ตอนที่ 385 มาได้เวลาดีจริงๆ
หลายปีมานี้จี้หยวนเดินทางไปยังหลายสถานที่ พบเห็นวัดมาแล้วบ้าง แต่จำต้องพูดว่าหากกล่าวถึงขนาดแล้วล่ะก็ ในความทรงจำของเขาไม่มีวัดใดเทียบกับวัดต้าเหลียงได้เลย
ในสายตาพร่าเลือนของจี้หยวนนั้น สิ่งก่อสร้างของวัดต้าเหลียงไกลๆ รวมเป็นผืนเดียวกัน ต่อเนื่องไปทางซ้ายและขวาเป็นระยะที่ไม่สั้นเลย จุดที่สูงที่สุดน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างคล้ายกับเจดีย์
แก๊ง…แก๊ง…แก๊ง…
เสียงระฆังดังขึ้นต่อเนื่อง คนทั่วไปได้ยินเสียงระฆังนี้แล้วมีความรู้สึกถึงท่วงทำนองพุทธอันยาวนาน ทว่าจี้หยวนฟังแล้วเหมือนกับได้ยินเสียงบทสวดดังมารางๆ พร้อมเสียงระฆัง
เมื่อสงบจิตใจเรียบร้อยแล้ว เสียงพุทธนี้ถึงขนาดกลบเสียงจอแจของผู้มีศรัทธารอบข้าง เวียนวนข้างหูของจี้หยวนลำพัง
“ไม่เลว วัดต้าเหลียงมีเคล็ดวิชาอยู่บ้างดังคาด สมแล้วที่เป็นวัดพุทธที่บ่มเพาะภิกษุสูงส่งอย่างฮุ่ยถงออกมาได้ แม้เป็นพระวิทยาราช แต่ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
จี้หยวนเอ่ยชมเสียงเบา ด้วยคิดไม่ถึงเลยว่าในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังหนวกหูเช่นนี้ ชายวัยกลางคนที่หูดีข้างๆ ก็ได้ยินเหมือนกัน
“ท่านพูดถูกต้อง วัดต้าเหลียงแห่งนี้มีอายุสองร้อยปี เป็นวัดพุทธแห่งแรกของอาณาจักรต้าเหลียง ไต้ซือฮุ่ยถงยิ่งเป็นภิกษุสูงส่ง สร้างชื่อให้วัดต้าเหลียงจนถึงปัจจุบัน!”
ตอนนี้จี้หยวนเดินเท้าไม่คิดใช้วิชา ทว่าระหว่างเดินลมสดชื่นปะทะใบหน้า แขนเสื้อจอนผมขยับไหวดูสง่างาม คุณชายทั่วไปไม่อาจเทียบได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงขันนางผู้น่าเกรงขามเลย
คุณชายเสื้อขาวที่สง่างามไม่ธรรมดาเดินบนถนน ความจริงแล้วดึงดูดสายตาไม่น้อยเลย มีสายตาคาดเดาของผู้มีดวงตาเฉียบคมจ้องมองคุณชายผู้นี้ แต่ด้วยเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ส่วนใหญ่เพียงมองหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก
ส่วนบุรุษผู้หนึ่งอยู่ค่อยข้างใกล้ เห็นจี้หยวนกวาดสายตามองมา เขาพลันหลบไปด้านข้างแล้วประสานมือเล็กน้อย
“ฟังคุณชายกล่าวความมีสำเนียงชัดเจน มาจากบริเวณจังหวัดหนานซานหรือ”
ภาษาทางการของอาณาจักรถิงเหลียงนั้น จังหวัดหนานซานหมายถึงจังหวัดเหล่านั้นที่อยู่บริเวณเขาลานสารท เป็นภาษาที่ภายในอาณาจักรยอมรับกันโดยดุษณีว่าออกเสียงคมชัดและถูกต้องที่สุด แม้การเรียนพูดเช่นนั้นจะเป็นที่นิยม แต่น่าเสียดายมากที่แม้สถานที่ส่วนใหญ่ของอาณาจักรถิงเหลียงจะมีภาษาใกล้เคียงกัน กระนั้นสำเนียงแต่ละที่ชัดเจนมาก ไม่ใช่คนทางใต้แท้ๆ ย่อมยากจะพูดได้ถูกต้องขนาดนี้
จี้หยวนเห็นคนผู้นี้ถึงจะสวมชุดคลุมตัวใหญ่ ทว่าตรงข้อมืดมีห่วงเหล็กปกป้องเอาไว้ อีกทั้งเวลาก้าวเท้าไม่ยาวไม่สั้นมีพลังยิ่ง หากไม่ใช่คนในกองทัพก็ต้องเป็นยอดฝีมือเชี่ยวชาญวิชายุทธ์คนหนึ่งอย่างแน่นอน
จี้หยวนประสานมือกลับโดยไม่หยุดฝีเท้า ส่ายหน้าพลางยิ้ม
“ข้าน้อยไม่ใช่คนจังหวัดหนานซานและไม่ใช่คนจังหวัดถิงเหลียง แต่เป็นคนอาณาจักรต้าเจิน ได้ยินชื่อเสียงของวัดต้าเหลียงมานานแล้ว วันนี้ตั้งใจมาเป็นพิเศษ”
อีกฝ่ายพอได้ยินจี้หยวนบอกว่าเป็นคนอาณาจักรต้าเจินแล้ว ดวงตาพลันเบิกกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย มองจี้หยวนทั้งบนล่างและซ้ายขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่ามีเขาเพียงลำพัง ถึงได้ประสานมือแนะนำตนเองเสียรอบหนึ่ง
“ที่แท้เป็นคุณชายผู้สง่างามจากต้าเจิน เสียมายาทแล้วๆ ข้าน้อยมีนามว่าเถี่ยเฟิง เถี่ยที่มาจากทองและสำริด เฟิงที่มาจากพายุลมฝนคลั่ง เป็นคนถิงเหลียง!”
“จี้หยวน จี้หยวนผู้มีแผนการในใจ มีวาสนาพันลี้”
จี้หยวนตอบกลับสั้นๆ แล้วมองไปทางวัดต้าเหลียง อีกไม่ถึงร้อยก้าวเท่านั้น ด้านนอกวัดมีแผงขายของมากมาย หลายคนถึงขนาดตั้งเพิงของตนเอง กลายเป็นตลาดนอกวัดขนาดย่อม
เถี่ยเฟิงสนอกสนใจสถานที่แสนไกลอย่างต้าเจินมากอย่างชัดเจน หลังจากพูดคุยกันจนลดความเกร็งลงไปได้ เขาเดินไปเคียงบ่าเคียงไหล่จี้หยวนไป คุยไปพลาง หัวเราะไปพลาง
ทั้งคู่ต่างก็รู้จักความเหมาะสม พูดคุยกันเพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่ได้ถามเจาะลึกอะไรมาก เรื่องที่พูดกันมีแต่ประเพณีวัฒนธรรมบ้านเกิดของแต่ละฝ่าย เถี่ยเฟิงแนะนำเรื่องเกี่ยวกับวัดต้าเหลียงให้จี้หยวนฟัง ตั้งแต่เจดีย์หลายองค์ ภายในวัดมีภิกษุรูปใดสำคัญบ้าง ไปจนถึจะมีภิกษุสำคัญเริ่มเทศนาธรรมเมื่อไหร่
ตอนผ่านตลาดหน้าวัด เถี่ยเฟิงซื้อธูปกำหนึ่ง ส่วนจี้หยวนไม่ได้ซื้อของจำพวกธูปเทียนเลย เถี่ยเฟิงคิดว่าคุณชายจากต้าเจินผู้นี้อาจไม่เชื่อเรื่องเทพผีเซียนพุทธ์ก็เป็นได้
เทียบกับความวุ่นวายที่ตลาดข้างนอก ภายในวัดแม้มีผู้มีศรัทธาหลั่งไหลมาถึง จอแจทีเดียว ทว่านิ่งสงบเป็นระเบียบมากอย่างชัดเจน คนที่พูดจาเสียงดังมีน้อยนัก และมีภิกษุคอยช่วยคลายปัญหาให้ดับผู้มีศรัทธาอยู่ทั่วทั้งวัด
หลงทาง หาทางออกไม่เจอ หรือไม่รูว่าห้องสุขาอยู่ที่ไหน ต้องไปตำหนักใด ต้องพบภิกษุรูปไหน ไปจนถึงมีข้อห้ามใดในวัดบ้าง ล้วนภิกษุคอยช่วยเหลือหรือห้ามปรามเสมอ
ความคึกคักของวัดเต้าเหลียงมีให้เห็นชัดเจนเช่นนี้
“ฮ่าๆ ท่านจี้ วัดต้าเหลียงไม่เลวเลยกระมัง ต้าเจินมีวัดดังแบบนี้บ้างหรือไม่”
หลังจากเข้าไปในวัดแล้ว เถี่ยเฟิงเห็นจี้หยวนมองไปรอบๆ หยุดฝีเท้าอยู่บ่อยครั้ง ในใจรู้สึกภูมิใจอยู่บ้าง
“ฮ่าๆ ต้าเจินไม่มีวัดใหญ่ขนาดนี้ ข้าคนแซ่จี้เห็นว่าวัดต้าเหลียงหากพูดถึงขนาดเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงเป็นอันดับหนึ่งของอาณาจักรถิงเหลียง แต่นับว่าเป็นอันหนึ่งในสามอาณาจักรถิงเหลียง จู่เยวี่ย และต้าเจินเลยทีเดียว”
“เอ๋? ท่านเคยไปอาณาจักรจู่เยวี่ยหรือ”
เถี่ยเฟิงยิ่งสนใจ พูดเช่นนี้ได้ต้องไม่ใช่เดินทางผ่านไปง่ายๆ แน่นอน
“อืม เคยไป ที่นั่นนอกจากสถานที่ส่วนน้อยแล้ว ชาวบ้านไม่ได้มีชีวิตที่ดีสักเท่าไหร่!”
