื่อเธอมาถึงประตูโดยสารของชั้นธุรกิจแล้ว เธอกำลังจะเข้าไปด้านในแต่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหยุดเธอเอาไว้ก่อนจะถามว่า “คุณคิดจะทำอะไรคะ?”
เมื่อเห็นโยมิ อาซากุสะหันศีรษะกลับมาหลังได้ยินว่าหลินม่ายเริ่มเคลื่อนไหว หลินม่ายจึงยื่นมือป้องกันใบหน้าเพื่อไม่ให้โยมิ อาซากุสะมองเห็นตน
เวลานี้หลินม่ายยกยิ้มก่อนจะพูดต่อว่า “พอดีฉันมีเพื่อนต่างชาติที่ไม่เชื่อว่าสายการบินของประเทศเรามีห้องโดยสารชั้นธุรกิจด้วยน่ะค่ะ ฉันเลยอยากจะมาถ่ายรูปให้เขาดูว่าฉันไม่ได้โกหก”
คนจีนในยุคนี้ไม่เพียงแต่บูชาชาวต่างชาติ แต่ยังนึกปกป้องประเทศตนด้วย
สิ่งที่ได้ยินมากที่สุดคือประเทศจีนยากจน และล้าหลัง
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินรีบพูดออกมาอย่างปกป้องบ้านเกิด “เอากล้องมาให้ฉันค่ะ เดี๋ยวฉันถ่ายให้เอง”
หลินม่ายโผล่ศีรษะออกมาครึ่งหนึ่งก่อนจะหันมองภายในห้องโดยสาร และเห็นว่าโยมิ อาซากุสะหันกลับไปแล้ว
เธอชี้ไปยังที่นั่งของโยมิ อาซากุสะก่อนจะพูดกับพนักงานต้อนรับว่า “คุณควรจะถ่ายให้ติดผู้หญิงคนนั้นด้วยนะคะ หล่อนทั้งแต่งตัวดี และทันสมัย มันจะแสดงให้เห็นว่าประเทศของเราพัฒนาไปไกลแค่ไหนแล้ว”
พนักงานต้อนรับพยักหน้าก่อนจะรับกล้องจากมือของหลินม่ายแล้วถ่ายรูปภายในห้องโดยสารชั้นธุรกิจ
คนสมัยนี้ยังไม่ถือเรื่องสิทธิส่วนบุคคลกันเท่าใดนัก เมื่อพนักงานต้อนรับขอถ่ายรูป พวกเขาก็เพียงยินยอมให้ถ่ายโดยถามเพียงเล็กน้อยว่าถ่ายเพื่ออะไร
พนักงานต้อนรับเพียงตอบกลับว่า “เพื่อให้ชาวต่างชาติเห็นค่ะว่าประเทศจีนของพวกเราไม่ได้ยากจนและล้าหลังอย่างที่พวกเขาคิด”
เมื่อผู้โดยสารชั้นธุรกิจได้ยินอย่างนั้น พวกเขาทั้งหมดนั่งตัวตรงและหวังว่าภาพที่ถูกถ่ายไปจะไม่สร้างความอับอายให้กับประเทศจีน
หลินม่ายได้รับภาพถ่ายหลายใบจากพนักงานต้อนรับ และเป็นภาพที่มีโยมิ อาซากุสะรวมอยู่ด้วย
โยมิ อาซากุสะคิดว่าตนเองสวยเสียเต็มประดา เช่นนี้พนักงานต้อนรับจึงมาขอถ่ายภาพเดี่ยวของหล่อนด้วย หล่อนจึงโพสท่ามากมายใส่กล้อง
หลังจากพนักงานต้อนรับถ่ายรูปเสร็จแล้ว หล่อนก็ส่งกล้องคืนให้กับหลินม่าย
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินไม่สามารถรับทิปจากผู้โดยสารได้
หลินม่ายจึงไม่กล้าที่จะให้ทิปส่วนตัว
เวลานี้เธอปลดเข็มกลัดบนเสื้อและมอบให้กับพนักงานต้อนรับเพื่อแสดงความขอบคุณ
แน่นอนว่าเข็มกลัดชิ้นนี้คือเครื่องประดับจากโรงงานไป๋เหอ และเธอเพิ่งสวมใส่มันเป็นวันแรก
มันไม่ใช่เครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ด้วย
พนักงานต้อนรับรับของขวัญจากหลินม่ายด้วยความยินดี
ผ่านไปกว่าห้าชั่วโมง เครื่องก็ลงจอดที่สนามบินโตเกียว
หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นลงจากเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่น ๆ และได้พบกับโยมิ อาซากุสะอีกครั้งในระหว่างรอเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง
หล่อนยืนอยู่ตรงหน้า มีเพียงคนไม่กี่คนที่คั่นระหว่างทั้งสอง
หลินม่ายอดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้อืดอาดยืดยาดเสียจริง
เพียงเพื่ออวดความสามารถในการพูดภาษาประเทศเกาะ โยมิ อาซากุสะจงใจพูดคุยกับนักท่องเที่ยวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
บางครั้งก็ยังมองเหยียดหลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นอย่างเย่อหยิ่ง ในแววตาเปิดเผยความหมายว่าอย่าอวดดีให้มากนัก
เถาจืออวิ๋นถามหลินม่ายอย่างสับสน “ทำไมคน ๆ นั้นถึงมองพวกเราบ่อยนักล่ะ?”
