บทที่ 1036 หาไม่พบ
บทที่ 1036 หาไม่พบ
ลู่อี้และฉีเซียวหายตัวไป เมืองหลวงไม่ช้าก็พบเบาะแสอย่างรวดเร็ว
ฟ่านหยวนซีส่งคนไปตรวจสอบ และผู้ที่รับผิดชอบในการตรวจสอบก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉีเจิน
ฉีเจินในฐานะแม่ทัพ บัดนี้ขุนนางคนสำคัญถึงสองคนหายตัวไป เขารับหน้าที่ในการค้นหาก็เป็นเรื่องปกติ
ฉีเจินพาคนของเขาไปยังสถานที่ที่เกิดการต่อสู้ ระหว่างทางพบเห็นศพมากมาย ทั้งศพของมือสังหาร คนของลู่อี้ และคนของฉีเซียว
“ใต้เท้า ไม่พบใต้เท้าลู่กับใต้เท้าฉีขอรับ”
“หากหาพบ นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาถูกฆ่าแล้วหรือ? ไม่มีข่าวคราวถือเป็นข่าวดีที่สุด” ฉีเจินเอ่ยอย่างใจเย็น “หาอีกครั้ง”
ฉีเจินนำลูกน้องค้นหาทั่วทั้งภูเขาสองลูก ทว่ากลับไร้วี่แววใด ๆ
เมื่อถึงวันที่สาม ฉีเจินจึงทำได้เพียงกลับไปทำหน้าที่ของตน
“หาไม่พบหรือ?” ฟ่านหยวนซีนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มองฉีเจินด้วยสายตาเฉียบคม “ท่านแม่ทัพฉี ท่านค้นหาดีแล้วหรือ?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมค้นหาบริเวณรอบ ๆ หลายพันลี้แล้วจริง ๆ หากแต่ไม่มีข่าวคราวของใต้เท้าทั้งสอง เพียงแต่ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล ใต้เท้าทั้งสองมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ การไม่มีข่าวถือเป็นข่าวดีที่สุด เป็นไปได้ว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บ ยามนี้คงกำลังพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ กระหม่อมจะพาคนออกค้นหาต่อไป หากยังไม่พบใต้เท้าทั้งสองคนหนึ่งวัน กระหม่อมก็จะค้นหาต่อไปโดยไม่หยุดพัก”
“เช่นนั้น มอบเรื่องนี้ให้แม่ทัพฉีจัดการแล้ว” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “ผู้หนึ่งเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก อีกผู้หนึ่งเป็นน้องชายของท่าน ข้าเชื่อว่าแม่ทัพฉีจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากฉีเจินจากไป ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยขึ้น “เหตุใดฝ่าบาทจึงให้แม่ทัพฉีรับผิดชอบเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ ขออภัยที่กระหม่อมกล่าวตามตรง ผู้ที่ต้องการให้เกิดเรื่องกับท่านอ๋องลู่น้อยที่สุด เป็นใต้เท้าลู่เซวียนได้ เป็นใต้เท้าเวินได้ ทว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นใต้เท้าฉีเจินนะพ่ะย่ะค่ะ”
“คนแก่ผู้นี้ ตอนนี้เจ้านับวันยิ่งอุกอาจขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เรื่องในราชสำนักเจ้ายังกล้าแสดงความคิดเห็นออกมา” ฟ่านหยวนซีเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ
ขันทีเฒ่าผลุนผลันคุกเข่าลงเอ่ย “บ่าวรู้ความผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ บ่าวสมควรตาย”
ขันทีลงมือตบหน้าตนเอง เพียงแต่ไม่แรงนัก เหมือนยกมือแปะหน้าเสียมากกว่า เห็นได้ชัดว่าเพื่อทำให้ฮ่องเต้เบิกบานสำราญใจ
ด้วยสถานะของเขา เมื่อเขากล้าเอ่ยปาก ย่อมต้องรู้ว่าฮ่องเต้จะไม่ถือสาหาความในเรื่องเช่นนี้กับตนเอง นอกจากนี้ ปกติเขาจะรู้วิธีวางตน ไม่ก้าวล้ำเกินขอบเขตไป
“แน่นอนว่าเราต้องให้โอกาสเขาบ้าง มิเช่นนั้นจะแสดงให้เขาเห็นได้อย่างไรว่าเราให้ความสำคัญกับเขา หากเขาไม่ต้องการให้ท่านอ๋องลู่กลับมา อาศัยโอกาสนี้ก็เพียงพอให้ลงมือแล้ว” ฟ่านหยวนซีกล่าว “ทว่า หากเขาเป็นคนฉลาด ยามนี้ย่อมต้องหาคนให้เรา เพราะหากเขาทำภารกิจไม่สำเร็จ เราก็จะมีเหตุผลที่จะโจมตีเขา แม่ทัพฉีผู้นี้หลังจากกลับมาเมืองหลวงก็รู้จักวางตัวยิ่ง แม้กระทั่งอำนาจกุมกองทัพในมือยังมอบออกมาด้วยตนเอง ทว่าเหตุไฉนเราจึงไม่ไว้ใจเขา? หรือว่านี่เป็นเวลาตกฟากไม่เข้ากันที่คนเล่าลือ?”
“จะต้องเป็นเพราะรังสีสังหารของแม่ทัพฉีกระทบต่อพระวรกายมังกรเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าว
“ซวี่เอ๋อร์เล่า?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม “วันนี้ทำอะไร?”
“ยามนี้คงเล่าเรียนอยู่กับไท่ฟู่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทคิดถึงองค์ชายหรือพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นบ่าวจะไปเชิญองค์ชายมา”
ครึ่งเดือนต่อมา ฉีเซียวและลู่อี้ก็ยังไม่กลับเมืองหลวง
ลู่อี้เป็นขุนนางขั้นสูง ต้องจัดการกับหลาย ๆ อย่างในทุกวัน เขายังไม่กลับมา ปัญหามากมายก็ก่ายกองเป็นภูเขา จำต้องให้คนเบื้องล่างจัดการสะสาง
ฟ่านหยวนซีเรียกตัวฉีเจินกลับมา หยุดทำการค้นหาลู่อี้และฉีเซียว
ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วยังไม่กลับมา หากทั้งสองยังมีสติคงกลับมานานแล้ว
ทั้งราชสำนักรู้ดีว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังจะเปลี่ยนไป
เกรงว่าท่านอ๋องลู่คงจะประสบเหตุร้ายมากกว่าดี ส่วนใต้เท้าฉีเซียวผู้นั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกสังหารไปพร้อมกันแล้ว
หากสองคนนี้ไม่อยู่ อำนาจในราชสำนักย่อมต้องถูกแบ่งแยกฝักฝ่ายอีกครั้งอย่างแน่นอน บรรดาขุนนางขั้นหนึ่งและขั้นสอง แต่ละคนล้วนวางแผนที่จะเข้ามาแทนที่ลู่อี้ หมู่นี้พวกเขากระเหี้ยนกระหือรือในการปฏิบัติงานราชการยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า
ยามนี้ฟ่านหยวนซีกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ โดยผู้ที่นั่งอยู่โต๊ะถัดจากเขาคือองค์รัชทายาทน้อยฟ่านซวี่
“ซวี่เอ๋อร์ เจ้าดูอะไรถึงได้ตื่นตาตื่นใจเพียงนี้?” ฟ่านหยวนซีเอ่ยถาม
“ฎีกาวันนี้มีขุนนางมากมายกล่าวแต่คำพูดดี ๆ ให้ใต้เท้าหรงพ่ะย่ะค่ะ ความหมายคือต้องการให้หรงกั๋วกงเข้ามารับตำแหน่งแทนท่านอ๋องลู่ รับหน้าที่ในมือพ่อบุญธรรมไปพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
“ท่านอ๋องลู่ไม่อยู่ เรื่องราวในราชสำนักจึงวุ่นวายอยู่บ้างจริง ๆ คนเบื้องล่างตัดสินใจไม่ได้ ทำได้เพียงส่งมันขึ้นมา หรือก็คือให้เสด็จพ่อตัดสินพระทัย บัดนี้ฎีกาบนโต๊ะของเสด็จพ่อกองพะเนินมากขึ้นกว่าก่อนหน้าถึงห้าเท่า เห็นได้ว่าท่านอ๋องลู่สะสางเรื่องต่าง ๆ ให้เสด็จพ่อไปมากเพียงใด บัดนี้ท่านอ๋องลู่ยังไม่กลับมา สถานการณ์จึงเริ่มวุ่นวายโกลาหลขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตของราษฎร อย่างไรก็ตาม ลูกรู้สึกว่าทั่วหล้านี้มีท่านอ๋องลู่เพียงผู้เดียว หากต้องการให้ผู้อื่นมาแทนที่ท่านอ๋องลู่นั้นไม่อาจเป็นไปได้ เนื่องจากเสด็จพ่อไว้พระทัยท่านอ๋องลู่จึงมอบอำนาจในมือให้เขาครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไว้พระทัยขุนนางคนอื่น จนยอมให้ขุนนางอื่นเป็นผู้กุมอำนาจครึ่งหนึ่งของแผ่นดินนี้ด้วย”
“หรงกั๋วกงผู้นี้มีความรับผิดชอบในหน้าที่สูง อีกทั้งยังดูเหมือนไม่มีพรรคพวกในราชสำนัก ทว่าบัดนี้ขุนนางหลายคนต่างก็เอ่ยยกยอปอปั้นและสนับสนุนเขา ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะไม่ธรรมดาเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าเด็กโง่ ส่วนแรกที่เจ้ากล่าวนั้นถูกต้อง ทว่าส่วนหลังผิด เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังไร้เดียงสายิ่งนัก” ฟ่านหยวนซีกล่าว “การที่มีขุนนางมากมายเขียนฎีกาให้หรงกั๋วกงเข้ามาแทนท่านอ๋องลู่ กล่าวได้เพียงว่าหรงกั๋วกงตกเป็นเป้าแล้ว ยิ่งพวกเขาเขียนหนังสือแนะนำนี้มามากเพียงใด ข้ายิ่งจะไม่มอบอำนาจให้หรงกั๋วกง ด้วยเหตุนี้ ข้าจะมองหาผู้ที่ไม่ต่อสู้แย่งชิงเพื่ออำนาจหรือแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น นั่นจึงจะเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของเหล่าขุนนางเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนั้น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นคนผู้นั้นคือผู้ใดเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”