บทที่ 357 รางวัลโนเบลสุดล่อตาล่อใจ
ในวันเดียวกันนั้น ที่วิทยาลัยแพทย์แคลิฟอร์เนียเองก็มีการจัดพิธีต้อนรับไป๋เยี่ยและการร่วมมือในครั้งนี้อย่างครึกครื้นมีชีวิตชีวา
ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากจึงมาที่วิทยาลัยแพทย์ด้วยตนเองเพื่อแสดงความเห็นชอบต่อเรื่องนี้ ซึ่งนั่นทำให้ไป๋เยี่ยประหลาดใจมาก!
นี่เราดังขนาดที่ผอ.ของวิทยาลัยแพทย์มาร่วมงานเลยเหรอ
ทว่าไป๋เยี่ยก็รู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นคนคนหนึ่ง
เจียลี่!
เจียลี่ ประธานสมาคมศัลยแพทย์สาขาทวารหนักนั่นเอง!
คงจะเป็นเพราะแรงผลักดันจากเจียลี่และความช่วยเหลือจากร็อคกี้ เขาถึงมีโอกาสนี้ขึ้นมาได้
เจียลี่เห็นไป๋เยี่ยก็ยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลยนะไป๋เยี่ย”
ตอนนี้ไป๋เยี่ยเห็นว่าเจียลี่มีท่าทีสนิทสนมจึงทักทายเขาอย่างคุ้นเคย “สวัสดีครับ คุณเจียลี่! คุณอยู่ที่นี่เหรอครับ”
เจียลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “ผมก็เหมือนคุณ ผมเป็นอาจารย์รับเชิญของที่นี่ แต่ว่าช่วงนี้ผมกำลังยุ่งกับโครงการอยู่ ครั้งก่อนที่คุณมาผมก็กำลังวุ่นพอดีเลยคลาดกันไป แต่ไม่คิดเลยว่าคุณจะได้มาที่นี่ในฐานะอาจารย์รับเชิญด้วย ช่างบังเอิญจริงๆ”
ส่วนไมค์ก็ยิ้มพลางหันไปทางไป๋เยี่ย “ศาสตราจารย์เจียลี่และศาสตราจารย์ร็อคกี้ชื่นชอบและยกย่องคุณมากเลยครับ แล้วผมก็ได้อ่านบทความของคุณมาแล้ว มันดีมากจริงๆ สมควรแก่การได้รับรางวัลผลงานดีเด่น!”
การคัดเลือกอาจารย์รับเชิญจะต้องมีอาจารย์ประจำแนะนำอย่างน้อยสองคน รวมถึงต้องดูคะแนนของบทความที่ถูกตีพิมพ์ไปในระดับโลก สิทธิบัตร รางวัลระดับโลก ฯลฯ เป็นเกณฑ์การตัดสิน
ไป๋เยี่ยมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขเหล่านี้ มีเพียงอย่างเดียวที่ยังขาดไปคือวุฒิการศึกษา ทันใดนั้นไมค์ก็เสนอขึ้นมา “คุณสนใจมาเรียนปริญญาโทและเอกต่อที่มหาวิทยาลัยของเราไหม ทางเรารับคุณเข้ามาเป็นกรณีพิเศษได้นะครับ”
ไป๋เยี่ยชะงักไป ฟังดูเป็นความคิดที่ดี!
