บทที่ 313 ครั้งแรก
หนึ่งวันก่อนการส่งมอบโฉนดที่ดิน ไป๋เยี่ยก็ได้ต้อนรับแขกพิเศษอย่างเฉินเจิ้นปั่ง
เฉินเจิ้นปั่งมาที่นี่คนเดียว ส่วนจ้าวหู่ชิวจอดรถไว้ที่ชั้นล่างโดยไม่ได้ตามขึ้นมา
ปฏิกิริยาแรกของไป๋ตงหลินเมื่อเขาเห็นเฉินเจิ้นปั่งเดินมาคือยืนทำท่าแสดงความเคารพ “สวัสดีครับผบ.!”
เฉินเจิ้นปั่งแค่นหัวเราะ “ถ้าก่อนหน้านั้นคุณเป็นแบบนี้ คิดว่าผมจะให้คุณออกจากกองทัพเหรอ”
ไป๋ตงหลินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเกาศีรษะและหัวเราะกลบเกลื่อน
ตอนที่ไป๋ตงหลินเกิดปัญหา เฉินเจิ้นปั่งก็เป็นคนแรกที่มาหาเขา ทว่าตอนนั้นไป๋ตงหลินยังอารมณ์ไม่ดีนัก เพราะคิดว่าตนเองถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม จึงตัดสินใจลาออกจากกองทัพ
ไป๋ตงหลินยิ้ม “นั่งลงเถอะครับท่าน ภรรยาผมกำลังทำอาหารมาให้ เดี๋ยวผมดื่มเป็นเพื่อนท่านเอง”
พูดจบไป๋ตงหลินก็ลุกขึ้นไปหยิบเหล้า
ส่วนเฉินเจิ้นปั่งก็ตบกล่องในมือเขา “ดูนี่สิ ผมเอาของจากปีนั้นมาให้คุณด้วย”
ไป๋ตงหลินหันกลับไปและเห็นว่าเฉินเจิ้นปั่งกำลังหยิบขวดเหล้าเหมาไถออกมาจากกล่อง เขาจ้องขวดเหล้าในมืออีกฝ่ายโดยไม่วางตา
“ท่านครับ นี่…มันแพงมากเลยนะครับ แค่เก็บไว้ปีเดียวก็มีค่ามากแล้ว ถ้าผมดื่มมันจะไม่เสียเปล่าหรอกเหรอ!”
เฉินเจิ้นปั่งหัวเราะลั่น “หยุดทำตัวแบบนั้นสักที มานั่งลงแล้วดื่มกันเถอะ”
ไป๋ตงหลินยืนทำความเคารพก่อนจะเอ่ยขึ้น “รับทราบครับท่าน!”
พูดจบเขาก็นั่งลงอย่างเชื่อฟัง แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกยินดีอันมากล้น
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขคือเหล้าเหมาไถ หรือความเมตตาของเฉินเจิ้นปั่งกันแน่
เฉินเจิ้นปั่งเหลือบมองไป๋เยี่ยแล้วจึงเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเยี่ย มาดื่มกับพวกเราสิ ดื่มกันแค่สองคนมันน่าเบื่อนะ”
ไป๋ตงหลินเห็นท่าทีจริงใจของเฉินเจิ้นปั่งก็เรียกไป๋เยี่ยมานั่งด้วย
เฉินเจิ้นปั่งมองทั้งสองคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ครั้งแรกที่ผมเห็นเสี่ยวเยี่ย ผมรู้สึกคุ้นหน้าเขามากจริงๆ แต่ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นลูกชายของคุณ แต่ดูๆ แล้วเหมือนว่าลูกชายคุณนี่จะเก่งกว่าคุณอีกนะ”
ไป๋ตงหลินยิ้ม “ใช่ครับท่าน เขาเหมือนไฉ่อวิ๋นมากกว่าผมอีก เขาดูดีกว่าผมเยอะ”
เหล้าคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างดื่มแต่เหล้าไม่มีกับแกล้มใดๆ
ไป๋เยี่ยเห็นดังนั้นก็ไม่ได้หยุดดื่มแต่อย่างใด หลังจากที่ดื่มไปอีกสองสามแก้วเขาก็ลุกไปหยิบอาหารที่แม่ของเขาเตรียมไว้จากชั้นล่าง
รถที่จอดอยู่ด้านล่างก็ยังคงเป็นรถจี๊ปทหารคันเดิม จ้าวหู่ชิวนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับพลางมองไปรอบๆ โดยไม่พูดอะไรและไม่แม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
นี่คือภารกิจของเขา เขาละเลยต่อการปฏิบัติภารกิจไม่ได้
ไป๋เยี่ยเคาะประตูรถ ทำให้จ้าวหู่ชิวต้องหันกลับมามองแล้วเปิดประตูให้
ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นหอมของเนื้อก็โชยเข้ามาทันที ไป๋เยี่ยเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “นี่ แม่ผมเพิ่งทำมาให้ ลองกินไหมครับ”
จ้าวหู่ชิวเหลือบมองกับข้าวในจาน “ผมไม่หิวครับ!”
