บทที่ 319 PK (1)
คำพูดของไป๋ตงหลินทำเอาไป๋เยี่ยตะลึงไปชั่วขณะ ตอนแรกเขาเองก็กำลังคิดเรื่องวิธีโปรโมตการรับสมัครบุคลากรของสถาบันอยู่
และตอนนี้โอกาสดีๆ ก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ทั้งไป๋ตงหลินและไป๋เยี่ยกลับไปที่ห้องทำงานก่อนจะนั่งลงและเริ่มพูดคุยกัน “โลกแห่งความจริงก็เป็นแบบนี้แหละ มีหลายครั้งที่เรื่องต่างๆ ก็ไม่ง่ายแบบที่เห็น เราต้องแยกด้านที่ดีและไม่ดีของเรื่องนั้นๆ ออกจากกันก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีสองด้านทั้งนั้น”
“พิธีเปิดเพิ่งจะจบลง ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ทั้งสถาบันและตัวลูกเองกลายเป็นประเด็นสำคัญในสายตาสาธารณะแล้ว ตอนนี้มีคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก แต่ก็มีอีกหลายคนที่กำลังรอดูท่าทีอยู่”
“เพราะฉะนั้น ในตอนนี้ลูกไม่เพียงแค่หลบสปอตไลต์ที่กำลังฉายมาที่ลูกไม่ได้ แต่ลูกยังต้องหัดดึงดูดสาธารณชนด้วย ลองคิดถึงการประชุมของลูกในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้ากับแผนรับสมัครของลูกดูสิ”
“ความคิดเห็นจากสาธารณชนและสื่อก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการประชาสัมพันธ์และโฆษณา ถ้าลูกใช้มันให้เกิดประโยชน์ มันจะเป็นผลดีต่อการทำงานของลูกในอนาคตแน่นอน”
คำพูดของไป๋ตงหลินช่วยเปิดหน้าต่างความคิดให้กับไป๋เยี่ย ทำให้วิสัยทัศน์ของเขายิ่งกว้างไกลมากขึ้น
ไหนๆ เราก็ต้องรับสมัครคนเข้ามาอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่โอกาสที่ดีหรอกเหรอ
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ไป๋เยี่ยจองเวลาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ติดต่อไปที่สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งและตกลงรับคำเชิญทันที
ส่วนโมลโดจำเป็นต้องกลับเยอรมนีไปก่อนเพราะว่าอุปกรณ์ผ่าตัดของที่นี่ยังไม่พร้อม
นับตั้งแต่โมลโดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสถาบันกระดูกจากไป๋เยี่ย เขาก็บังเกิดแรงบันดาลใจมากมาย ไม่ว่าเรื่องใด เขาก็อยากทำออกมาให้ดีที่สุด
ก่อนจะกลับประเทศไป โมลโดและไป๋เยี่ยได้ร่วมกันวางแผน นอกจากจะต้องมีอุปกรณ์ที่เพียบพร้อมแล้ว ยังต้องดึงดูดบุคลากรมากความสามารถเข้ามาด้วย
ทว่าเมื่อเทียบกับการเตรียมการของสถาบันกระดูกแล้ว ฝั่งของสถาบันวิจัยการแพทย์ฉุกเฉินดูจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากกว่า
เนื่องจากการแทรกแซงของกองทัพ ทำให้ทุกอย่างถูกจัดการอย่างรวดเร็ว สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว
เฉินเจิ้นปั่งช่วยเหลือไป๋เยี่ยในการก่อตั้งสถาบันวิจัยการแพทย์ฉุกเฉินโดยการย้ายอุปกรณ์จำนวนมากมาจากโรงพยาบาลทหาร
นั่นทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกซาบซึ้งมาก!
เดิมทีไป๋เยี่ยต้องการจะก่อตั้งองค์กรเกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉินอยู่แล้ว
แต่หลังจากที่ได้หารือกับอาคามอสอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็ค้นพบกับปัจจัยที่ตนเองมองข้ามไป
มันเกินความจำเป็น!
การเปลี่ยนสถาบันวิจัยการแพทย์ฉุกเฉินระดับสูงให้เป็นสถาบันฝึกอบรมนั้นเกินความจำเป็นจริงๆ
ทว่าการมาถึงของเกาเย่ว์หยางและคนอื่นๆ นั้นกลับทำให้ไป๋เยี่ยเกิดความคิดใหม่ๆ ขึ้นในทันที
ไป๋เยี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการมาเยือนอย่างกะทันหันของเกาเย่ว์หยางและคังเจี้ยนเซิง
หลังจากที่นักวิชาการทั้งสองนั่งลงแล้ว เกาเย่ว์หยางก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน “เสี่ยวเยี่ย คุณมีแผนเรื่องสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินยังไงบ้าง”
ไป๋เยี่ยกล่าวสิ่งที่ตนคิดไว้ออกไป เกาเย่ว์หยางและคันเจี้ยนเซิงได้ฟังก็หันมามองหน้ากันก่อนจะเอ่ยขึ้น “วันนี้พวกผมมาหาคุณ เพราะว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ”
ไป๋เยี่ยยิ้มและรินน้ำให้นักวิชาการทั้งสองคน “อาจารย์เกา อาจารย์คัง พูดมาได้เลยครับ”
เกาเย่ว์หยางเอ่ย “ถึงผมจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ผมคิดว่าสถาบันของคุณจะต้องเติบโตไปได้อย่างแน่นอน พวกเราสองคนก็เลยคุยกันแล้วก็ตัดสินใจมาให้คำแนะนำกับคุณนี่แหละ”
“คุณเคยคิดจะสร้างศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินไหม”
ไป๋เยี่ยชะงักก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินเหรอครับ”
เกาเย่ว์หยางพยักหน้า “ใช่แล้ว แน่นอนว่าศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินคงไม่ได้ให้คุณรับทุกเคสในปักกิ่งหรอก แต่ที่นี่จะเป็นสถานที่สาธิตงานภาคปฏิบัติเพื่อสร้างมาตรฐานการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติ จากนั้นเราก็จะใช้สถานที่นี้เป็นที่อบรมบ่มเพาะบุคลากร”
“นี่คือสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาได้หลังจากที่คุยกับเพื่อนเก่ามา อีกอย่างมันจะไม่สร้างผลเสียให้กับคุณแน่นอน ท้ายที่สุดแล้วการแพทย์ก็ไม่เหมือนศาสตร์อื่นๆ มันเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผล การแพทย์ฉุกเฉินก็เหมือนกัน ถ้าคุณคิดจะอบรบแค่พื้นฐาน คนอื่นๆ ก็จะตั้งคำถามกับคุณ ถึงขั้นที่พวกเขาอาจจะมองว่าการอบรมนี้ไม่มีประสิทธิภาพเลยก็เป็นได้”
“ถ้าคุณสร้างศูนย์การแพทย์ฉุกเฉินเล็กๆ ขึ้นมาได้ ก็ใช้มันเป็นสถานที่ในการแสดงทักษะของคุณให้โลกได้รับรู้ และจะได้เป็นการทดสอบผลการฝึกอบรมไปในตัวด้วย”
“ถึงตอนนั้น คุณจะไม่ได้ใช้ที่นี่สำหรับการฝึกอบรมบุคลากรเท่านั้น แต่ยังใช้ความรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินของคุณได้อย่างเต็มที่ด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวใช่ไหมล่ะ”
หลังจากที่ไป๋เยี่ยได้ฟังสิ่งที่ทั้งสองคนพูด เขาก็ลองพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนจะพยักหน้าลงด้วยสีหน้าจริงจัง ที่พวกเขาพูดก็จริงแฮะ
การจัดตั้งสถาบันวิจัยเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ สถาบันวิจัยการแพทย์ฉุกเฉินเองก็ต้องการโรงพยาบาลเป็นสนามภาคปฏิบัติเช่นเดียวกับสถาบันวิจัยกระดูก และต้องเป็นสถานที่ที่สามารถสาธิตและแสดงความรู้ได้ในเวลาเดียวกัน
ตอนนี้ไป๋เยี่ยตระหนักได้แล้วว่าการใช้จ่ายเงินจำนวนมากนั้นเป็นอย่างไร เขาใช้เงินไปกว่าสองร้อยล้านหยวนภายในระยะเวลาแค่ครึ่งเดือน ซึ่งนั่นทำให้ไป๋เยี่ยขนลุกไม่น้อยเลย!
ทำไมเขาถึงใช้เงินเยอะขนาดนั้น
ประการแรกคือเขาต้องซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์จำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดเป็นอุปกรณ์เกี่ยวกับการศัลยกรรมกระดูกที่นำเข้าจากประเทศเยอรมนี ไหนจะมีอุปกรณ์ทั้งหมดที่ต้องใช้ในห้องผ่าตัดที่เพิ่งสร้างใหม่อีกสิบห้องด้วย
ทันทีที่โมลโดกลับมาจากเยอรมนี เขาก็ทำให้ไป๋เยี่ยประหลาดใจ
ไป๋เยี่ยรู้สึกปลื้มปีติกับทีมวิจัยของเขามาก มีสองทีมที่มีสมาชิกเจ็ดคน ส่วนอีกทีมหนึ่งเป็นทีมภาคปฏิบัติซึ่งมีสมาชิกสี่คน
ไป๋เยี่ยยืนอยู่ในสนามบินด้วยความดีใจสุดขีด
ถึงแม้ว่าโมลโดจะมองว่าไป๋เยี่ยเป็นอาจารย์ของเขา แต่จนถึงตอนนี้ไป๋เยี่ยก็ไม่ได้สอนอะไรเขามากนัก เพราะหลังจากกลับมาจีน โมลโดก็เอาแต่กังวลเรื่องสถาบันวิจัยกระดูก ทำให้เขายุ่งอยู่ตลอดเวลา
หากว่ากันตามตรง ไป๋เยี่ยมีเพียงเทคโนโลยี ในขณะที่โมลโดมีทั้งทีมงาน ช่องทาง และแม้กระทั่งเส้นสาย
โมลโดนั้นยิ่งใหญ่มากเสียจนไป๋เยี่ยอดยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้
“อาจารย์ นี่คือทีมเก่าของผมที่เยอรมัน ผมพาพวกเขามาที่นี่เอง ไหนๆ พวกเราก็เพิ่งเริ่มก่อตั้งสถาบัน มีพวกเขามาเข้าร่วมด้วยแบบนี้ ต่อไปการทำงานของเราจะต้องง่ายขึ้นมากแน่”
“ถูกต้อง! วางใจได้เลย ความสามารถของพวกเขาน่ะเชื่อถือได้แน่นอน”
ไป๋เยี่ยยิ้มก่อนจะพยักหน้าและกล่าวขอบคุณโมลโดจากใจจริง
การกลับมาของโมลโดนั้นได้นำมาทั้งอุปกรณ์ วัสดุและบุคลากรมาสู่สถาบันแห่งนี้ ดังนั้นทั้งสถาบันจึงวุ่นอยู่กับการจัดการสิ่งต่างๆ ทุกคนเองก็ช่วยกันเตรียมการอย่างแข็งขัน
โดยหวังว่าจะได้เห็นจุดเริ่มต้นของสถาบันวิจัยในเร็ววัน
PK ย่อมาจากคำว่า Player Kill เป็นศัพท์เกมมิ่ง มีความหมายคือการต่อสู้กันระหว่างสองฝ่าย