ตอนที่ 936 มาเยือนถึงหน้าประตู
โยมิ อาซากุสะโกรธจัดดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า ขณะกำลังจะเอ่ยปากดุด่าแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ สายตาก็เห็นว่าเป็นพ่ออวี่กับแม่อวี่
ผู้คนทั้งชายหญิงที่กำลังสนุกสนานอยู่ในบ้านถึงกับตกตะลึงกับภาพพ่ออวี่ตบหน้าลูกสาว
ทุกคนค่อย ๆ เดินเข้าหาประตู ก่อนจะเบียดเสียดกรอบประตูแล้วเดินออกไปทีละคน
ขณะที่เซียวเจี๋ยกำลังจะออกไป หล่อนเพียงหันศีรษะกลับมายกยิ้มเล็กน้อยให้กับโยมิ อาซากุสะ
พ่ออวี่ได้ยินเสียงดนตรีดังไปจนถึงด้านนอก แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในบ้านหลังนี้จะเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาว
เพราะสุดท้ายแล้วลูกสาวของเขามักจะเปิดเสียงเพลงดังลั่นแบบนี้เสมอมา
หากเขารู้ว่าภายในห้องนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ เขาจะไม่ตบหน้าลูกสาวเช่นนี้แน่นอน อย่างน้อยก็เพื่อรักษาหน้าของหล่อนไว้สักหน่อย
หลังจากรอให้ทุกคนเดินออกไปหมด พ่ออวี่ก็ผลักให้โยมิ อาซากุสะเข้ามาในบ้าน
แม่อวี่เองก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน หล่อนปิดประตูแน่นหนาก่อนจะเดินตามเข้ามาด้านใน
พวกเขาล้วนเป็นคนมีชื่อเสียงและฐานะ หน้าตาล้วนเป็นสิ่งสำคัญ และไม่ต้องการให้คนภายนอกทราบถึงความฉาวโฉ่ภายในบ้าน
โยมิ อาซากุสะตะโกนทันที “พ่อ! พ่อบ้าไปแล้วเหรอ ถึงได้ตบหน้าฉันเมื่อเจอกันน่ะ!”
ในความทรงจำของหล่อน ไม่ว่าจะเป็นตนหรือพี่ชาย ต่อให้พวกเขาทำผิดแค่ไหน พ่อแม่ก็จะพูดคุยและสั่งสอนทั้งสองอย่างดี พวกเขาไม่เคยลงมือแม้สักครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนถูกตบ
โยมิ อาซากุสะไม่เพียงโกรธมากที่ถูกตบหน้าครั้งแรก แต่ยังโกรธมากเพราะถูกตบต่อหน้าเพื่อนฝูงมากมาย หล่อนรู้สึกอับอายขายหน้าจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
เมื่อเห็นว่าลูกสาวกล้าตอบโต้ พ่ออวี่ก็ตบหน้าอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
แม่อวี่ที่เคยปกป้องลูกสาวมาตลอดกลับยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่เคลื่อนไหวใด ๆ
หล่อนไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้สามีหยุด และยังไม่ได้ปกป้องโยมิ อาซากุสะด้วย
พ่ออวี่ตะโกนตอบ “ฉันก็อยากเป็นบ้าเหมือนกัน ถ้าเป็นบ้าได้ก็ดี จะได้คว้ามีดปาดคอแกให้มันจบ ๆ ไปซะ!”
โยมิ อาซากุสะเห็นพ่ออวี่พูดออกมาอย่างนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หล่อนตอบตะกุกตะกัก “มัน… เกิดอะไรขึ้นคะ?”
พ่ออวี่โกรธจัดจนหายใจหอบหนัก เขานั่งลงบนโซฟาก่อนจะหันไปพูดกับแม่อวี่ว่า “คุณบอกมันซิ!”
