ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 186 ความตระหนักรู้-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 186 ความตระหนักรู้-1

“ไม่ใช่ว่าตกลงกันไว้แล้วหรือว่าจะแค่ดูการต่อสู้ ไม่ลงมือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของข้า…ดังนั้นข้าต้องขอโทษนะ”

ดรุณทลายพรรณประสานมือกล่าวขอโทษอย่างสุภาพ

“หากไม่ใช่ความตั้งใจของเจ้า เหตุใดยังทำเช่นนี้เล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ

ในโลกนี้ไม่มีใครสนใจว่าในหัวเจ้าเคยคิดอะไร

พวกเขาแค่มองว่าสุดท้ายแล้วเจ้าทำอะไรลงไป

ต่อให้เจ้าจะคิดได้ว่าควรอ่อนโยนและเป็นมิตรขึ้นสักหน่อย

แต่เพียงเพราะเจ้าอ่อนโยนหรือเป็นมิตรไม่พอ เจ้าก็จะถูกมองว่าร้ายกาจ

ท้ายที่สุดทุกคนก็ยุ่งกันทั้งนั้น

ดังนั้นจึงเป็นเช่นนี้

มองแค่ผลลัพธ์ ไม่สนใจกระบวนการ

เช่นนี้ง่ายที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด

และมีประสิทธิภาพที่สุด

“ข้าไม่อยากลงมือจริงๆ นะ แต่เขาขอร้องให้ข้าช่วย”

ดรุณทลายพรรณถอนหายใจแล้วพูด

เขาชี้ไปยังดรุณบั่นเศียรที่ยังไม่ได้สติ

“ใจเจ้าเปลี่ยนแปลงง่ายเพียงนี้เพราะคำขอของคนอื่นหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

น้ำเสียงของเขาปนการเสียดสี

“ไม่ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความคิดของข้าได้”

ดรุณทลายพรรณส่ายหัวแล้วพูด

“แต่เขาเรียกเจ้าครั้งเดียว เจ้าก็เปลี่ยนไปแล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เพราะเขาเป็นสหายของข้า เจ้าปฏิเสธคำขอของสหายได้หรือ”

ดรุณทลายพรรณถาม

“ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ”

หลิวรุ่ยอิ่งคิดสักครู่แล้วกล่าว

แท้จริงแล้วเขาต้องการจะพูดว่า มองไม่ออกว่าพวกเขาเป็นสหายกัน

“ระหว่างสหายบางครั้งก็มักจะมีการทะเลาะกันบ่อยๆ และแกล้งกันไปมา บางทีตลอดทั้งปีเจ้าอาจไม่เคยได้ยินข้าพูดถึงด้านดีของเขาเลยสักคำ แต่ทุกครั้งที่เขาขอร้อง ไม่ว่าข้าจะทำอะไรอยู่ หากข้าทำได้ ข้าก็จะช่วยเขา”

ดรุณทลายพรรณพูด

“แม้กระทั่งถ้ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีก็ต้องช่วยหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ

“ถ้าเจ้ายอมรับว่าเขาคือสหายของเจ้า นั่นหมายความว่าเจ้าก็ยอมรับในสิ่งที่เขาทำ และถ้าเจ้ายอมรับในสิ่งที่เขาทำ เหตุใดต้องฝืนแยกว่าอะไรดีหรือไม่ดีด้วยเล่า”

ดรุณทลายพรรณกล่าว

“เจ้าจะไม่ลงมือหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งหันไปมองดรุณกระดูกเคลื่อนแล้วเอ่ยถาม

“ข้ากำลังรออยู่”

ดรุณกระดูกเคลื่อนตอบ

“เจ้ากำลังรอให้เขาเรียกเจ้าไปช่วยหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ

“ถูกต้อง ฉะนั้นถ้าพวกเขาไม่เรียก ข้าก็จะไม่ลงมือ”

ดรุณกระดูกเคลื่อนตอบ

“แต่เมื่อไรที่พวกเขาเรียกให้เจ้าช่วย นั่นไม่ใช่ว่าข้าก็ได้รับคำเตือนแล้วหรอกหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถามกลับ

“การสู้สองต่อหนึ่งย่อมไม่ยุติธรรมแล้ว สามต่อหนึ่งเจ้าก็ไม่มีโอกาสชนะ ดังนั้นการให้เจ้าได้รับคำเตือนก่อนก็เป็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว”

ดรุณกระดูกเคลื่อนผายมือและพูด

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเล็กน้อย

เขาไม่คิดว่าห้ายอดดรุณที่ฉลาดแกมโฉดเลือดเย็นเหล่านี้จะยังยึดถือกฎเกณฑ์ได้เช่นนี้

“ดังนั้นตอนนี้ก็เป็นสองต่อหนึ่งแล้วกระมัง”

หลิวรุ่ยอิ่งพูด

“ถ้าเจ้ามีสหาย เจ้าก็เรียกพวกเขามาได้นะ”

ดรุณทลายพรรณพูด

“สหายของข้าหรือ ไม่เอาดีกว่า…”

ในหัวหลิวรุ่ยอิ่งปรากฏใบหน้าหลายคนผ่านเข้ามา แต่เขาปฏิเสธพวกเขาทีละคน

“แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากรู้”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวต่อ

“อะไรหรือ”

ดรุณทลายพรรณถาม

“เหตุใดพวกเจ้าถึงเดินทางหลายพันลี้จากหอทรงภูมิมาที่นี่ แล้วยังเสี่ยงชีวิตแฝงตัวเข้ามาในหอทรงปัญญา”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“นี่มันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ”

ดรุณทลายพรรณพูด

เขารู้สึกว่าคำถามของหลิวรุ่ยอิ่งนั้นแปลกประหลาดเกินไป

พวกเขามาที่นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องการชีวิตของเขา ทำไมเขาถึงถามคำถามเช่นนั้น

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก

ดรุณทลายพรรณหยิบถุงมือคู่หนึ่งออกจากภาพวาด

เป็นถุงมือสีน้ำตาลอ่อนคู่หนึ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นเพียงสี แต่ไม่ทราบถึงวัสดุ

อย่างไรก็ตาม จากความรู้สึกของดรุณทลายพรรณที่ถือมันอยู่ เดาได้ไม่ยากว่าถุงมือคู่นี้นุ่มมาก

คงจะสวมนิ้วและฝ่ามือได้พอดี

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าเขาใส่ถุงมือทำไม

เพราะก่อนหน้านี้ตอนเขาโปรยทรายพิษออกมา เขาไม่ได้สวมถุงมือ

แต่ทุกคนล้วนมีนิสัยของตน

ในโลกนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถือกระบี่ด้วยมือซ้าย

และมีคนที่ต้องสวมถุงมือเสมอเมื่อต้องโปรยทรายพิษ

“ข้าใส่ถุงมือเพราะแม้แต่ข้าเองก็แก้พิษที่มีในทรายพิษของข้าไม่ได้”

ดรุณทลายพรรณพูด

“ในโลกนี้ยังมีเรื่องเช่นนี้อีกหรือ ไม่ใช่ว่าเหมือนกับข้าที่ใช้กระบี่ แต่ดันจ้องจะแทงคอตัวเองอยู่เสมอไปหรอกหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดด้วยความตะลึง

“เรื่องกระบี่ข้าไม่เข้าใจ แต่ทรายพิษของข้าก็เป็นเช่นนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าไม่อยากใช้มันโดยไม่จำเป็น เพราะแม้แต่บาดแผลที่ไม่ตั้งใจให้เกิดกับพวกเขา ข้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้”

ดรุณทลายพรรณพูดด้วยความรู้สึกจนปัญญา

“แต่ครั้งแรกที่เจ้าใช้มัน เจ้าไม่ได้ใส่ถุงมือนี่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“เรื่องเร่งด่วน เพราะตอนนั้นข้าต้องการช่วยชีวิตเขา และทรายพิษของข้าใช่ว่าข้าสัมผัสแล้วจะตายทันที หนึ่งหรือสองครั้งข้ายังต้านทานได้ แต่ถ้ามากกว่านั้น ข้าก็ทำไม่ได้”

ดรุณทลายพรรณพูด

เขาใส่ถุงมือเรียบร้อยแล้ว

ใช้นิ้วหัวแม่มือจับสายรัดเอว

“ขอบคุณมาก!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

เขารู้ว่าดรุณทลายพรรณบอกข้อมูลมากมายให้เขา

ไม่เพียงต้องการชดเชยสำหรับการต่อสู้ที่ไม่เป็นธรรมนี้เท่านั้น

แม้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะมีเจตนาสังหารตน

ความเมตตาในการเตือนนั้นยังควรได้รับคำขอบคุณ

“ไม่ต้องขอบคุณ”

ดรุณทลายพรรณเอ่ย

เขากางมือขวาแล้วคว้าลม

มือเขาเป็นรูปถ้วย

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าทรายพิษบางส่วนเริ่มหยุดนิ่งและรวมตัวกันอยู่ในมือของเขา

ดรุณบั่นเศียรที่อยู่ข้างๆ ก็ดูเหมือนจะกลับมามีสติเต็มที่อีกครั้ง

โซ่เหล็กในมือเขาดูเหมือนจะกลายเป็นแส้เหล็กเส้นหนึ่ง

แต่ปกติแล้ววิธีการหวดแส้ของคนอื่นมักจะรุนแรงเหมือนพายุกระหน่ำหรือเสียงฟ้าร้องกระหึ่ม

ขณะที่วิธีหวดแส้ของเขากลับเป็นเหมือนพายุที่เกือบจะมาถึงแต่มาไม่ถึง หรือเสียงฟ้าร้องที่ดังก้องแต่ยังไม่ได้เข้าใกล้

ทิ้งท่าทีแข็งแกร่งก่อนหน้าไว้ข้างหลัง ทุกอย่างกลับกลายเป็นอ่อนโยน

โซ่บั่นเศียรที่เคยชูก้องอย่างภาคภูมิ ตอนนี้เหมือนมะเขือที่โดนน้ำค้างแข็ง

ดรุณทลายพรรณหันกลับมามองดรุณบั่นเศียรเล็กน้อย

ถอนหายใจออกมาเบาๆ

แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา

แต่เขามั่นใจว่าดรุณทลายพรรณต้องกำลังถอนหายใจอย่างแน่นอน

เพราะเขามองออกว่าดรุณบั่นเศียรนั้นแพ้แล้ว

การแพ้ครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการบั่นศีรษะหรือบาดแผลที่แขนขา

แต่เป็นการแพ้จากจิตใจสู่ภายนอก

หนึ่งคือแพ้จิตใจ

สองคือแพ้คน

สุดท้ายจึงแพ้ต่อสู้

แม้ว่าตอนนี้ต้องกระตุ้นจิตวิญญาณเพื่อเริ่มต้นใหม่ ก็ยังรู้สึกอ่อนแอเหมือนเส้นบะหมี่เละๆ

ดรุณทลายพรรณเคลื่อนตัวไปด้านข้าง

และปกป้องดรุณบั่นเศียรไว้ข้างหลังตนเอง

ในดวงตาของหลิวรุ่ยอิ่งฉายแววประหลาดใจ

แม้ว่าดรุณบั่นเศียรยังอยู่

แต่การปะทะในตอนนี้กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างหลิวรุ่ยอิ่งกับดรุณทลายพรรณ

กระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่ง

ทรายพิษของดรุณทลายพรรณ

แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนไม่มีอาวุธใดๆ

แต่ทรายพิษนั้นแปรปรวนไม่จำกัด ยากที่จะคาดเดาได้ยิ่งกว่ากระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่ง

“เพื่อนยาก เจ้าก็ต้องออกแรงนะ!”

หลิวรุ่ยอิ่งลูบท้องของตัวเองแล้วพูดขึ้น

เขากำลังพูดกับธรรมลักษณ์บรมครู

ธรรมลักษณ์บรมครูได้ยินสารจากจิตใจของเขา แต่เขาก็เพียงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย และเดินไปมาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ พร้อมกับเอามือไพล่หลัง

กระบี่หยางแท้อวี้จิงในมือก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่ดี

หากไม่มีการช่วยเหลือจากธรรมลักษณ์บรมครู เขาจะสามารถใช้กระบี่ที่เคยบังคับให้ดรุณบั่นเศียรถอยห่างได้อีกครั้งหรือ

ในชั่วขณะนั้น หลิวรุ่ยอิ่งเริ่มสั่นคลอน

การที่ธรรมลักษณ์บรมครูไม่เข้ามาช่วยเป็นเรื่องปกติ

แต่การที่เขาแสดงความไม่แน่นอนในช่วงเวลานี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น

กระบี่ออกไปแล้ว

ทำได้เพียงรุดหน้าอย่างอาจหาญ ไม่ถอยกลับ

การลังเลในเวลานี้ ไม่สู้คุกเข่าร้องขอชีวิต

ดรุณทลายพรรณจับจังหวะความลังเลของหลิวรุ่ยอิ่งได้

เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

แม้กระทั่งในหยาดฝน ก็ยังมีภาพเงาติดตาแล่นผ่านไปข้างหลัง

ดรุณทลายพรรณไม่เพียงแค่มีทักษะด้านอาวุธลับและทรายพิษเท่านั้น

แต่ท่าร่างของเขายังเหนือจินตนาการ!

หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่ทันเห็นชัดเจนว่าเขาไปทางไหน

ก็เห็นกระบี่สีน้ำตาลคมกริบพุ่งมาด้านหน้าตัวเขา

ไม่มีใครหลบหลีกกระบี่ทรายพิษที่พุ่งเร็วนี้ได้

หลิวรุ่ยอิ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนเป้าหมายที่มีชีวิต

ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว

มีกลุ่มเมฆหนากำลังเคลื่อนเข้ามาช้าๆ จากไกลๆ

หากกลุ่มเมฆนั้นอยู่เหนือศีรษะของทั้งคู่ หลิวรุ่ยอิ่งจะยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง

ดังนั้นเขาต้องรีบจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด

พอกระบี่ทรายพิษเกือบจะแทงเข้าที่อกของเขา

หลิวรุ่ยอิ่งก็ฟันกระบี่ออกไปทันที

ไม่ใช่แทง

แต่เป็นการฟัน

สุดท้ายแล้วกระบี่ทรายพิษก็ไม่ใช่กระบี่ที่สมบูรณ์

แม้ว่าทรายพิษจะถูกอัดแน่นเข้าด้วยกัน แต่ความแข็งแกร่งก็ยังไม่สามารถเทียบกับกระบี่ดาราที่อยู่ในมือหลิวรุ่ยอิ่งได้

กระบี่ของเขาฟันเข้าตรงกลางกระบี่ทรายพิษ

ทรายพิษส่วนหน้าตกลงสู่พื้นดินเหมือนหยดฝน เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนพลังจากดรุณทลายพรรณ

ส่วนหลังของกระบี่ทรายพิษ เนื่องจากระยะห่างจากหลิวรุ่ยอิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้เขาสามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย

หลิวรุ่ยอิ่งเอี้ยวตัวและฟันกระบี่ออกไปอีกครั้ง

เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งปลดปล่อยวิชากระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป พลังกระบี่ที่ไหลวนทำให้หยดน้ำฝนและความชื้นในอากาศระเหยหายไปไม่น้อย

แสงกระบี่เพียงแวบเดียว

กลับหลบหลีกดรุณทลายพรรณและเข้าโจมตีดรุณบั่นเศียรที่อยู่ข้างหลัง

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกผิดที่ใช้กระบี่ครั้งนี้

เพราะเขาเลือกที่จะกระทำกับฝ่ายที่อ่อนแอกว่า

ยามนี้ชัดเจนว่าดรุณบั่นเศียรไม่มีแก่ใจที่จะต่อสู้อีกต่อไป

แต่เขาก็เข้าใจถึงความผูกพันระหว่างพวกเขาทั้งสอง

เพียงแค่กระบี่ของเขาพุ่งไป

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

ก็จะทำให้ดรุณทลายพรรณต้องยอมแพ้แผนการเดิมและหันกลับไปช่วยเหลือ

แต่หลิวรุ่ยอิ่งประเมินค่าความกล้าหาญของดรุณบั่นเศียรต่ำเกินไป

เขาเห็นแสงกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งพุ่งเข้ามา จึงใช้โซ่บั่นเศียรลอยขึ้นสูง

วงแหวนหมุนอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังลั่น

และก่อนที่แสงกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งจะแทงเข้าที่คอของเขา โซ่บั่นเศียรก็ไปถึงศีรษะของหลิวรุ่ยอิ่งก่อน

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเสียใจมาก

ตอนนี้ด้านหน้าคือโซ่บั่นเศียร

ด้านหลังคือกระบี่ทรายพิษ

ถูกโจมตีจากทั้งสองฝั่ง

ไม่สามารถเดินหน้าหรือถอยหลังได้

ไม่มีทางเลือก เขาจำต้องหลบตัวและตบฝ่ามือหนึ่งครั้ง หวังจะเข้าขัดขวางแรงของกระบี่ทรายพิษได้สักเล็กน้อย

จากนั้นจึงใช้กระบี่ปัดโซ่บั่นเศียรที่เสียงดังหึ่งข้างหู

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ชำนาญในการใช้ฝ่ามือเป็นอาวุธ

เขาเพียงแค่รวบรวมพลังลมปราณลงฝ่ามือ และปล่อยออกมาอย่างหมดหนทาง

ต้องยอมรับว่า

การใช้พลังเช่นนี้สิ้นเปลืองอย่างมาก…

โดยเฉพาะในเวลาที่ความเป็นความตายคาบเกี่ยวกัน

แต่การต่อสู้ที่ยืดเยื้อจะทำให้เกิดโอกาสใหม่

หลิวรุ่ยอิ่งในเวลานี้ไม่อาจใส่ใจถึงรายละเอียดมากมาย

โชคดีที่สถานการณ์นี้เป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้

หลบหลีกจากการโจมตีที่ไม่มีทางรอดทั้งจากด้านหน้าและด้านหลังสำเร็จ

เขาพลิกตัวลงพื้นแล้วกลิ้งไปด้านข้าง จนมาอยู่ข้างๆ ทั้งสองคน

ถึงแม้ท่าทางจะดูไม่สง่างาม แต่เขาก็สามารถทำลายสถานการณ์นี้และรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้

……………………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท