บทที่ 350 ค้นพบบุคลากรหายาก!
หลังจากที่นักศึกษาแพทย์หลายคนรู้ว่าสถาบันวิจัยของไป๋เยี่ยกำลังรับสมัครคน พวกเขาก็แห่กันแ็มาที่นี่เพราะชื่อเสียงของไป๋เยี่ย
ทุกคนได้รับชมวิดีโอการผ่าตัดช่วยชีวิตครูซแล้ว นักศึกษาแพทย์ต่างชาติมักจะราวน์วอร์ดและเข้าห้องผ่าตัดทุกวันอยู่แล้ว พวกเขาจึงได้รับความรู้ใหม่ๆ มากกว่านักศึกษาในประเทศจีน
ทุกคนดูวิดีโอของไป๋เยี่ยจบแล้วก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้น เพราะพวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของไป๋เยี่ยที่เหนือกว่าในคำกล่าวทั้งหลาย วิธีการผ่าตัดที่สร้างสรรค์และเป็นเอกลักษณ์ของเขานดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
แต่ถึงกระนั้น นักศึกษาแพทย์เหล่านั้นก็แตกต่างจากโมลโดและอาคามอส เพราะว่าหลังจากเรียนจบ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเงินกู้และดอกเบี้ยอันสูงลิ่วจากธนาคาร
ท้ายที่สุดแล้ว นักศึกษาเหล่านั้นก็ยังชำระค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยไม่หมด พวกเขาจึงต้องกู้เงินจำนวนมากจากธนาคารในช่วงระหว่างที่กำลังเรียนต่อปริญญาโท และถ้าพวกเขาไม่มีงานที่มีค่าตอบแทนสูงและมั่นคงพอ พวกเขาก็คงไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในชีวิตนี้อีก
ดังนั้นเมื่อหลายคนได้มาพบไป๋เยี่ยก็บังเกิดความลังเล
เพราะว่าการแพทย์ในประเทศจีนยังไม่ค่อยก้าวหน้านัก บรรดานักศึกษาแพทย์ที่แบกหนี้ก้อนโตไว้จึงไม่กล้าไปที่นั่น
งานมหกรรมรับสมัครงานไม่ได้จัดขึ้นนอกอาคาร แต่ถูกจัดในสำนักงานโดยมีไป๋เยี่ยและโมลโดคอยดำเนินการ
งานเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เวลาแปดโมงเช้า ทว่าตอนนี้แถวนั้นยาวออกไปนอกประตูแล้ว
ไป๋เยี่ยและโมลโดนั่งสัมภาษณ์นักศึกษาแต่ละคนอยู่ในห้องอย่างอดทน
ด้านนอกก็เต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“บิล นายอยากไปจีนไหม”
“ทำไมจะไม่อยากล่ะ ปักกิ่งก็ไม่ได้แย่ไปกว่าแอลเอสักเท่าไหร่หรอกน่า ฉันชอบจีนนะ แต่แค่ไม่รู้ว่าสถาบันของไป๋เยี่ยจะเป็นยังไงบ้าง”
“นายไม่ได้ไปสมัครงานที่โรงพยาบาลมิชชันหรอกเหรอ”
“ไม่ๆ! ฉันคิดว่าอนาคตของฉันต้องสดใส เชื่อฉันเถอะซูซี่ ไป๋เยี่ยอายุน้อยกว่าเรา แต่อนาคตของเขาน่ะกว้างไกลกว่าที่เราจะจินตนาการได้ซะอีก ฉันต้องมองไม่ผิดแน่! พนันได้เลยว่าไป๋เยี่ยจะกลายเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลที่อายุน้อยที่สุดในโลก!”
ซูซี่ได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไป เมื่อลองนึกถึงอายุของไป๋เยี่ยดูแล้วมันก็พอจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่… “เฮ้อ แต่ฉันได้ยินมาว่าค่าแรงที่จีนน้อยมากเลยนะ ฉันยังมีหนี้อีกตั้งเยอะ ฉันว่าจะรออีกสักสองสามปีค่อยไป…”
บิลเบิกตากว้างก่อนจะก้มลงกระซิบ “ชู่! ซูซี่ เธอคงไม่ได้ไปหาข้อมูลเรื่องไป๋เยี่ยมาดีๆ ล่ะสิ เขาเป็นคนคิดค้นเกณฑ์บีพีเอฟเอชแล้วก็หนูเคเอ็มสายพันธุ์ใหม่ที่เธอกำลังใช้อยู่ด้วย อีกทั้งเขายังเป็นผู้ชนะรางวัลผลงานดีเด่นของสาขาทวารหนักทั้งที่อายุแค่ยี่สิบห้าเองนะ สถาบันวิจัยกระดูกของเขาเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นไม่กี่เดือนเอง แล้วนี่กำลังขาดคนอยู่ เป็นโอกาสที่ดีมากเลยนะ ถ้าพวกเราไปที่นั่น พวกเราจะต้องกลายเป็นคนสำคัญแน่ๆ แต่ว่านะ ซูซี่ ถ้าขืนรอให้เธอปลดหนี้จนหมดก่อน ฉันเชื่อว่าอีกหลายปีข้างหน้าสถาบันของไป๋เยี่ยจะต้องเป็นที่ที่แม้แต่คนจากฮาร์วาร์ดก็เข้าไปไม่ได้แน่ๆ!”
