บทที่ 305 อดีตของไป๋ตงหลิน
วันที่สิบห้าผ่านไป ไม่มีการฉลองปีใหม่อีกต่อไปแล้ว
หลังจากช่วงสิบห้าวันแรกของปีผ่านไป โดยปกติแล้วบรรยากาศของการฉลองปีใหม่ก็จะจางหายไปด้วย บรรยากาศคึกคักเสียงดังหวนคืนสู่กรุงปักกิ่งเหมือนเก่า
ทว่าในช่วงเวลานี้ ไป๋ตงหลินกลับพาไป๋เยี่ยไปร่วมงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง
หลายปีก่อนเถ้าแก่ไป๋เคยอาศัยอยู่ที่ปักกิ่งระยะหนึ่ง เขารับราชการทหารจึงพอมีเพื่อนอยู่บ้าง เดิมทีเขาอยากจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่ปักกิ่ง แต่สุดท้ายก็เลื่อนกันมาจนกระทั่งวันนี้
ทุกคนต่างเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนหมดแล้ว โดยทั่วไปก็จะพาครอบครัวมาด้วย ก่อนออกจากบ้าน หูไฉ่อวิ๋นจึงทำดูความเรียบร้อยอีกสักครั้งหนึ่ง ส่วนไป๋หลิงและไป๋เยี่ยเดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมอง ราวกับว่าทั้งสองคนมีออร่าพุ่งออกมาจากร่าง
แน่นอน ถ้าไม่เห็นว่าพวกเขานั่งรถแท็กซี่ออกมา ก็คงคิดว่าพวกเขาเป็นเศรษฐีชื่อดังแน่นอน
ทั้งสี่คนต่างมีมาดแตกต่างกัน ทั้งไป๋ตงหลินผู้เรียบง่าย หูไฉ่อวิ๋นผู้สูงส่ง ไป๋หลิงผู้สดใสและไป๋เยี่ยผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้ เมื่อทั้งสี่คนก้าวขาขึ้นรถไป คนขับก็แอบตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เดิมทีไป๋เยี่ยจะเรียกคนขับรถของเขามา ทว่าไป๋ตงหลินไม่อยากจะรบกวนนัก จึงเรียกแท็กซี่มาแทน
อย่างไรเสีย จากบริษัทมาถึงบ้านของไป๋เยี่ยก็ใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมง ในขณะที่นั่งแท็กซี่ไปโรงแรมใช้เวลาเพียงแค่ยี่สิบนาที ไป๋ตงหลินเองก็ไม่อยากทำอะไรให้ยุ่งยาก อย่างไรมันก็เป็นแค่การรวมตัวกันของเพื่อนเก่า ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก
ทันทีที่มามาถึงโรงแรม ทั้งสี่คนก็ถูกพาไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสาม เมื่อพนักงานผลักประตูออกก็พบห้องจัดเลี้ยง
ในห้องมีโต๊ะสามตัวและเวที ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างหรูหราราวกับเป็นพระราชวังโบราณ
ด้านข้างมีฉากโรงละครงิ้วปักกิ่ง ซึ่งมีโรงน้ำชาตั้งอยู่ด้านหน้า
การตกแต่งของที่นี่ถือว่าสวยงามมากทีเดียว เมื่อคนอื่นๆ เห็นครอบครัวของไป๋ตงหลินเดินเข้ามา บรรยากาศก็เริ่มครึกครื้นขึ้นมาทันที
“เหล่าไป๋! ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมาปาร์ตี้กันเลย ในที่สุดปีนี้ก็มาแล้วสินะ” ชายร่างสูงกำยำคนหนึ่งเดินเข้าพร้อมรอยยิ้ม
ไป๋ตงหลินจับมือกับชายคนนั้น “ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
ชายคนนั้นพยักหน้าพร้อมกับดึงไป๋ตงหลินมากอด ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังครอบครัวของไป๋ตงหลินแล้วถอนหายใจออกมา “น้องหูไม่เปลี่ยนไปเลยนะ ยังสวยเหมือนเก่า เด็กๆ ทั้งสองคนก็โตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”
หูไฉ่อวิ๋นยิ้มเล็กน้อย “เวลาผ่านไปเร็วมากเลยนะคะ พี่หลิวก็ไม่เปลี่ยนไปเลย”
ผู้คนรอบๆ ต่างพากันลุกขึ้นและพยักหน้าให้ไป๋ตงหลิน อันที่จริงไป๋ตงหลินเองก็ไม่ได้รู้จักทุกคนในงาน แต่ก็ยังพอพูดคุยถูๆ ไถๆ กันได้
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจคือเพื่อนฝูง ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ก็จะสนิทกันเอง ซึ่งทุกคนที่มางานต่างก็สนิทสนมกันดี จึงมีความสุขกันมากเลยทีเดียว