เวลานี้แม่อวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “ลูกเอ๋ย… ใครสั่งสอนให้ทำตัวแบบนี้? ทำไมถึงกล้าพาดพิงคุณปู่ฟางแบบเสียๆ หายๆ? คิดทำลายตระกูลอวี่ของพวกเรางั้นเหรอ?”
แม่อวี่นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ขณะที่หล่อนกับสามีกำลังทำงานอยู่ภายในหน่วยงาน ผู้บังคับบัญชาก็ได้ส่งคนมาเรียกตัวไปเพื่อต่อว่ารุนแรง ในใจของหล่อนเต็มไปด้วยความอับอาย
มีคนมาเตือนว่าถ้าพวกเขาไม่สั่งสอนบุตรสาวที่มาใส่ร้ายผู้อาวุโสฟางในที่สาธารณะ เบื้องบนจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดด้วยตนเอง
ทั้งสามีภรรยาคู่นี้หวาดกลัวจนลนลาน พวกเขารีบสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
และเมื่อพวกเขารู้ว่าเป็นลูกสาวของตนที่กล่าววาจาโผงผาง พวกเขาถึงสอบถามทุกคนถึงที่อยู่ของลูกสาวในเวลานี้
หลังจากทราบตำแหน่งแน่ชัด ทั้งสองรีบตรงดิ่งมาที่นี่ทันที
โยมิ อาซากุสะเคยชินกับการมีคนยกยอจนลืมเหตุการณ์ที่สนามบินไปหมดสิ้น หล่อนยิ่งกล่าวปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ฉันไม่เคยทำอย่างนั้น! มีคนใส่ร้ายฉันแน่!”
พ่ออวี่ยิ่งโกรธจนเจ็บหน้าอก ยิ่งโต้ตอบไม่ลดละ “ทั้งคนทำความสะอาด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่สนามบินหลายคนเป็นพยานได้ แต่ลูกกลับบอกว่าถูกใส่ร้ายงั้นเหรอ? คนพวกนั้นไม่รู้จักลูกมาก่อน แล้วทำไมเขาจะต้องใส่ร้ายลูกด้วยล่ะ? หลูเจียซิ่งเองก็เป็นลูกน้องลูกไม่ใช่เหรอ? หรือลูกจะบอกว่าเขาใส่ร้ายลูกด้วย?”
โยมิ อาซากุสะนึกคิดพร้อมพึมพำ
หล่อนไม่คิดว่าเรื่องราวจะใหญ่โตถึงขนาดนี้มาก่อน
เวลานี้พ่ออวี่และแม่อวี่ต่อว่าหล่อนรุนแรง และบอกว่าในอนาคตห้ามกระทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีก
โยมิ อาซากุสะแสร้งพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
นอกเหนือจากการที่จะเข้ามาดุด่าลูกสาวคนนี้แล้ว พ่ออวี่และแม่อวี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดคุยกับหล่อนอีกต่อไป
สุดท้ายเขาก็จากไปพร้อมถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ เวลานี้ใบหน้าของทั้งสองเคร่งเครียดราวกับแก่ขึ้นกว่าสิบปี
โยมิ อาซากุสะลงไปส่งพ่ออวี่และแม่อวี่ พลางนั่งอยู่ที่บ้านพร้อมนึกพึมพำว่าใครกันเป็นคนฟ้องเรื่องของหล่อน
พวกแทะเมล็ดแตง*ที่ไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริง
* พวกสอดรู้สอดเห็น สนใจเรื่องของคนอื่น แอบเกาะติดสถานการณ์หรือติดตามเรื่องชาวบ้านอยู่ตลอดด้วยความอยากรู้
คนระดับรากหญ้าธรรมดาคงไม่มีใครสนใจ วันนั้นใบหน้าของนายกเทศมนตรีก็ยังไม่ปรากฏ ไม่ต้องกล่าวถึงบุคคลที่สูงกว่านั้นเลย
เหลือเพียงนังสารเลวหลินม่ายคนนั้น
เพราะหล่อนน่าจะเป็นคนบอกกล่าวกับคุณปู่ฟางเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และยุยงให้คุณปู่ฟางเคลื่อนไหว เช่นนี้พ่อแม่ของหล่อนจึงได้รับคำตำหนิจากเบื้องบน
แม้ฟางจั๋วเยวี่ยบอกว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้ แต่โยมิ อาซากุสะกลับไม่คิดอย่างนั้น
สุดท้ายแล้วปู่ย่าตายายของพวกเขาล้วนแต่เป็นสหายเก่าต่อกัน
คืนนั้นโยมิ อาซากุสะไม่ทำอะไรต่อ จนกระทั่งบ่ายวันต่อมา หล่อนได้เตรียมของขวัญมากมายและคิดไปที่บ้านของหลินม่าย
น้าถูปิดประตูและเห็นว่าเป็นผู้หญิงที่ตนไม่รู้จัก
หญิงสาวแต่งหน้าแต่งตัวสวยงาม ทว่าสีหน้ากลับดุร้ายและไม่เป็นมิตร
โดยเฉพาะลิปสติกที่ทาเกินขอบปากจนหนาเตอะราวกับปากหมูนั่น ยิ่งมองยิ่งทำให้อึดอัด
แม้จะไม่ประทับใจต่อรูปลักษณ์ของหญิงสาวตรงหน้า แต่ก็ยังกล่าวคำให้อีกฝ่ายรอคอยอย่างสุภาพ
หล่อนเดินเข้ามาถามปู่ฟางย่าฟางว่าต้องการพบหรือไม่ แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการพบเจอ จึงบอกกล่าวว่าไม่อนุญาต
เมื่อเห็นว่าพี่เลี้ยงเด็กตัวน้อยกล้าหาญที่จะหยุดตนเอาไว้ โยมิ อาซากุสะผลักน้าถูอย่างแรง และเดินเข้าสู่ภายในบ้านอย่างไร้มารยาท
อาหวงเห็นอย่างนั้นแล้ววิ่งเข้ามาพร้อมกับเห่าเสียงดังใส่โยมิ อาซากุสะทันที
ประการแรกคือบอกกล่าวผู้เป็นนายว่ามีคนบุกรุก และประการที่สองคือสร้างความตกใจให้กับโยมิ อาซากุสะ
แม้โยมิ อาซากุสะไม่กลัวน้าถู แต่เธอก็ยังหวาดกลัวอาหวงซึ่งเป็นสุนัขตัวใหญ่
เวลานี้หล่อนหยุดยืนที่เดิมพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง ฉันมาที่นี่เพื่อพบพวกท่านค่ะ”
แน่นอนว่าคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางรับรู้ได้จากเสียงเห่าของอาหวงแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของโยมิ อาซากุสะ คู่สามีภรรยาสูงวัยเดินออกมาพร้อมกับหลินม่ายที่กลับมาถึงบ้านหลังจากเลิกเรียนช่วงบ่าย
คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และคนอื่น ๆ ไม่ได้พบเจอกับโยมิ อาซากุสะนานแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับโยมิ อาซากุสะคือช่วงสิบสองหรือสิบสามปี และเวลานี้หล่อนอายุยี่สิบปีแล้ว
การเปลี่ยนแปลงนับสิบปีที่ผ่านมา ทำให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไม่สามารถจดจำโยมิ อาซากุสะได้ในทันที
คุณย่าฟางกล่าวถาม “เธอเป็นลูกสาวบ้านไหนเหรอจ๊ะ?”
เวลานี้โยมิ อาซากุสะเดินเข้าไปพร้อมกับผลักหลินม่ายออกด้วยร่างกายที่ใหญ่โตกว่า ก่อนจะยื่นของขวัญที่หล่อนเตรียมไว้ให้กับอีกฝ่าย
ก่อนจะคว้าแขนของคุณย่าฟางอย่างสนิทสนมแล้วกล่าวน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “คุณยาฟาง ฉันชื่อโยมิ อาซากุสะจากครอบครัวคุณปู่อวี่ค่ะ ฉันสวยกว่าตอนเด็ก ๆ ไหมคะ?”
เวลานี้คุณปู่ฟางจดจำหล่อนได้ทันที เขาขมวดคิ้วก่อนจะถามว่า “ปู่อวี่ตั้งชื่อเธอว่าอวี่กั๋วหงไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเรียกตัวเองด้วยชื่อนี้ล่ะ? มันน่าเกลียดมาก รีบเปลี่ยนเร็วเข้า!”
คุณปู่ฟางอายุมากแล้ว และเมื่อได้ยินคำว่าอาซากุสะ เขาก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย
สีหน้าของโยมิ อาซากุสะแข็งทื่อทันที
เวลานั้นเอง น้าถูวิ่งเข้ามาหาคุณย่าฟางก่อนจะพูดว่า “ฉันบอกให้สหายตัวน้อยรอที่ประตู แต่หล่อนผลักฉันและเดินเข้ามาเองค่ะ”
โยมิ อาซากุสะรีบฟ้อง “คุณปู่ฟางคะ ครอบครัวของคุณจ้างพี่เลี้ยงมาจากที่ไหนเหรอคะ? ทำไมถึงกล้าให้ฉันยืนรอข้างนอกแบบนั้น!”
คุณย่าฟางดึงมืออีกฝ่ายที่กำลังเกาะแขนของตนพร้อมจะพูดอย่างเย็นชา “นี่คือกฎของพวกเรา ใครก็ตามที่มาพบจะต้องได้รับอนุญาตก่อน ถ้าพวกเราอยากพบก็จะได้รับเชิญ แต่ถ้าพวกเราไม่ต้องการก็จะไม่ได้รับเชิญเข้ามา ครั้งนี้เธอบุกรุกเข้ามาโดยที่พวกเรายังไม่อนุญาต เราจะไม่เอาความอะไร แต่ถ้ามีครั้งต่อไป พวกเราจะไม่สุภาพเช่นนี้แน่นอน!”
โยมิ อาซากุสะกล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ฉันเป็นหลานสาวของคุณปู่อวี่ที่เป็นสหายเก่าของคุณปู่ฟาง เป็นหลานสาวคนเดียวด้วยนะคะ”
คุณปู่ฟางจ้องหล่อนอย่างหงุดหงิด “ไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตามมันไม่สำคัญ ถึงคุณปู่ของเธอจะล่วงลับไปแล้ว แต่เธอก็ต้องปฏิบัติตามกฎของครอบครัวฉัน!”
หากเป็นคุณปู่อวี่ที่มาเยือนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า แน่นอนว่าเขาสามารถเข้ามาได้ทันที
เพราะความสัมพันธ์ของคุณปู่ฟางและคุณปู่อวี่ค่อนข้างดีมากในเวลานั้น
แต่หลังจากคุณปู่อวี่จากไป พวกเขาได้กลับไปที่เมืองเจียงเฉิง ก่อนที่ทั้งสองครอบครัวจะขาดการติดต่อ
คุณปู่ฟางพูดอย่างนั้นก็เพียงต้องการลดทิฐิในตัวของโยมิ อาซากุสะเท่านั้น
ทั้งกลุ่มเข้ามาในบ้านและนั่งลงบนโซฟา
น้าถูเห็นโยมิ อาซากุสะแต่งตัวดี หล่อนจึงชงกาแฟมาเสิร์ฟ
คุณย่าฟางถามโยมิ อาซากุสะด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แล้ววันนี้มาหาพวกเราถึงประตู มีอะไรหรือเปล่า?”
โยมิ อาซากุสะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี นับตั้งแต่หล่อนยังเด็ก ก็มีเพียงคนคอยสนับสนุนและดูแลหล่อนเสมอ แต่ไม่เคยคิดจะใส่ใจผู้อื่นแต่อย่างใด
ดังนั้นหล่อนจึงกลายเป็นคนโผงผางไร้กาลเทศะ
แต่หล่อนกลับคิดว่าตนเองฉลาดและมากด้วยเล่ห์เหลี่ยม
อีกทั้งเวลานี้หล่อนกำลังเล่นกลกับบุคคลตรงหน้า
หล่อนชำเลืองมองหลินม่ายอย่างตั้งใจก่อนจะพูดว่า “ฉัน… ฉันไม่กล้าพูด…”
ทันทีที่โยมิ อาซากุสะเข้ามาในลานบ้าน หลินม่ายก็เห็นถึงเจตนาร้ายของอีกฝ่ายทันที
มันไม่มีเรื่องอื่นใดนอกเสียจากหล่อนใส่ร้ายคุณปู่ฟางที่สนามบิน และมันทำให้หลินม่ายไม่พอใจ
หลินม่ายเป็นคนที่เพิกเฉยได้หากบุคคลภายนอกรังแกตน เธอสามารถอดทนได้
แต่เธอไม่ต้องการให้ใครมารังแกครอบครัวของตนเด้ดขาด เพราะแค้นนี้เธอจะเก็บรักษาไว้ตลอดชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อโยมิ อาซากุสะยังทำตัวเป็นแม่ดอกบัวขาวต่อหน้า เธอยิ่งไม่สามารถอดทนได้
เธอไม่ถูกชะตากับแม่ดอกบัวขาวคนนี้เลย
หลินม่ายกล่าวลอย ๆ ขึ้นมา “ไม่กล้าพูดงั้นเหรอ? มาที่นี่เพื่อจะแก้ต่างให้ตัวเองไม่ใช่หรือไง? อย่าบอกนะว่าเธอจะมาที่นี่เพื่อจะมาหาปู่ย่าของฉัน? ทั้งเธอและครอบครัวของคุณไม่ได้ส่งคำอวยพรปีใหม่ให้กับปู่ย่าของฉันด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับคิดมาเยี่ยมงั้นเหรอ?”
โยมิ อาซากุสะมีใบหน้าแดงก่ำ แต่หล่อนเป็นคนที่เปลี่ยนเรื่องได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน “ถ้าเธอบังคับให้ฉันพูด ฉันก็จะพูด”
คุณย่าฟางกลับสงสัยเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ทำไมม่ายจื่อถึงต้องบังคับเธอด้วยล่ะ? หล่อนเอาเตารีดนาบหน้าเธอ เอาตอกไม้ไผ่ตอกเล็บเธอ หรือเอาน้ำพริกราดเธอหรืออย่างไร?”
โยมิ อาซากุสะถูกคุณย่าฟางพูดใส่อย่างนั้น ใบหน้าของหล่อนกลายเป็นสีม่วงทันที
คุณย่าฟางยังคงไม่ยอมปล่อยหล่อนไป “ทำไมจิตใจของเธอถึงคับแคบนัก นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ยังจะพูดเรื่องน่ารำคาญแบบนี้อีกเหรอ!”
โยมิ อาซากุสะโกรธมาก แต่ก๋ไม่สามารถดุด่าคุณย่าฟางและคุณปู่ฟางได้ เพราะอีกฝ่ายแก่ชราแล้วยังเป็นอาวุโส เวลานี้มีเพียงรอยยิ้มอย่างสำนึกผิดปรากฏขึ้นบนใบหน้า
หลินม่ายพูดออกไปอย่างเย็นชา “อยากจะพูดอะไรก็รีบพูดเร็วเข้า หลังจากสามีของฉันกลับมาแล้ว อาหารเย็นจะเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ และคุณควรจะออกไปเสีย เราจะไม่คุยกันเรื่องนี้อีก”
ความหมายก็คือจะไม่เชิญหล่อนร่วมรับประทานมื้อเย็น
ใบหน้าของโยมิ อาซากุสะถึงกับชาโดยสมบูรณ์
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มาแบบไม่มีมารยาทเลย คิดว่าสูงส่งมาจากไหนคะ
ไหหม่า(海馬)