ซูซี่เบิกตากว้าง เธอถึงกับตะลึงเมื่อได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับไป๋เยี่ย!
ระหว่างที่เธอเอาแต่ลังเล บิลก็เดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์แล้ว
พูดตามตรง ไป๋เยี่ยรู้สึกแปลกใจกับการรับสมัครงานในเช้านี้มาก มีแต่คนหนุ่มสาวมากความสามารถมาแวะเวียนตลอดทั้งเช้า
อีกทั้งไป๋เยี่ยยังพบว่านักศึกษาเหล่านี้ล้วนมีทักษะติดตัวมากกว่าหนึ่งทักษะ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงนักศึกษาปริญญาเอกก็ตาม ทว่าทักษะสองสามอย่างในตัวพวกเขาก็มีเลเวลสามขึ้นไปทั้งนั้น นั่นทำให้ไป๋เยี่ยประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เขาประหลาดใจก็คือพรสวรรค์ทั้งนั้น
เขาพบว่าในบรรดาคนที่มาสัมภาษณ์กว่ายี่สิบคนเช้านี้ มีสามคนที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่ห้าดาวขึ้นไป
เลเวลห้าคือระดับปรมาจารย์ ซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าคนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขาก็จะเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้อย่างแท้จริง
ซึ่งไป๋เยี่ยก็ได้เก็บข้อมูลของคนพวกนั้นไว้แล้ว
เมื่อบิลเข้ามา เขาก็กล่าวแนะนำตัวด้วยท่าทีประหม่า “สวัสดีครับ คุณไป๋เยี่ยและคุณโมลโด ผมชื่อบิล บิล ไนเซอร์ อายุยี่สิบเจ็ดปี เรียนจบปริญญาเอกสาขาแพทยศาสตร์ ปริญญาโทสาขาชีววิทยาและปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย ผมสนใจด้านกระดูกและข้อมากครับ ผมได้อ่านมาบ้างแล้ว…ผมหวังว่าจะได้เข้าร่วมทีมกับคุณนะครับ!”
บิลไม่ได้ยกตนข่มไป๋เยี่ยเพียงเพราะเขาอายุน้อยกว่า กลับกัน เขาดูจะถ่อมตัวมาก
หลังจากที่ไป๋เยี่ยอ่านข้อมูลของบิลแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง!
[ติ๊ง! ค้นพบบุคลากรหายาก!]
ไป๋เยี่ยตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบแสดงฟังก์ชั่นนี้ออกมา อะไรคือบุคลากรหายากกันนะ
ไป๋เยี่ยจึงใช้ดวงตารอบรู้สำรวจบิลอย่างละเอียด
[ทักษะภาคปฏิบัติสาขาศัลยกรรมกระดูก เลเวล 3
ทักษะภาคปฏิบัติสาขาศัลยกรรม เลเวล 3
ทักษะฟิสิกส์ เลเวล 4
พรสวรรค์: การศัลยกรรมกระดูก 6 ดาว, ฟิสิกส์ 6 ดาว]
เลเวลสามเทียบเท่ากับระดับมืออาชีพ บิลไม่ได้ทำงานอยู่ในวอร์ดนานมากนัก ทักษะทางวิชาชีพของเขาจึงไม่สูงมาก จัดอยู่ในระดับปานกลาง
แต่พรสวรรค์ของเขาถือว่าน่าทึ่งมาก!
พรสวรรค์ระดับหกดาวสองรายการ นั่นหมายความว่าเขามีโอกาสมากที่จะอัปเกรดทักษะวิชาชีพไปถึงเลเวลหกได้
พรสวรรค์ทั้งสองอย่างนั้นทำเอาไป๋เยี่ยต้องเบิกตากว้างขึ้นมาทันที
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ข่มอารมณ์ตนเองไว้ก่อนจะเอ่ยถาม “ผลการเรียนวิชาฟิสิกส์ของคุณก็ดีนี่ครับ แถมยังได้รับจดหมายเชิญจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียด้วย ทำไมถึงเปลี่ยนมาเรียนแพทย์ล่ะครับ”
บิลตอบ “ฟิสิกส์เป็นวิชาที่สร้างคุณูปการให้มนุษยชาติและนำมาใช้งานได้จริง แต่ศาสตร์การแพทย์นั้นพุ่งเป้าไปที่ผู้คนมากกว่าจะมุ่งศึกษาเป้าหมายทะเยอทะยานเหล่านั้น ผมหวังว่าวิชาฟิสิกส์ที่ผมเรียนมาจะนำไปใช้ศึกษาร่างกายมนุษย์ได้…วันหนึ่งความรู้ฟิสิกส์และการแพทย์ของผมอาจจะให้บริการมนุษยชาติและเป็นวิชาที่ใช้งานได้จริง
ในขณะที่การแพทย์เป็นวิชาที่เน้นผู้คน แทนที่จะศึกษาช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายมนุษย์ก็คือสภาพแวดล้อมทางกายภาพและเคมีอย่างหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ เพราะฉะนั้นผมไม่ได้เปลี่ยนใจมาเรียนแพทย์หรอกครับ ผมก็แค่คนที่ศึกษาร่างกายมนุษย์เท่านั้นเอง”
ไป๋เยี่ยได้ฟังดังนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาพึงพอใจกับคำตอบมากจึงเริ่มถามต่อ “แล้วคุณวางแผนสำหรับอนาคตไว้ยังไงบ้างครับ”
บิลเตรียมคำตอบมานานแล้ว เขาเอาแต่คิดเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน ทันทีที่ไป๋เยี่ยเอ่ยปากถามออกมา เขาก็รีบโพล่งไปในทันที “ผมอยากได้รางวัลโนเบลครับ!”
คำตอบนั้นทำให้ไป๋เยี่ยถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
แม้แต่โมลโดเองก็เช่นกัน เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มชาวตะวันตกธรรมดาๆ คนหนึ่งจะมีความคิดอันกล้าหาญเช่นนี้
แต่ถึงกระนั้นไป๋เยี่ยก็ผละออกจากความคิดนั้นและยิงคำถามต่อไปทันที “ทำไมคุณถึงอยากเข้าร่วมทีมของผมล่ะ”
แววตาของบิลสะท้อนแสงเป็นประกาย “เพราะผมเชื่อว่าคุณไป๋เยี่ยจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ และจะต้องเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลที่อายุน้อยที่สุดด้วย การติดตามคุณไปจะทำให้อนาคตของผมชัดเจนมากขึ้นแน่นอน คุณมีศักยภาพมากพอที่จะนำทางพวกผมไปสู่ความฝัน”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “ผมรับคุณนะครับ”
บิลถึงกับตะลึง เขารีบหยัดตัวขึ้นอย่างเบิกบานใจ “ขอบคุณมากครับ! ขอบคุณจริงๆ!”
ทว่าไป๋เยี่ยก็ยังคงมีคำถาม “คุณไม่สงสัยเรื่องเงินเดือนเลยเหรอครับ”
บิลยิ้มตอบ “ถ้าคุณดูแลเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัยและภาระหนี้สินได้ก็คงจะดีครับ”
ไป๋เยี่ยใช้เวลาทั้งวันไปกับการสัมภาษณ์นักศึกษากว่าสองร้อยคน โดยคัดเลือกมาทั้งสิ้นสิบคน มีสองคนในนั้นที่มีพรสวรรค์ระดับหกดาว เจ็ดคนมีพรสวรรค์ระดับห้าดาว และอีกคนหนึ่งก็คือบิล เขามีพรสวรรค์ระดับหกดาวและถูกประเมินโดยดวงตารอบรู้ให้เป็น ‘บุคลากรหายาก’ อีกด้วย
คุณอาจจะมองว่านี่เป็นอัตราส่วนที่ดี แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เลย!
เพราะคนที่มาสัมภาษณ์ล้วนแต่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกทั้งสิ้น!
ในความเป็นจริงแล้ว ยังคงมีอีกหลายคนที่มีพรสวรรค์ระดับห้าดาว แต่ว่าพวกเขายังมีบางอย่างที่ไม่สอดคล้องตามความต้องการของไป๋เยี่ย ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพ อุปนิสัย หรือเงื่อนไขต่างๆ ก็ตาม…
ไป๋เยี่ยพอใจกับทั้งสิบคนที่เขาได้เลือกมาในครั้งนี้มาก โดยเฉพาะบิล
ไป๋เยี่ยกำลังตั้งตารอดูว่าด็อกเตอร์ผู้เพียบพร้อมด้วยพรสวรรค์ระดับหกดาวจะนำพาความประหลาดใจมาให้เขาได้อย่างไรบ้าง