ไป๋เยี่ยได้แต่ยิ้มและขึ้นมานั่งตรงที่นั่งข้างคนขับพลันเหลือบไปเห็นห่อบิสกิตข้างๆ จึงพูดขึ้น “รีบกินเร็วเข้า ตอนนี้ผบ.แนกำลังเมาเลย บิสกิตนี่อร่อยตรงไหน”
คะยั้นคะยอกันไปสักพัก จ้าวหู่ชิวก็คว้าจานเนื้อและตะเกียบมาและเริ่มกินจนได้ คงไม่ต้องพูดถึงรสชาติว่ามันอร่อยขนาดไหน!
ถ้าให้พูดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวหู่ชิวและไป๋เยี่ยก็ยังคงดีอยู่ ไป๋เยี่ยจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสบายๆ “แล้วตั้งแต่กลับมาจากเมียนมา คุณได้เลื่อนตำแหน่งหรือยังล่ะ”
จ้าวหู่ชิวชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงยิงคำถามนี้มา ทว่าเขาก็ยังคงตอบไปตามความจริง “ก็ได้เลื่อนเป็นยศพันโทแล้วครับ ผมมีหน้าที่ติดตามผบ.เฉินเป็นหลัก”
ไป๋เยี่ยถึงกับตกตะลึง ยศเขาสูงขนาดนี้เลยเหรอ
หงซิ่งเฉวียนซึ่งเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลภาคสนามมียศพันเอก ในขณะที่จ้าวหู่ชิวมียศเป็นถึงพันโท
ปกติแล้วยศผู้พันมักจะต้องคอยดูแลกองร้อยเป็นส่วนใหญ่
ทั้งไป๋ตงหลินและเฉินเจิ้นปั่งดื่มกันเยอะเกินไปจนผล็อยหลับไปบนโซฟาห้องนั่งเล่น ทั้งยังส่งเสียงกรนดังสนั่น
พวกเขาหลับไปนาน กว่าจะตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาสี่ห้าโมงเย็นแล้ว หูไฉ่อวิ๋นจึงนำชามข้าวต้มร้อนๆ มาวางไว้ให้ เมื่อทั้งสองคนกินข้าวต้มหมดแล้วก็พากันแยกย้ายกลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ของโรงพยาบาล 980 ก็เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการ ไป๋เยี่ยและครอบครัวของเขาจึงมาด้วยกัน ตอนนี้ทั้งขั้นตอนต่างๆ และเงินก็พร้อมแล้ว ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่นดี
นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะสัมพันธไมตรีอันดีของเฉินเจิ้นปั่ง ทำให้ขั้นตอนการก่อตั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินถูกดำเนินการอย่างรวดเร็ว
ซึ่งไป๋เยี่ยไม่จำเป็นต้องจัดการอะไรเลย นับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
หลังจากที่เรื่องต่างๆ คลี่คลายลงแล้ว ทั้งครอบครัวสกุลไป๋ก็เดินดูรอบๆ เขตกองทัพเพื่อสนองคำขอของไป๋หลิง เพราะเธอยังคงสงสัยเกี่ยวกับกองทัพมาก เธอเคยได้ยินพ่อของเธอเล่าเรื่องราวในกองทัพมาตั้งแต่เด็ก และเธอเองก็สนใจมันมากเช่นกัน
ไป๋เยี่ยมองดูครอบครัวตนเองอย่างมีความสุข พลันนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันพวกเขาก็ต้องเดินทางกลับไปที่อเมริกาแล้ว
ไป๋ตงหลินรู้ความคิดของไป๋เยี่ยจึงได้แต่ยิ้ม “ไว้จัดการเรื่องที่นั่นเสร็จแล้ว เดี๋ยวก็กลับมาที่นี่แล้ว ถึงตอนนั้นพ่อจะเซอร์ไพร์สลูกด้วย”
ไป๋เยี่ยยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
การโอนย้ายกรรมสิทธิ์ของโรงพยาบาล 980 ใช้เวลาสองวันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือแค่รอวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการเท่านั้น
โดยรวมแล้วทุกอย่างดูจะเป็นไปอย่างราบรื่น
หลังจากได้ครอบครองโรงพยาบาล 980 แล้ว ไป๋เยี่ยก็ไม่ได้หยุดพักผ่อนแต่อย่างใด กลับกัน เขาก็เริ่ม เตรียมตัวสำหรับการประชุมทันที
โมลโดและอาคามอสต่างกังวลเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำตัวว่างเลย ทั้งคู่ช่วยกันออกแบบหัวข้อและวัตถุประสงค์ของการประชุม ทั้งยังจัดทำรายชื่อบุคคลที่จะเชิญมาร่วมการประชุมแล้ว
การประชุมวิชาการประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลก แค่มีคนกลุ่มนี้มาเข้าร่วมก็พอจะดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ได้มากแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโมลโดเองก็เป็นหนึ่งในบุคลากรระดับแนวหน้าของโลกในสาขาศัลยกรรมกระดูก การมีส่วนร่วมของเขาย่อมดึงดูดผู้คนได้มากมายอยู่แล้ว
แม้ว่าไป๋เยี่ยจะไม่เป็นที่รู้จัก แต่ก็ไม่มีใครตั้งข้อครหาในความสามารถของเขา แต่เมื่อพูดถึงการประชุม ทุกคนก็ยังคงดูที่ชื่อเสียงเป็นหลัก ท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถที่แท้จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ จะพูดกันได้
อิทธิพลระดับนานาชาติคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ภายในวันหรือสองวัน
โมลโดมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้เพราะเขาเพียรพยายามมานับหลายปี
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อคำเชิญเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวถูกส่งไปยังทั่วโลกจะทำให้ทุกคนทึ่งขนาดนี้
โมลโดผู้เป็นถึงรองประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคมศัลยกรรมกระดูก และเป็นที่รู้จักในนาม ‘หัตถ์ของพระเจ้า’ จะเข้าร่วม ‘สถาบันวิจัยกระดูกบีวาย‘ จริงๆ สถาบันที่ว่านั้นเป็นสถาบันแบบใดกัน และเหตุใดเขาถึงลาออกจากมหาวิทยาลัยไฮเซนเบิร์ก
เช่นเดียวกับที่อาคามอสแนะนำไว้ สถาบันดังกล่าวเป็นสถาบันแบบใด ที่ทำให้เสาหลักสองแห่งมหาวิทยาลัยไฮเซนเบิร์กลาออกพร้อมกัน!
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกมาก
ขณะเดียวกัน ทันทีที่ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยไฮเซนเบิร์กเห็นข่าวนี้ เขาก็ต้องเบิกตากว้างทันที!
เจอพวกเขาแล้ว!
โจนส์หรี่ตาลง ในที่สุดเขาก็ได้รู้ถึงเหตุผลที่ทั้งสองคนลาออกแล้ว!