ตอนที่ 930 มื้อเที่ยง
โยมิ อาซากุสะยังไม่ได้ออกจากด่านตรวจ หล่อนยืนอยู่ด้านนอกประตูเพื่อรับชมเรื่องตลกของหลินม่ายและเถาจืออวิ๋น
เพราะเหตุนี้หล่อนจึงยังยืนรอที่เดิม
หล่อนปิดปากก่อนจะยกยิ้มมีความสุข
หลินม่ายหันมองหน้าหล่อน นึกอยากจะถอดรองเท้าส้นสูงออกมาตบปากหล่อนสักทีสองที
แต่ความจริงไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เธอจึงปล่อยวาง แล้วค่อยหาโอกาสจัดการหล่อนภายหลัง
หลินม่ายหันหน้ากลับมาจับจ้องผู้รักษาความปลอดภัยตรงหน้าก่อนจะกล่าวเป็นภาษาประเทศเกาะอย่างคล่องแคล่วว่า “พาสปอร์ตมีปัญหาเหรอคะ?”
สุดท้ายแล้วถ้าพาสปอร์ตมีปัญหาจนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทำตัวหยาบคาย เธอก็ยังสามารถยอมรับได้
แต่ถ้าอีกฝ่ายพยายามสร้างความยุ่งยาก เธอจะต้องยืดหยัดให้ถึงที่สุด!
โยมิ อาซากุสะที่ยืนอยู่ไม่ไกลถึงกับตกตะลึง
หล่อนได้ยินมาว่าหลินม่ายเป็นเพียงสาวชนบท แม้จะเรียนในมหาวิทยาลัยชิงหวา แต่ก็ควรจะพูดได้เพียงภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่เธอกลับพูดภาษาประเทศเกาะได้ แล้วยังคล่องแคล่วมากเสียด้วย!
เวลานี้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่สนใจหลินม่าย แต่หันไปกระซิบกับเพื่อนร่วมงานอย่างเย้ยหยันว่า “คนแผ่นดินใหญ่นี่น่ารำคาญเป็นบ้า!”
หลินม่ายได้ยินอย่างนั้นถึงกับระเบิดอารมณ์ทันที “ถ้าพาสปอร์ตมีปัญหา ฉันสามารถไปต่อแถวใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มี ฉันก็จะไม่ไปต่อแถวใหม่เด็ดขาด! คุณบอกว่าคนแผ่นดินใหญ่สร้างปัญหา แล้วทำไมถึงไม่ชะโงกดูเงาตัวเองบ้างว่าปฏิบัติตัวยังไง? สุภาพนักเหรอ? รู้จักวิธีต้อนรับแขกไหมคะ? หรือว่าเพราะไม่เคยเรียนรู้มารยาท รู้เพียงการแสดงน่ากลัวขึงขังอย่างนี้เท่านั้น?”
เถาจืออวิ๋นดึงเสื้อของหลินม่ายด้วยความตกใจอยู่ด้านหลัง
เธอพยายามดึงสติของหลินม่ายและบอกกล่าวให้อีกฝ่ายใจเย็น
เวลานี้หลินม่ายไม่กลัว เธอคิดว่าตนเพียงกล่าวเหตุผลกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และมันไม่ใช่การสร้างปัญหา
เวลานี้แม้ประเทศเกาะจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ แต่หลายทศวรรษที่ผ่านสงครามยังไม่สิ้นสุด
ในฐานะประเทศที่พ่ายแพ้ และยังเป็นหลานของวีรชน เธอจึงไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายกลั่นแกล้งโดยง่าย
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตกตะลึงเมื่อเห็นหลินม่ายแข็งกร้าวเช่นนี้
ในบรรดาชาวแผ่นดินใหญ่ที่พวกเขาได้พบ มีเพียงไม่กี่คนที่ทำตัวจำยอมเช่นเดียวกับโยมิ อาซากุสะ และกล่าวยกย่องพวกเขาราวกับเป็นเทพเจ้า แต่ปกติโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเก็บกลั้นความโกรธเอาไว้
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับผู้ที่เด็ดขาดเช่นหลินม่าย
ท่าทางของพวกเขากลายเป็นโอนอ่อนทันที “ไม่มีปัญหา คุณผ่านไปได้แล้ว”
แต่เวลานี้หลินม่ายปฏิเสธที่จะจบเรื่องราวโดยดี เธอดึงเถาจืออวิ๋นมาก่อนจะกล่าวกับพวกเขาว่า
“เพราะประเทศของพวกคุณไร้ซึ่งมารยาทและความเป็นมิตร เราจึงไม่อยากมาเหยียบที่นี่ เหตุผลที่เรามาที่นี่ก็เพราะคุณเถาคนนี้ได้รับเชิญจากประเทศของคุณ ฉันมากับหล่อนในฐานะล่าม และตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าในสายตาของพวกคุณไร้ซึ่งความเป็นมิตรโดยสมบูรณ์ ในอนาคตถ้ามีการเชื้อเชิญอย่างนี้อีก พวกเราจะไม่มาเด็ดขาด!”
หลินม่ายเก่งกาจในการสยบอีกฝ่ายในการต่อว่าครั้งเดียว แต่สุดท้ายเธอมักจะไม่ใช่กลอุบายนี้นักเพราะบุคลิกของเธอเงียบขรึมยิ่งกว่าใคร
แต่เมื่อนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวแล้วกลับไม่มีประโยชน์ ก็ต้องงัดสิ่งนี้ออกมาใช้
เวลานี้หัวหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองถึงกับตื่นตระหนกแล้ว
แม้เขาจะกล่าวอย่างมีเหตุผล แต่ความจริงเขาก็ไม่แตกต่าง ในใจต้องการขับไล่หลินม่ายไปให้พ้นเสีย
หลินม่ายยืนหยัดอย่างถึงที่สุด ก่อนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดจะยอมขอโทษและยอมรับความผิดพลาดของพวกเขา สุดท้ายเรื่องราวจึงจบลง
ทันทีที่หัวหน้าและผู้รักษาความปลอดภัยของด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศญี่ปุ่นยอมก้มศีรษะให้ หลินม่ายบอกกล่าวให้เถาจืออวิ๋นถ่ายรูปเป็นหลักฐานไว้ด้วย
หลังจากที่เธอสร้างเรื่องตรงนี้แล้ว เจ้าหน้าที่จะได้ไม่กล้าละเลยและปฏิบัติตัวหยาบคายกับคนจีนที่อยู่ด้านหลังอีกต่อไป
โยมิ อาซากุสะเห็นฉากนี้แล้วก็ยิ่งรู้สึกรำคาญที่หลินม่ายคืนศักดิ์ศรีแก่ประเทศของตนเองและนักท่องเที่ยวชาวจีนได้
หล่อนอดไม่ได้ที่จะพึมพำเบาๆ “เอะอะโวยวายเก่งจริง ๆ ออกจากประเทศก็สร้างแต่เรื่องน่าอับอาย!” ก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางแล้วเดินออกไป
ทันทีที่เดินออกจากสนามบิน เถาจืออวิ๋นยกนิ้วโป้งให้หลินม่ายอย่างชื่นชม “สุดยอดมากเลย ฉันน่ะกลัวแทบตายเลยนะ!”
แต่หลินม่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย เราไม่ใช่คนผิดสักหน่อย ถ้าเกิดเรื่องร้ายแรง ประเทศก็ต้องช่วยเหลือเราอยู่แล้ว เพราะฉันเป็นคนยืนหยัดเพื่อประเทศของเรา”
ในชีวิตชาติที่แล้ว เธอเคยถูกประเทศในยุโรปควบคุมตัวไว้อย่างผิดกฎหมายยาวนานหลายปี แต่สุดท้ายประเทศจีนก็ช่วยเหลือเธอเอาไว้ได้!
