ตอนที่ 931 เธอเป็นสุนัข
เถาจืออวิ๋นไม่กล้ากินปลาปักเป้า หล่อนหันมองราเมนสองชามบนโต๊ะก่อนจะกล่าวกับบริกรอย่างรู้สึกผิด “ฉันจะกินราเมนค่ะ”
ในราเมนทั้งสองชาม เถาจืออวิ๋นกินไปแล้วหนึ่งชามครึ่ง ส่วนหลินม่ายกินอีกครึ่ง ขณะเซ็ตอาหารปลาปักเป้าที่เพิ่งสั่งถูกเสิร์ฟบนโต๊ะแล้ว
ทักษะการทำอาหารของพ่อครัวยอดเยี่ยมมาก หลินม่ายจึงค่อนข้างมีความสุขกับมื้อนี้
แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามเกลี้ยกล่อมเถาจืออวิ๋นยังไง อีกฝ่ายก็ไม่กล้าแม้แต่จะลิ้มลอง แต่กลับนั่งมองดูเธอกินด้วยความเป็นห่วง
เถาจืออวิ๋นไม่ยอมคลายกังวลจนกว่าหลินม่ายจะกินปลาปักเป้าจนหมดแล้วยังสบายดีอยู่
เวลานี้หลินม่ายนึกอยากเรียนทักษะการทำปลาปักเป้าเพื่อไปทำให้บุคคลในครอบครัวลองชิม
แต่บริกรตอบกลับมาว่าถ้าอยากเรียนเมนูปลาปักเป้า การเรียนเพียงข้ามคืนไม่สามารถสำเร็จได้
ต้องเข้าเรียนคอร์สอบรมพ่อครัวมืออาชีพอย่างน้อยครึ่งปี ก่อนจะได้รับใบรับรองสำหรับการปรุงปลาปักเป้า
แม้ว่าครึ่งปีจะไม่ได้นานนักสำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับคนที่เต็มไปด้วยงานมากมายอย่างหลินม่ายนับว่านานมาก
เธอไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ในแผนการนี้ ก่อนจะวางแผนว่าจะพาคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ มาที่ประเทศเกาะเพื่อรับประทานมันแทน
อย่างไรเสีย เธอค่อนข้างสนใจและเข้าไปสอดส่องในครัวว่าพ่อครัวปรุงปลาปักเป้าอย่างไร
หลังจากดูสิ่งเหล่านั้นนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เธอกลับไปโรงแรมพร้อมกับเถาจืออวิ๋นอย่างไม่เต็มใจนัก
เป็นเพราะเธอหลงใหลในการทำอาหารมาก
เมื่อเดินผ่านร้านขายผ้าเล็ก ๆ หลินม่ายนึกถึงโยมิ อาซากุสะที่สวมใส่ชุดกิโมโห เวลานั้นเธอคว้าแขนของเถาจืออวิ๋นก่อนจะถามว่า “เธอทำชุดฮั่นฝูได้ไหม?”
ฮั่นฝูเป็นชุดของชาวแผ่นดินใหญ่โบราณ เป็นชุดประจำชนชาติฮั่น ชนชาติแผ่นดินใหญ่ดั้งเดิมไม่ผสมชาติพันธุ์อื่น ซึ่งเถาจืออวิ๋นเคยเรียนรู้มันในโรงเรียนมาก่อน
หล่อนงุนงงเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ใช่ ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
หลินม่ายตอบกลับว่า “ก็โยมิ อาซากุสะใส่ชุดกิโมโนไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันก็อยากจะใส่ชุดฮั่นฝูบ้าง อยากให้เธอทำชุดฮั่นฝูสำหรับเราสองคนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน เธอว่าไง?”
“จะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ เราเป็นคนจีน การสวมใส่ชุดฮั่นฝูเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
เถาจืออวิ๋นเดินตามหลินม่ายเข้าไปในร้านขายผ้าเล็ก ๆ ตรงหน้าทันที
หลังจากซื้อผ้าที่ชอบแล้ว ทั้งสองได้เจอกับร้านตัดเสื้อผ้า เธอเช่าจักรเย็บผ้าและอุปกรณ์อื่น ๆ กลับมา
เถาจืออวิ๋นใช้เวลาช่วงบ่ายสำหรับทำชุดฮั่นฝูสำหรับตนและหลินม่าย
ชุดฮั่นฝูแบบราชวงศ์ดูงดงามมากหลังจากสวมใส่ เพียงแต่งหน้าเบา ๆ ก็เหมาะสมแล้ว และไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องประดับศีรษะเลย ผูกเชือกเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
อากาศในโตเกียวเดือนธันวาคมไม่ได้หนาวมากนัก แน่นอนว่าการสวมใส่เสื้อกันหนาวภายใต้ชุดฮั่นฝูสามารถทำได้
ในตอนเย็น ทั้งสองสวมชุดฮั่นฝูเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันแฟชั่น และสิ่งที่พวกเขาได้รับก็คือสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของผู้คนที่ผ่านไปมา
หลังจากทั้งสองคนมาถึงสถานที่แล้ว งานเลี้ยงยังไม่เริ่มต้น และนักออกแบบหลายคนกำลังรวมกลุ่มเพื่อพูดคุยกัน
โยมิ อาซากุสะอยู่ในประเทศเกาะมานาน และรู้จักนักออกแบบแฟชั่นบางคนในแวดวงแฟชั่นแห่งนี้บ้าง
หล่อนกำลังพูดคุยกับเหล่านักออกแบบอายุน้อยหลายคน
หลังจากนักออกแบบท้องถิ่นเห็นหลินม่ายและเถาจืออวิ๋น พวกเขาก็มองทั้งสองคนด้วยแววตาเปล่งประกายก่อนจะพูดกับโยมิ อาซากุสะว่า “ชุดโบราณของประเทศเธอสวยมากเลยล่ะ”
โยมิ อาซากุสะหันศีรษะตามทิศทางที่พวกเขาชี้ก่อนจะเห็นความงามดั่งนางสวรรค์ของหลินม่ายและเถาจืออวิ๋น
ความจริงแล้วหล่อนรู้สึกว่าหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นสวยจริง ๆ แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับชุดฮั่นฝู
หล่อนอดไม่ได้ที่จะเหยียดหยามมันโดยตรง “ไม่เห็นจะสวยตรงไหน ชุดกิโมโนสวยกว่าตั้งเยอะ”
นักออกแบบจากประเทศเกาะถึงกับนึกรังเกียจหล่อนในทันที
ไม่มีใครดูถูกและเหยียดหยามประเทศชาติของตัวเองหรอก
เวลานี้นักออกแบบของประเทศเกาะถึงกับแยกย้ายสลายตัวกันไป และไม่มีใครคิดพูดคุยกับโยมิ อาซากุสะอีก
โยมิ อาซากุสะถึงกับตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมนักออกแบบพวกนั้นถึงต้องเพิกเฉยกับตนด้วย
เพราะหล่อนพูดชัดเจนว่าชุดกิโมโนสวยกว่าเป็นไหน ๆ
การประกวดคราวนี้แทบจะเหมือนกับการแข่งขันที่จัดขึ้นในแผ่นดินใหญ่เมื่อครั้งที่ผ่านมา
แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือที่นี่คือการถ่ายทอดสด ในคราวที่แล้วเป็นเพียงการบันทึกแล้วถ่ายทอดภายหลัง
และสิ่งที่แตกต่างมากที่สุดก็คือเถาจืออวิ๋นได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง ในขณะที่โยมิ อาซากุสะไม่ได้รับแม้แต่รางวัลใด แม้แต่อันดับสุดท้ายก็ไม่ติดโผรางวัล
ผลงานของทั้งสองคือผลงานเดิมที่หยิบยกมาแข่งขันในงานแฟชั่นประจำชาติของตัวเอง
เพราะสิ่งนี้ทำให้หลินม่ายยิ่งมั่นใจว่าในการประกวดแฟชั่นภายในประเทศมีเรื่องบางอย่างซ่อนเร้น
ตอนท้ายหลังเสร็จสิ้นการมอบรางวัล หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นเดินออกจากสถานที่ มีนักข่าวจำนวนมากเข้ามารายล้อมเถาจืออวิ๋นเพราะต้องการสัมภาษณ์หล่อน
นักข่าวถามเถาจืออวิ๋นว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอมายังประเทศเกาะหรือไม่?
หลังจากหลินม่ายแปลให้หล่อนฟังแล้ว หล่อนก็ตอบกลับว่า “ใช่ค่ะ”
นักข่าวถามอีกครั้ง “คุณมีความประทับใจต่อประเทศเกาะยังไงบ้างคะ?”
หลินม่ายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เถาจืออวิ๋นตอบกลับเป็นภาษาประเทศเกาะ “แย่มาก!”
บรรดานักข่าวทั้งหมดต่างตกตะลึงทันที
พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าล่ามของเถาจืออวิ๋นจะเลือกใช้คำว่า “แย่มาก” ในการอธิบายความประทับใจต่อประเทศของพวกเขา
พวกเขาคิดว่าจะได้ยินเถาจืออวิ๋นและล่ามของหล่อนกล่าวสรรเสริญประเทศของตนเสียอีก
นักข่าวเริ่มสัมภาษณ์เถาจืออวิ๋นและหลินม่ายว่าทำไมจึงไม่ประทับใจประเทศของพวกเขา
หลินม่ายเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในด่านตรวจคนเข้าเมือง ก่อนจะสรุปว่า “หากประเทศของพวกคุณไม่ต้องการให้เรามาที่นี่ก็เพียงบอกกล่าวกันมา และไม่ต้องเชิญพวกเรามา ครั้งนี้พวกเราเข้าใจแล้วว่าวิธีการต้อนรับของประเทศคุณเป็นยังไง ปรากฏว่าศักดิ์ศรีของแขกที่มาเยือนถูกเหยียบขยี้จนจมดิน”
นักข่าวหลายคนไม่เชื่อในสิ่งที่หลินม่ายพูด และยังโต้เถียงว่าประเทศเกาะเป็นประเทศที่สุภาพที่สุดในโลกแล้ว
หลินม่ายไม่สนใจที่จะโต้เถียงก่อนจะเปิดเทปบันทึกคำขอโทษจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคนเข้าเมืองจนทำให้นักข่าวเหล่านั้นถึงกับละอายใจทันที
หลังจากสัมภาษณ์เสร็จแล้ว หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นขึ้นแท็กซี่เพื่อจะกลับไปยังโรงแรม
โยมิ อาซากุสะวิ่งมาหยุดยั้งหลินม่ายก่อนจะกล่าวตำหนิ “เธอช่วยรักษามารยาทหน่อยได้ไหม อยู่ต่างที่ต่างถิ่นทำไมถึงใจแคบนักล่ะ”
หลินม่ายตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันไม่มีมารยาทตรงไหน? แล้วฉันใจแคบตรงไหนบอกมาสิ?”
โยมิ อาซากุสะกล่าวเย้ยหยัน “ตอนที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เธอก็ได้รับความยุติธรรมแล้ว แต่ตอนนี้กลับยกมันขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้พวกเราชาวจีนดูเหมือนคนที่ไม่ยอมรามือโดยง่าย”
“เพราะอย่างนั้นเธอเลยทำตัวไม่มีศักดิ์ศรี ยอมเป็นหมาให้คนอื่นกดขี่ ปล่อยให้ใครต่อใครต่อว่าตามใจชอบ!”
หลังจากหลินม่ายพูดจบ เธอก็ไม่สนใจโยมิ อาซากุสะก่อนจะขึ้นแท็กซี่ไปพร้อมกับเถาจืออวิ๋น
วันต่อมา สื่อกระแสหลักแพร่กระจายการสัมภาษณ์ของเถาจืออวิ๋นและหลินม่ายในคืนที่ผ่านมา
สื่อทุกสำนักวิจารณ์ว่าด่านตรวจคนเข้าเมืองประพฤติตัวไม่เหมาะสม
หลินม่ายรับฟังข่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
อีกทั้งพิธีการถ่ายทอดสดของการประกาศรางวัลให้กับเถาจืออวิ๋นก็ได้รับการตอบรับที่ดีด้วยเช่นกัน
ตัวแทนจำหน่ายจำนวนมากจากประเทศเกาะเข้าหาหลินม่ายเพื่อหารือเกี่ยวกับธุรกิจ ด้วยเหตุนี้หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นจึงต้องอยู่ในประเทศนี้นานสักหน่อย
ไม่กี่วันที่ผ่านมา หลินม่ายไม่เพียงแต่พูดคุยธุรกิจกับผู้คน แต่ยังแวะไปที่ร้านอาหารปลาปักเป้าของพี่ชายจากตะวันออกเฉียงเหนือ และเรียนรู้วิธีการทำปลาปักเป้าเมื่อเขาว่าง
แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้วิธีการปรุงปลาปักเป้าให้จบคอร์ส แต่เธอจะเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เถาจืออวิ๋นกลัวมากที่ต้องเห็นหลินม่ายทานปลาปักเป้า และทุกครั้งที่หลินม่ายกินหล่อนก็ยังไม่เลิกกังวล
เธอเตรียมพร้อมเต็มที่ว่าหากหลินม่ายเป็นอะไรขึ้นมา เธอจะไปส่งหลินม่ายที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด แต่ว่าหลินม่ายก็ไม่เคยเป็นอะไร แล้วยังปลอดภัยดีด้วย
เพราะเหตุนี้เธอจึงผ่อนคลายความหวาดกลัว และลองชิมเมนูปลาปักเป้า
รสชาติของมันเกินกว่าที่หล่อนจะอดใจไหว สุดท้ายหล่อนจึงกลายเป็นแฟนคลับของปลาปักเป้าไปด้วยเช่นกัน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อ เบาได้เบาค่ะ อย่าอวดเก่งแล่ปลาปักเป้าเลย เดี๋ยวได้โดนพิษตายกันทั้งบ้าน คนที่จะแล่ปลาชนิดนี้ได้ต้องฝึกหนักมากนะ ฝึกเป็นปีๆ เลย ห้ามผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว อย่ามั่นในอีโก้ตัวเองนักเลยว่าด้วยการฝึกไม่กี่วันของเธอแล้วจะทำให้เธอกลายเป็นสุดยอดกุ๊กผู้ปรุงปลาปักเป้าได้
ช่วงนี้คาร์ฯ ม่ายจื่อดูแรงยังไงไม่รู้อะ ผู้เขียนโกรธแค้นอะไรประเทศนี้มากขนาดนี้เลยเหรอ เลยเอาความคับแค้นใจส่วนตัวมาลงไว้ที่ม่ายจื่อหมดเลย
คิดว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในจักรวาลมัลติเวิร์สที่ไม่ใช่จักรวาลของเราแล้วกันค่ะ เฮ้อ
ไหหม่า(海馬)