หลังจากที่ดื่มกันไปนิดๆ หน่อยๆ แล้ว ทุกคนก็เริ่มหันมาถามไถ่เรื่องทางบ้านกันแทน
คนที่มาร่วมงานในวันนี้ล้วนเป็นเพื่อนที่เคยทำธุรกิจกับไป๋ตงหลินในปักกิ่ง แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามาจากตระกูลโด่งดัง แต่ก็ล้วนเป็นคนมีฐานะร่ำรวย
ลูกๆ ของแต่ละบ้านก็เติบโตกันหมดแล้ว เมื่อทุกคนพูดถึงเรื่องการแต่งงานแล้วเห็นว่าลูกบ้านไป๋เพียบพร้อมมากเพียงใด ต่างก็พากันเบนความสนใจและมาถามไถ่ถึงเรื่องนี้กันใหญ่
เหล่าหลิวซึ่งเป็นผู้จัดงานเลี้ยงมองไป๋เยี่ยก่อนจะหันมาพูดกับไป๋ตงหลินด้วยรอยยิ้ม “เหล่าไป๋ ไหนๆ ลูกชายก็โตขนาดนี้แล้ว เขามีแฟนหรือยัง”
ไป๋ตงหลินหัวเราะ “ตอนนี้ผมไม่อยากไปยุ่งเรื่องของเด็กๆ หรอกพี่ ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขาดีกว่า”
เหล่าหลิวชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงหันไปทางหูไฉ่อวิ๋นบ้าง “แล้วน้องหูล่ะว่าไง ลูกสาวพี่ก็ไม่แย่นะ ไม่งั้นลองให้ลูกๆ มาเจอกันหน่อยไหม บางทีพวกเขาอาจจะเข้ากันได้ดีนะ”
หูไฉ่อวิ๋นยกมือขึ้นปิดปากตนเองก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย “ยุคนี้แล้ว เรื่องแต่งงานหรือมีความรักควรเป็นเรื่องอิสระได้แล้วนะ พี่หลิวลองไปถามเสี่ยวเยี่ยเองสิคะ”
สุดท้ายก็ไม่มีใครแนะนำคู่หมั้นให้กันจริงๆ ต่างคนต่างกลับไปนั่งพูดคุยกันที่โต๊ะตรงโรงน้ำชา
เหล่าหลิวและไป๋ตงหลินสั่งชาหลงจิ่ง[1]มาดื่มพลางชมงิ้ว “เหล่าไป๋ จำ ‘สวีเป่าหมิง’ ได้ไหม”
ไป๋ตงหลินถึงกับนิ่งไป ชื่อนี้คุ้นหูมาก ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ
ไป๋ตงหลินพยักหน้าลง “อืม จำได้สิ ทำไมเหรอ”
เหล่าหลิวเอ่ยเสียงต่ำ “เขาเปลี่ยนงานแล้ว ตอนนี้ปลดประจำการมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์”
ไป๋ตงหลินได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วลง “ไหนบอกว่าพ่อตาของเขามีอำนาจไง ทำไมเปลี่ยนงานล่ะ เขาควรจะมีตำแหน่งสูงๆ ในกองทัพไม่ใช่เหรอ”
เหล่าหลิวแค่นหัวเราะ “นายรู้นิสัยเขาดีที่สุด เขาเก่งเรื่องทำอะไรลับๆ ล่อๆ นักนี่ เป็นคนไม่ซื่อสัตย์เอาซะเลย ต่อให้มีพ่อตาคอยเป็นแบ็คอัพให้ก็อยู่ในนั้นได้ไม่นานหรอก ก็เลยออกจากกองทัพไปน่ะ”
“ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะทำบริษัทอสังหาริมทรัพย์กับเถ้าแก่หลายเจ้า คงจะเตรียมตัวเป็นนายทุนแล้ว นายอยากให้พวกพี่ช่วยเรื่องอะไรไหมล่ะ”
ไป๋ตงหลินยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ สวีเป่าหมิงคือสาเหตุหลักที่ทำให้ไป๋ตงหลินออกจากกองทัพ
ตอนที่กำลังจะเลื่อนยศ เจ้าหมอนั่นเกือบไม่ได้เลื่อนยศ เลยบอกว่าไป๋ตงหลินเป็นพวกไม่มีปฏิสัมพันธ์ ตัวตนของเขาก็ไม่ชัดเจน แถมครอบครัวของเขายังเคยเป็นเจ้าของที่ดินมาก่อนด้วย
ถึงแม้ว่าเรื่องตัวตนจะไม่ใช่ประเด็นอ่อนไหวเหมือนในอดีต แต่ในช่วงเวลาวิกฤตมันก็เป็นสิ่งที่นำภัยมาสู่ตนเองได้ ซึ่งสิ่งนั้นเองที่ทำลายอาชีพรับราชการทหารของไป๋ตงหลินลง
เดิมทีไป๋ตงหลินและสวีเป่าหมิงเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน และเข้ารับราชการทหารพร้อมกัน อีกทั้งไป๋ตงหลินยังเคยช่วยเหลือเขาไว้เมื่อตอนไปกู้ภัยวิกฤตน้ำท่วมด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจึงดีมาก ตอนนั้นไป๋ตงหลินก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มไร้เดียงสาจากหมู่บ้านเล็กๆ ได้มีเพื่อนทั้งทีก็แทบจะเป็นเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง
เหล่าหลิวมีอายุมากกว่าไป๋ตงหลิน เขาจึงถูกปลดกระจำการออกมาก่อน แต่ถึงกระนั้นครอบครัวของเหล่าหลิวก็มีฐานะร่ำรวย หลังออกจากกองทัพเขาจึงกลับมาทำธุรกิจเก่าของตนเองทันที ซึ่งหลายปีมานี้ธุรกิจของเขาก็ก้าวหน้าไม่น้อยเลย
เรียกได้ว่ามิตรภาพของทั้งสามคนนั้นเกิดขึ้นได้เพราะการกู้ภัยวิกฤตน้ำท่วมครั้งนั้น
สวีเป่าหมิงและไป๋ตงหลินได้ขึ้นเป็นหัวหน้าหมวดพร้อมกัน แต่ต่อมาในระหว่างการแข่งขันชิงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองร้อย จู่ๆ สวีเป่าหมิงก็เข้ามาขวางทาง
สวีเป่าหมิงเกิดมาพร้อมหน้าตาหล่อเหลา หลังจากที่ได้ขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการกองร้อย เขาก็พบรักกับลูกสาวของหัวหน้ากอง
ซึ่งตอนนั้นไป๋ตงหลินก็ถูกสวีเป่าหมิงข่มเหงเต็มที่ ทำให้กระทบต่อการทำงานของเขาค่อนข้างมาก ไป๋ตงหลินในตอนนั้นไม่ใช่คนเฮฮาเหมือนทุกวันนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมได้รับผลกระทบมากมายแน่นอน
ดังนั้นไป๋ตงหลินจึงกัดฟันลาออกจากกองทัพและเดินทางมาอยู่กับเหล่าหลิวที่ปักกิ่งเป็นเวลาประมาณสองปี หลังจากที่กลับไปบ้านเกิด เขาก็ค้นพบโอกาสที่เหมืองถ่านหิน จึงหยิบยืมเงินทุนก้อนแรกมาจากเหล่าหลิวนั่นเอง
ต่อมาไป๋ตงหลินจึงประกอบอาชีพเป็นเถ้าแก่เหมืองถ่านหิน จนผ่านไปหลายปี เขาก็คิดได้ ถ้าวันนั้นเขาไม่ลาออกจากกองทัพ เขาคงไม่ได้มีอิสระเฉกเช่นทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ความขุ่นเคืองที่ยังคงฝังลึกในใจก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง พูดตามตรง ถ้าไป๋ตงหลินไม่มีโชคเลย เขาคงจบเห่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เขาอาจจะต้องกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านจนถึงบั้นปลายชีวิต ก้มหน้าก้มตาทำนาต่อไปตลอดชีวิต
เหล่าหลิวเห็นท่าทีของไป๋ตงหลินก็เอ่ยยิ้มๆ “เมื่อสองวันก่อนเขามาหาพี่ อยากให้พี่ช่วยแนะนำเพื่อนให้รู้จักหน่อย เขาก็เลยเสนอว่าจะให้พี่เป็นหุ้นส่วนโครงการอสังหาริมทรัพย์บ่าสุดของเขาแทนคำขอบคุณน่ะ”
เหล่าหลิวรู้ทันคน เขารู้ดีว่าคนไหนคบได้หรือคบไม่ได้ แต่เขาก็จะไม่ไปมีปัญหากับคนที่คบไม่ได้เด็ดขาด
ทว่าการที่เขามานั่งพูดคุยกับไป๋ตงหลินอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ก็เป็นเพราะเขาไม่ได้มองไป๋ตงหลินเป็นคนนอกแต่อย่างใด เขายังคงมองไป๋ตงหลินเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง
ไม่อย่างนั้น เมื่อปี 2002 เขาคงจะไม่ให้ไป๋ตงหลินยืมเงินสามล้านหยวนหรอก
ตอนนั้นเงินเดือนของคนงานยังอยู่ที่ราวๆ ห้าร้อยหยวนไม่ถึงหนึ่งพันหยวนด้วยซ้ำ เงินสามล้านหยวนจึงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย
ไป๋ตงหลินยิ้มและเอ่ยถามอย่างผ่อนคลาย “อสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ไหนล่ะ”
ทันใดนั้นเหล่าหลิวก็ขยิบตาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสนใจ “ที่ตั้งเดิมของโรงพยาบาล 980 ไง ได้ข่าวว่าใกล้จะเปิดประมูลแล้วนะ”
[1] ชาหลงจิ่ง คือ ชาเขียวที่ผลิตในเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง