บทที่ 330 การเรียนแพทย์ช่างหดหู่นัก
เมื่อคาโปเห็นโมลโดเดินเข้ามาก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พูดไม่ทันขาดคำแท้ๆ แต่ว่า…เดี๋ยวก่อนนะ…มีอะไรแปลกๆ!
ทันใดนั้นคาโปก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่โมลโดเรียกไป๋เยี่ยว่าอาจารย์!
นี่มันเรื่องใหญ่นี่นา!
คนทั้งโลกยังไม่รู้ว่าโมลโดไปทำงานที่ไหนหลังจากลาออก แต่ตอนนี้กระจ่างแล้วว่าที่แท้เขาก็อยู่ที่นี่ แล้วยังเรียกไป๋เยี่ยว่าอาจารย์ด้วย
ดูเหมือนว่าความจริงจะถูกเปิดเผยแล้ว ทว่ามันกลับฟังดูน่าขันสิ้นดี
คาโปเป็นฝ่ายยืนขึ้นและยื่นมือออกไปก่อน “สวัสดีครับ ศาสตราจารย์โมลโด ผมคาโป เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการจากไทม์แมกกาซีน ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณที่นี่”
โมลโดยิ้ม เขาไม่เคยเจอคาโปมาก่อน ทว่าตำแหน่งหัวหน้ากองบรรณาธิการของไทม์แมกกาซีนก็โด่งดังอยู่พอตัว เขาจับมือของคาโปพลางส่งยิ้มให้ “สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
คาโปกระชับมือแน่นพร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ผมคิดว่าผมได้ข่าวใหม่แล้ว ช่วงก่อนหน้านี้ผมได้ยินคนทั้งวงการกำลังพูดถึงที่ทำงานของศาสตรารย์โมลโด ผมคิดว่าผมคงรู้แล้วละ”
ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง “ตอนนี้คุณโมลโดเป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยกระดูกที่ผมดูแลอยู่ครับ”
โมลโดได้แต่ยิ้มและตอบกลับตามตรง “หลังจากที่ผมได้เจอกับอาจารย์ไป๋เยี่ยที่เมียนมา ผมก็ได้ค้นพบข้อบกพร่องของตัวเองเยอะเลยครับ ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองเป็นกบในกะลาจริงๆ วิทยาการรักษาโรคกระดูกยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก อาจารย์ไป๋เยี่ยคือคนที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่ง ผมก็เลยมาที่นี่เพราะหวังว่าจะได้เรียนรู้จากเขา”
“แล้วอีกอย่าง ถ้าผมยังอยู่ที่ไฮเซนเบิร์กจนเกษียณ ผมคงจะพัฒนาตัวเองไปได้ไม่ไกลกว่านี้ เกียรติยศซื้อชีวิตผู้ป่วยไว้ไม่ได้หรอกครับ สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้คือเรียนรู้จากอาจารย์แล้วพัฒนาตนเองจนนำพาวิทยาการศัลยกรรมกระดูกโลกให้พัฒนาตามไปด้วยได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทีไร โมลโดก็มักจะทอดสายตาอันลึกซึ้งออกไปในระยะไกล เขาค่อยๆ เอ่ยขึ้น “บางทีผมอาจจะช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ! ถึงไม่มีผม ไฮเซนเบิร์กก็จะมีโมลโดคนต่อๆ ไป แต่อาจารย์ไป๋มีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
คาโปมองชายวัยหกสิบปีตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า เขารู้ดีถึงสถานะของโมลโดในวงการนี้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าโมลโดจะเชิดชูไป๋เยี่ยถึงขั้นนี้
โมลโดยื่นหนังสือให้ไป๋เยี่ยพลางเอ่ย “หนังสือเสร็จแล้วนะครับ อาจารย์ลองอ่านดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ไป๋เยี่ยหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกดู บนหน้าปกไม่ได้มีข้อความกล่าวอ้างเกินจริงแต่อย่างใด มีเพียงข้อความว่า ‘การศัลยกรรมกระดูกฉุกเฉิน‘ เท่านั้น
เมื่อคาโปมองดูหนังสือตรงหน้า เขาก็ต้องเบิกตากว้างก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “หนังสือเล่มนี้…คุณเขียนขึ้นเองเหรอครับ คุณไป๋เยี่ย แล้วคุณจะวางขายมันไหมครับ”
ไป๋เยี่ยตอบ “ไม่ครับ จะไม่มีวางขาย ใช้กันแค่ในสถาบันเท่านั้นครับ เนื้อหาข้างในเป็นเนื้อหาของการประชุมครั้งนี้ แต่อาจจะมีเพิ่มอย่างอื่นลงไปด้วย ผมจะใช้เป็นสื่อการสอนของสถาบันครับ”
คาโปได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความผิดหวัง
ไป๋เยี่ยเดินตรงมาข้างหน้า “ขอบคุณที่เดินทางมาที่นี่นะครับ ผมจะให้ฉบับสำเนากับคุณไว้เป็นที่ระลึก”
คาโปเกือบจะสิ้นหวัง แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ไป๋เยี่ยพูด เขาก็ค่อยสุขใจขึ้นมาหน่อยและกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว
“คุณเป็นคนใจกว้างจริงๆ ศาสตราจารย์โมลโด ผมเชื่อว่าคุณจะสร้างปาฏิหาริย์ได้ เพราะว่าพวกคุณเป็นกลุ่มคนที่ไม่แสงหาชื่อเสียงและเงินทอง แต่กลับพยายามอย่างหนักเพื่อชีวิตและสุขภาพของผู้คนทั่วโลก ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ ครับ”
คาโปพูดจบก็โค้งคำนับให้ทั้งสองคน
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก คาโปก็ขอตัวก่อน
ทว่าไป๋เยี่ยไม่ได้ใส่ใจเรื่องคาโปนัก เขาขอให้โรงพิมพ์ส่งหนังสือกลับไปที่สถาบัน ส่วนเขาก็เดินทางกลับบ้าน
อีกไม่นานครอบครัวของเขาก็จะกลับไปที่อเมริกาแล้ว เขาจึงอยากใช้ช่วงเวลานี้ร่วมกับครอบครัว
ช่วงเวลาอันวุ่นวายย่อมมีวันสิ้นสุดลง ถึงแม้ว่าจะยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำก็ตาม
เถ้าแก่ไป๋มักจะพูดเสมอว่า การหยุดพักจากตารางงานอันยุ่งเหยิงคือความสุขในชีวิตอย่างหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้ไป๋เยี่ยแทบจะไม่ได้เจอเสียวจื่อเหยียนเลย เขาคิดว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เขาจะต้องเพิ่มเรตติ้งให้ตนเองสักหน่อย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ไป๋เยี่ยก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าหลีจื่อเหยียนกับแม่ของเขากำลังช่วยกันทำเกี๊ยวอยู่
ไป๋เยี่ยยิ้ม “ไหงวันนี้ทำเกี๊ยวล่ะแม่”
หูไฉ่อวิ๋นยิ้มตอบ “วันนี้พ่อของจื่อเหยียนไปประชุมน่ะ ไม่มีใครอยู่บ้านกับเธอ แม่ก็เลยชวนจื่อเหยียนมากินข้าวที่บ้านเราแล้วก็คุยๆ กันนิดหน่อยน่ะ”
ไป๋เยี่ยถามต่อ “พ่อล่ะครับ”
หูไฉ่อวิ๋นตอบ “ไปข้างนอกน่ะ ไปซื้อของกับหลิงเอ๋อร์…เฮ้อ อยู่บ้านสบายกว่าตั้งเยอะ ข้างนอกวุ่นวายจะตาย พรุ่งนี้หลิงเอ๋อร์ก็คงไม่มีเรื่องอะไรแล้วมั้ง เดี๋ยวก็ต้องกลับไปที่นั่นแล้ว ไว้ถึงเวลาค่อยซื้อบ้านที่ปักกิ่ง จะได้มาปักหลักที่นี่กัน”
ระหว่างที่หูไฉ่อวิ๋นพูดก็เหลือบตามองหลีจื่อเหยียนไปด้วยก่อนจะเอ่ยถามขึ้นกะทันหัน “จื่อเหยียน มีแฟนหรือยังจ๊ะ”
หลีจื่อเหยียนถึงกับตกใจกับคำถามนี้จนแทบจะทำแป้งเกี๊ยวหลุดมือ เธอได้แต่ยิ้มด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ไม่มีค่ะ คุณป้า คนเรียนหมอส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงหมดเลย ไม่ค่อยมีผู้ชายเท่าไหร่ หนูเองก็เพิ่งเรียนจบด้วย ยังไม่มีแฟนหรอกค่ะ”
หูไฉ่อวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงแฝงแววครุ่นคิด “จื่อเหยียนน่าจะอายุพอๆ กับไป๋เยี่ยใช่ไหม”
หลีจื่อเหยียนพยักหน้า เธอเรียนปริญญาตรีควบโทมาเป็นเวลาเจ็ดปี นี่จึงเป็นการทำงานหลังเรียนจบปีแรกของเธอ “ปีนี้หนูอายุยี่สิบห้าค่ะ”
หูไฉ่อวิ๋นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้ม “เก่งจัง อายุยี่สิบห้าก็จบป.โทแล้ว ไป๋เยี่ย ดูสิลูก จื่อเหยียนเพิ่งยี่สิบห้าก็เรียนจบแล้วเนี่ย ลูกอายุยี่สิบห้าแต่เพิ่งเรียนป.โทปีแรกเองนะ ไม่ขายหน้าเหรอ”
ไป๋เยี่ยยิ้มแหย อายุของคนเรียนหมอนี่มันเป็นบาดแผลอย่างหนึ่งชัดๆ!
ในวิทยาลัยแพทย์มีสามคำถามที่ไม่ควรถามถึง ได้แก่
“ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่”
“คุณได้เงินเดือนเท่าไหร่”
“คุณ…มีแฟนหรือยัง”
ถ้าคุณถามทั้งสามคำถามนี้พร้อมกัน คุณมั่นใจได้เลยว่าคุณกำลังทำให้พวกแพทย์ที่เรียนจบสูงๆ กลับไปร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่นอน
ลองคิดดูสิ คนอายุสามสิบปีแล้วแต่ยังเรียนไม่จบปริญญาเอก พอเรียนจบแล้วก็ต้องใช้ทุน ระหว่างนั้นก็ได้เงินเดือนแค่ราวๆ สองพันหยวนเท่านั้น แถมพวกเขายังยุ่งเสียจนไม่มีเวลาไปตกหลุมรักใคร…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย!
มันเปรียบดั่งโศกนาฏกรรมในชีวิตเรื่องหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นแพทย์คนหนึ่ง ไป๋เยี่ยจึงอยากบอกบรรดารุ่นน้องว่าถ้าอยากเรียนแพทย์จริงๆ พวกเขาจะต้องดูฐานะทางบ้านของตนเองด้วย ถ้าไม่ดีพอล่ะก็…ต้องระวังไว้บ้าง
เพราะคุณอาจจะต้องขายหน้ากับอายุขึ้นเลขสามในทุกที่และทุกเมื่อก็เป็นได้
แพทย์ไม่ใช่อาชีพที่ทำเงินได้ดีจริงๆ
ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาหรือญี่ปุ่น โดยทั่วไปครอบครัวที่ส่งลูกเรียนแพทย์ได้จะมีฐานะทางการเงินที่ดี อย่างน้อยก็สามารถส่งจนกว่าจะเรียนจบปริญญาเอกได้โดยไม่ต้องกังวล
เพราะว่าการเรียนแพทย์ในต่างประเทศนั้นไม่จบแค่วุฒิปริญญาตรี คุณจะต้องเรียนจบปริญญาตรีถึงปริญญาเอกก่อนถึงจะมีโอกาสได้เข้าไปทำงาน
แต่… คนเราต้องหาเงิน!
ในสหรัฐอเมริกา รายได้ต่อปีของแพทย์ประจำบ้านหรือเรสซิเดนท์จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งแสนเก้าหมื่นดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับแพทย์ชุมชน ขณะที่ในประเทศจีน รายได้เฉลี่ยต่อปีของแพทย์ชุมชนนั้นน้อยกว่าหนึ่งหมื่นดอลลาร์สหรัฐด้วยซ้ำ อ้อ ถ้าใช้สกุลเงินหยวนอาจจะพอคุ้นกันมากกว่า ก็คงอยู่ที่ราวๆ สามพันถึงห้าพันหยวนเท่านั้น แน่นอนว่าในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้และกว่างโจวก็อาจจะได้เยอะกว่านี้
พูดตามตรง หากฐานะของครอบครัวคุณอยู่ในระดับปานกลาง แต่คุณอยากรับเรียนจบแล้วหางานทำช่วยหารายได้เลี้ยงครอบครัว การเรียนแพทย์ในเมืองใหญ่ก็คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดอย่างแน่นอน
แต่ถ้าฐานะครอบครัวของคุณดีพอ และคุณชื่นชอบการเรียนแพทย์จริงๆ และอดทนกับการที่คนรอบข้างได้เงินเดือนมากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนในขณะที่คุณกำลังเรียนอยู่ไหว พอเรียนจบก็ได้เงินเดือนแค่สามพันหยวน อดทนกับความเหงาระหว่างเรียนได้และต้องยืนหยัดเรียนมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะอายุหกสิบปีล่ะก็…
ยินดีต้อนรับสู่วังวนแห่งการเรียนแพทย์!