ทั้งสองเดินไปรอบ ๆ ก่อนจะพบโรงแรมธรรมดาแห่งหนึ่งและจองห้องพัก
หลังจากเก็บสัมภาระทั้งหมดแล้ว หลินม่ายพาเถาจืออวิ๋นออกไปล้างรูปที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบนและเถาจืออวิ๋นถ่ายเอาไว้
หลังจากส่งกล่องฟิล์มไปที่สตูดิโอถ่ายภาพ ถึงบ่ายโมงกว่า ทั้งสองเริ่มหิวและถึงเวลามื้อกลางวันแล้ว
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะเบื่อหน่ายกับอาหารในประเทศเกาะ เธอรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างทั้งคาวและไม่ค่อยน่ารื่นรมย์นัก
ไม่รู้ทำไมคนแผ่นดินใหญ่ถึงชอบกินข้าวปั้นของประเทศเกาะนัก
หลินม่ายรู้สึกว่าข้าวปั้นของประเทศเกาะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับซุปเครื่องในปลาของแผ่นดินใหญ่ด้วยซ้ำ
อย่างไรเสียหลินม่ายก็ยังชื่นชอบปลาปักเป้าของประเทศเกาะมาก เพราะในชีวิตที่แล้วเธอเคยกินมันในประเทศเกาะมาก่อน
ตอนนี้ก็ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วด้วย
ขณะที่เถาจืออวิ๋นได้ยินหลินม่ายบอกว่ากำลังจะพาไปกินปลาปักเป้า ใบหน้าของหล่อนพลันซีดขาวในทันที
ระหว่างทางเถาจืออวิ๋นพยายายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายเลิกคิดที่จะกินปลาปักเป้าเพราะมันมีพิษร้ายแรง
หลินม่ายบอกว่าปลาปักเป้ามีพิษ แต่ถ้าถูกปรุงอย่างเหมาะสมมันก็สามารถกินได้
ยิ่งไปกว่านั้นปลาปักเป้ายังอร่อยมากด้วย หากประเทศบ้านเกิดรู้เรื่องนี้ ปลาปักเป้าคงจะสูญพันธุ์แน่นอน
เถาจืออวิ๋นยังไม่กล้าที่จะลิ้มรสแม้จะได้ยินอย่างนั้น แต่หลินม่ายยังยืนยันว่าต้องไปให้ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงโดยจำยอม
มีร้านปลาปักเป้ามากมายในโตเกียว หลินม่ายเดินเลือกร้านอยู่นานก่อนจะเข้าไปด้านในพร้อมกับเถาจืออวิ๋นแล้วนั่งลง
แต่พวกหล่อนได้พบโยมิ อาซากุสะสวมใส่ชุดกิโมโนนั่งรับประทานอยู่ที่ร้านนี้ด้วย และสิ่งที่หล่อนกินก็คือราเมนธรรมดา
เป็นเพราะหลินม่ายมาพบหล่อนในขณะที่กำลังกินมื้อกลางวันราคาถูก โยมิ อาซากุสะจึงลอบเขินอายอยู่สักครู่
แต่หล่อนก็คิดได้ว่าทั้งสองคนนั้นรวยมากเช่นกัน แต่กลับยินดีที่จะนั่งเครื่องบินโดยสารชั้นประหยัด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ามากินปลาปักเป้า ทุกคนคงจะเหมือน ๆ กัน
หล่อนจึงเลือกที่จะกินราเมนไปอย่างใจเย็น
บริกรชายคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะของหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นพร้อมเมนูในมือ
ได้ยินทั้งสองพุดคุยกันเป็นภาษาจีน บริกรผู้นั้นจึงถามเป็นภาษาจีนด้วยความตื่นเต้น “พวกคุณสองคนมาจากประเทศจีนเหรอครับ?”
หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นหันมองท่าทางตื่นเต้นของบริกรผู้นี้ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เขารีบตอบกลับมาว่า “ผมก็มาจากประเทศจีนเหมือนกัน ผมอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วพวกคุณมาจากไหนกันเหรอครับ?”