หลินม่ายไม่ใช่พยาธิตัวกลมในท้องของโยมิ อาซากุสะ ใครจะทราบว่าอีกฝ่ายหันมองตนทำไม
เธอจึงส่ายหน้าพร้อมตอบเรียบง่ายว่า “ไม่รู้เหมือนกัน”
โยมิ อาซากุสะไม่ได้มีเจตนาอื่นใด หล่อนเพียงต้องการให้หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นขอร้องตน
ไม่นานนักก็ถึงคิวของโยมิ อาซากุสะที่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และหลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นก็ยังคงนิ่งสงบดุจภูเขาไท่ซาน
โยมิ อาซากุสะกัดฟันแน่นด้วยความโกรธก่อนจะลอบนึกในใจ ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากฉันงั้นเหรอ หึ อย่างหล่อนสองคนคงไม่สามารถผ่านด่านตรวจนี้ไปได้หรอก!
โยมิ อาซากุสะไม่สนใจหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นอีกต่อไป ก่อนจะตอบคำถามต่าง ๆ ภายในด่านรักษาความปลอดภัย
หล่อนกล่าวอย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นคนของประเทศเกาะจริง ๆ
ด้วยความที่หล่อนพูดภาษาประเทศเกาะได้คล่องแคล่วมาก เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองชาวประเทศเกาะจึงคิดว่าหล่อนคือคนในประเทศ และปฏิบัติกับหล่อนอย่างสุภาพชน
แต่เมื่อตรวจสอบหนังสือเดินทางและรู้ว่าหล่อนมีสัญชาติแผ่นดินใหญ่ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
ก่อนจะเริ่มถากถางหล่อนราวกับเห็นหล่อนเป็นสุนัข
แต่โยมิ อาซากุสะกลับเชื่อฟังอีกฝ่ายราวกับสุนัขจริง ๆ ไม่ว่าผู้รักษาความปลอดภัยทั้งสองจะสร้างความลำบากให้กับหล่อนมากแค่ไหน หล่อนก็ยินยอม
หากว่าหล่อนมีหาง มันคงกระดิกจนหักไปแล้ว
หล่อนไม่ได้เกลียดทัศนคติของตำรวจทั้งสองคนนี้ที่มีต่อตน แต่เกลียดชังตัวเองว่าทำไมตนถึงเป็นคนแผ่นดินใหญ่
หลินม่ายลอบถ่ายภาพเหล่านี้จากด้านหลัง และวางแผนไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่ของโยมิ อาซากุสะรับชมสักหน่อย เพื่อให้พวกเขาทราบถึงพฤติกรรมของหล่อน
โยมิ อาซากุสะกำลังทำผิดต่อปู่ของตนเองด้วยการเลียแข้งเลียขาชาวประเทศเกาะ!
ไม่นานนักก็ถึงคิวของหลินม่ายในการผ่านด่านตรวจ
เพื่อให้เข้ากับชุดของตน หลินม่ายจึงสวมแว่นตาสีน้ำตาลเพื่อสร้างสีสันให้กับตัวเอง
เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองบอกกล่าวให้เธอถอดแว่นออก และเธอถอดมันออกอย่างว่าง่ายก่อนจะยื่นหนังสือเดินทางออกไป
แม้เธอจะเกลียดชังประเทศเกาะ แต่เธอก็ยินดีจะปฏิบัติตามกฏระเบียบของพวกเขา
พลเมืองของแผ่นดินใหญ่จะต้องมีมารยาทของแผ่นดินใหญ่ จะต้องภูมิใจในประเทศตนเองและไม่ทำเรื่องน่าขายหน้า
เมื่อตำรวจทั้งสองคนเห็นหลินม่ายมาจากแผ่นดินใหญ่ ความเป็นมิตรในสายตาพลันหายไปหมดสิ้น ก่อนจะเริ่มกล่าวเหยียดหยาม
แต่หลินม่ายไม่สนใจ
หากใครจะต่อว่าประเทศของเธอก็ปล่อยพวกเขาพูดไป แต่พลเมืองจะเหยียดหยามประเทศของตนเองไม่ได้!
หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้ว หลินม่ายสวมแว่นกันแดดกลับคืน
แต่ตำรวจคนนั้นกลับตวาดใส่เธอราวกับหมาบ้า “ใครสั่งให้คุณใส่แว่น? ไป ไปต่อคิวด้านหลัง!”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ตอนผู้แปลไปญี่ปุ่นทุกรอบก็ไม่เจอตม. ดุแบบนี้นะ หรือว่าตม.ที่นู่นทำแบบนี้กับนทท.จีนจริงๆ? แต่ต่อให้เป็นนทท.จีนก็ไม่น่าเจออะไรแบบนี้นะ เพราะปกติ ตม.ญี่ปุ่นจะสุภาพกับนักท่องเที่ยวมากถ้าคนๆ นั้นมันไม่มีพิรุธว่าจะมาทำผิดอะไรในประเทศเค้าหรือไม่ก็ไร้มารยาทจริงๆ ผู้เขียนเขียนเกินจริงไปหรือเปล่า? หรือบางคนเจอแจ็คพ็อตแบบนี้เข้าจริงๆ?
ไหหม่า(海馬)