ตอนที่อยู่จีน เขารู้สึกว่าการเรียนปริญญาโทจะทำตัวสบายๆ เกินไปไม่ได้…
แต่โชคดีที่ไม่มีใครสนใจเขา เขาจึงพอมีอิสระอยู่บ้าง เรื่องการเรียนต่อที่ต่างประเทศจึงเป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณา
ต่อไปคือเรื่องความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยกระดูกและวิทยาลัยแพทย์แคลิฟอร์เนีย ซึ่งไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก เพราะโมนิกาเป็นคนเจรจากับทางวิทยาลัยให้แล้ว ไป๋เยี่ยจะรับนักศึกษาจากที่นี่เข้ามาฝึกงานได้ อีกทั้งยังอนุญาตให้ไป๋เยี่ยมีนักศึกษาในสังกัดได้ด้วย
เรื่องทั้งหมดนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและแล้วเสร็จภายในวันเดียว จากนั้นทางวิทยาลัยก็ออกประกาศว่าไป๋เยี่ยจะเข้ามาทำงานเป็นอาจารย์รับเชิญที่นี่เป็นเวลาสามปี
คืนนั้นไป๋เยี่ยจึงได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในห้องบรรยายด้วย
ตอนนี้ไป๋เยี่ยมีจดหมายรับเข้าทำงานอยู่ในมือแล้ว เขาร้อนรนอยากกลับไปที่ปักกิ่ง ไหนๆ ก็มีจดหมายแล้ว ตำแหน่งนักวิชาการฉางเจียงคงอยู่ไม่ไกลใช่ไหม
ก่อนจะไป เจียลี่ได้หันมาถามบางอย่างกับไป๋เยี่ย “คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า”
ไป๋เยี่ยนิ่งงันไปก่อนจะครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง…จู่ๆ เขาก็นึกถึงเพลงหนึ่งขึ้นมาได้
“โอ้…เพลง ‘ทั้งโลกเป็นหนี้รอยยิ้มของคุณ’[1] เหรอครับ”
เจียลี่ถึงกับงง “ไม่ใช่สิ! คุณยังจำเรื่องแนวทางปฏิบัติฉบับล่าสุดของสาขาทวารหนักได้อยู่ไหม”
ไป๋เยี่ยเอามือก่ายหน้าผาก ดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องนั้นไปจริงๆ แฮะ…
“ขอโทษทีครับ ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลย…” ไป๋เยี่ยยิ้มอย่างรู้สึกผิด
เจียลี่ยักไหล่ “ไม่เป็นไร จริงๆ การกำหนดแนวทางปฏิบัติจะอ้างอิงจากงานวิจัยล่าสุดและความก้าวหน้าทางวิทยาการของทุกปี เพื่อให้ได้แนวทางที่ใหม่และล้ำสมัยที่สุด งานวิจัยของคุณเรื่องจุลชีพภายในลำไส้คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของปีนี้และปีที่แล้ว คุณกลับไปที่นั่นแล้วก็อย่าลืมจัดการเรื่องนี้ล่ะ จะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายที่ ทางผมเตรียมงานใกล้เสร็จแล้ว ส่วนแนวทางปฏิบัติก็มีทีมกำลังดำเนินการให้อยู่”
ไป๋เยี่ยได้ยินเช่นนั้นก็รับปากอย่างรวดเร็ว
ในความเป็นจริง ถึงแม้จะมีการกล่าวว่าใครบางคนเป็นผู้กำหนดแนวทางต่างๆ ขึ้นมา แต่แท้จริงแล้วคนเหล่านั้นกลับเป็นผู้ดูแลขั้นตอนต่างๆ เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือสักเล่ม กว่าคุณจถอ่านเนื้อหาของมันได้ ทั้งกองบรรณาธิการจะไม่รู้ว่ามีหนังสือเล่มนั้นอยู่ หัวหน้ากองบรรณาธิการคือคนที่ตรวจสอบเนื้อหาผ่านๆ หนึ่งรอบ แต่คนที่มีบทบาทในการตรวจสอบและดูแลจริงๆ คือเจ้าหน้าที่ในกอง
ไป๋เยี่ยกำลังจะไปแล้ว ทว่าเจียลี่ยังคงรั้งเขาไว้ “ไว้คุณว่าง ผมมีเรื่องเรื่องหนึ่งที่อยากให้คุณช่วย”
ไป๋เยี่ยถามอย่างสงสัย “โอ้ เรื่องอะไรเหรอครับ”
เจียลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรื่องนี้สำคัญมาก ผมกำลังวิจัยเรื่องโรคมะเร็งทวารหนัก แต่ตอนนี้ผมเจอปัญหาและไปต่อไม่ได้ ถ้าคุณสนใจจะเข้าร่วมผมก็พร้อมต้อนรับคุณ”
ไป๋เยี่ยคุ้นเคยกับโรคเกี่ยวกับลำไส้เป็นอย่างดี จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักก็เพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเพราะว่ามันเป็นโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร จึงได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
“แต่แน่นอน คุณไปจัดการเรื่องของคุณให้เสร็จก่อนนะ ผมวิจัยมันมาหลายปีแล้ว ที่ช่วงนี้ผมมาอยู่ที่แคลิฟอร์เนียก็เพราะจะมาทำวิจัยกับทีมของที่นี่ สาขาชีววิทยาของที่นี่เก่งมากเลยนะ คุณสนใจไหม”
ไป๋เยี่ยถึงกับหยุดเดิน ตอนนี้เขาสนใจเรื่องนี้มากจริงๆ
เพราะว่าด็อกเตอร์ไมคัสซึ่งเป็นอาจารย์ของคาร์ลก็มีส่วนร่วมในการวิจัยเรื่องนี้มาโดยตลอด ทว่าความล้มเหลวจากการทดลองนั้นทำให้ทั้งทีมวิจัยต้องถูกยุบไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ไป๋เยี่ยได้รับทักษะจุลชีววิทยาเลเวลห้ามาจากคาร์ลและได้เรียนรู้ถึงการทดลองในครั้งนั้น ก็อาจกล่าวได้ว่าตอนนี้เขาเป็นคนที่รู้เรื่องการทดลองนั้นดีที่สุด
แม้แต่สูตรยาในตอนนั้น ไป๋เยี่ยก็ยังคงจำสูตรเคมีของมันได้อย่างชัดเจน!
ไป๋เยี่ยคิดว่าถึงแม้สาเหตุหลักของความล้มเหลวจะมาจากหนูเคเอ็ม แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าตัวยาในตอนนั้นยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์เนื้องอกอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม มันกลับไปเร่งอัตราการทำลายเซลล์ธรรมดาอีกด้วย
ไป๋เยี่ยคิดว่าถ้าเขานำตัวยามาวิเคราะห์และปรับสูตรใหม่ ก็จะสานต่อการทดลองนั้นได้
ไป๋เยี่ยมีทักษะพันธุวิศวกรรมและวิศวกรรมชีวภาพอยู่ที่เลเวลห้า เขาคิดว่าตนเองควรจะเริ่มวิจัยเรื่องนี้หลังจากที่จัดการเรื่องในตอนนี้เสร็จสิ้นแล้ว
ไป๋เยี่ยไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด “ได้ครับ ไว้ผมจัดการเรื่องทางนี้เสร็จจะติดต่อคุณไปนะครับ”
เจียลี่พยักหน้า “ผมรอคอยที่จะร่วมมือกับคุณ ถ้าคุณมาเข้าร่วมกับผมเป้าหมายของเราอาจจะเป็นรางวัลโนเบลก็ได้นะ!”
ไป๋เยี่ยได้ยินดังนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันแล่นเข้ามาในหัว มันจะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป!
เจียลี่มองไป๋เยี่ยเดินขึ้นเครื่องบินเพื่อกลับไปยังกรุงปักกิ่งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
บางทีคงมีเพียงไป๋เยี่ยเท่านั้นที่จะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้
เฮ้อ…
รางวัลโนเบลคืออนาคตและความคาดหวังจริงๆ…
ไป๋เยี่ยนั่งบนเครื่องบินพร้อมกับมองจดหมายในมือด้วยความดีใจ ความคาดหวังต่อโครงการนักวิชาการฉางเจียงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
กว่าจะถึงที่หมายก็ใช้เวลานับสิบชั่วโมง ในที่สุดไป๋เยี่ยก็กลับมาถึงปักกิ่งในวันเสาร์
[1] เพลง 《世界欠你一个微笑》ของจางเจี๋ย