หลินม่ายตอบ “หูเป่ยค่ะ”
จากนั้นจึงลูบคลำท้องของตนเอง “เราสองคนหิวมากเลย คุณช่วยรับออเดอร์ก่อนได้ไหม?”
บริกรยกยิ้มเขินอายก่อนจะตอบกลับว่า “รอสักครู่นะครับ” จากนั้นวิ่งเข้าครัวไปพร้อมกับเมนูในมือ
หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงที่อีกฝ่ายวิ่งไปโดยลืมให้เมนูกับพวกเขา
ไม่นานนัก บริกรเดินออกมาจากครัวพร้อมราเมนสองชามวางลงตระหน้าของหลินม่ายและเถาจืออวิ๋น
เวลานี้ทั้งสองคนตกตะลึงชัดเจน
หลินม่ายพูดต่อว่า “พวกเรายังไม่ได้สั่งเลย ทำไมถึงเอาราเมนมาให้ล่ะคะ?”
บริกรพูดต่อว่า “บะหมี่สองชามนี้ให้พวกคุณครับ แล้วก็สั่งเพิ่มเติมได้เลย”
โยมิ อาซากุสะซึ่งกำลังนั่งกินราเมนอยู่ไม่ไกลสีหน้าถึงกับแปรเปลี่ยนทันที
ตอนที่หล่อนเรียนอยู่ที่นี่ หล่อนมักจะมากินอาหารที่ร้านนี้บ่อย ๆ แต่บริกรคนนี้ไม่เคยมอบอาหารให้หล่อนฟรีสักครั้ง
แต่เพราะหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นพูดภาษาจีนได้ พวกเขาจึงเห็นทั้งสองเป็นสหายร่วมชาติ และมอบราเมนให้สองชามอย่างมีน้ำใจ
เรื่องนี้ทำให้หล่อนรู้สึกรำคาญ และคิดว่าจะไม่กลับมาอุดหนุนร้านนี้อีกในอนาคต
หลินม่ายรู้สึกดีใจมาก เธอสั่งชุดปลาปักเป้าชุดใหญ่ ทั้งซาชิมิปลาปักเป้า ปลาปักเป้าหม้อไฟ
ทันทีที่โยมิ อาซากุสะได้ยิน ร่างกายของหล่อนถึงกับแข็งทื่อทันที
อาหารเช่นปลาปักเป้าครบชุดนั้นแพงมาก หล่อนที่อาศัยอยู่ในประเทศเกาะมานานหลายปีก็ยังไม่เคยลิ้มรส
เวลานี้หล่อนรีบกินราเมนราคาถูกของตัวเอง ก่อนจะจ่ายเงิน และหลบออกไปเงียบ ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หรือว่านี่คือการบัฟพลังให้ม่ายจื่อ ด้วยการเขียนให้ชาวประเทศเกาะดูหยาบคายแบบเปิดเผยกัน?
แปลไปก็เหลือเชื่อไป มันมีอะไรแบบนี้จริงๆ เหรอคะ ประเภทที่ร้านขายปลาปักเป้าดูเป็นร้านอาหารธรรมดาๆ เพราะร้านอาหารที่จะขายปลาปักเป้าได้นี่มันดูเป็นร้านหรูที่พ่อครัวต้องผ่านใบอนุญาตแล่ปลาปักเป้าโดยเฉพาะนะ หรือว่านี่เป็นจักรวาลคู่ขนาน?
ม่ายจื่ออย่าบู้บี้ซูชิ เธอกินไม่เป็นแล้วอย่ามาทำรังเกียจ อะไรคือการที่เธอกินซาชิมิปักเป้าอย่างมีความสุขขณะบู้บี้ซูชิคะ เธอนี่ย้อนแย้งเกลียดปลาไหลกินน้ำแกงนะเนี่ย นี่คงเป็นการเขียนคาร์ฯ ตัวละครให้ดูเป็นมนุษย์ มีรักมีเกลียดสินะ
ไหหม่า(海馬)