จี้หยวนมองความหรูหราของที่นี่แล้วนึกถึงสถานการณ์ที่อาณาจักรจู่เยวี่ย อดทอดถอนใจไม่ได้
สองคนตามกลุ่มผู้ศรัทธาไปถึงหน้าตำหนักพระวิทยาราชในวัด เถี่ยเฟิงกำลังจะเข้าไปจุดธูป เดินไปหลายก้าวกลับพบว่าจี้หยวนไม่ได้ตามมา เขาพลันหันไปมองแล้วเห็นจี้หยวนหยุดฝีเท้า
“ท่านจี้ เป็นอะไรไปหรือ”
จี้หยวนประสานมือเล็กน้อย
“น้องเถี่ยไปจุดธูปสักการะเถอะ ข้าคนแซ่จี้ไม่เข้าไปกราบพระวิทยาราชแล้ว ด้วยมีสหายเก่าอยู่ที่วัดต้าเหลียงแห่งนี้พอดี เจ้ากับข้าแยกทางกันตรงนี้เถอะ”
“กะ กะทันหันเช่นนี้เชียว ข้ายังอยากเชิญท่านจี้ไปเป็นแขกที่ตระกูลเถี่ยของข้า…”
เถี่ยเฟิงถูกชะตากับจี้หยวนมาก รู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง และไม่คิดแยกจากกันเช่นนี้
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ท่านจี้ตามกราบพระวิทยาราชกับข้าเสร็จแล้ว จากนั้นข้าไปตามหาสหายเก่าคนนั้นกับท่าน หากท่านสะดวกนะ!”
จี้หยวนยิ้มพลางโบกมือ
“ไม่ดีกว่าๆ ไม่ค่อยสะดวกอยู่บ้าง ส่วนกราบพระวิทยาราช…”
จี้หยวนมองตำหนักพระวิทยาราชที่ยิ่งใหญ่ มองผ่านประตูตำหนักเปิดกว้างเข้าไปมองเห็นรูปปั้นพระวิทยาราชขนาดยักษ์จีบมือเสมอหน้าอกอยู่ข้างใน
“ฮ่าๆ ช่างเถอะ!”
จี้หยวนประสานมืออีกครั้งแล้วพยักหน้าให้เถี่ยเฟิง ก่อนจะหมุนกายสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว
เถี่ยเฟิงมองอยู่บนบันไดตำหนักใหญ่ครู่หนึ่ง ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายเข้าไปยังตำหนักพระวิทยาราชต่อไป อย่างไรเสียจี้หยวนก็พูดออกมาตรงๆ แล้วว่าไม่สะดวก
ก่อนหน้านี้สนทนากับเถี่ยเฟิง จี้หยวนรู้แล้วว่าภิกษุระดับสูงส่วนใหญ่ของวัดต้าเหลียงฝึกปราณอยู่ภายใน ฮุ่ยถงเองก็เช่นกัน ดังนั้นทิศทางจึงชัดเจนมาก
เมื่อมุ่งหน้าไปทางเหนือและอ้อมสิ่งก่อสร้างต่างๆ ของวัดไป สุดท้ายก็มาถึงหน้าซุ้มประตูลานภายใน แต่ที่นี่มีรถม้าจอดไว้คันหนึ่ง ต้องรู้ว่าไม่ว่าจะมีฐานะใด ผู้ศรัทธาคนอื่นล้วนต้องลงจากรถม้าข้างนอกวัดแล้วเดินเข้ามา ส่วนรถม้าคันนี้กลับเข้ามาถึงส่วนในของวัดได้เสียอย่างนั้น
แต่จี้หยวนไม่คิดมากเรื่องนี้ เดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปโดยตรง ทางนั้นตั้งป้าย ‘ห้ามผู้ศรัทธาเข้า’ เอาไว้ อีกทั้งมีภิกษุร่างกายกำยำยืนอยู่สองคน
เห็นจี้หยวนเดินมา ภิกษุรูปหนึ่งเอ่ยสาธุแล้วยื่นมือขวางซุ้มประตูเอาไว้
“สาธุพระวิทยาราช โยม ข้างหน้าที่เป็นลานหลังของวัดพวกอาตมาแล้ว อีกทั้งมีภิกษุระดับสูงฝึกปราณอยู่ ไม่สะดวกให้ผู้ศรัทธาเข้าไป”
จี้หยวนประสานมืออย่างมีมารยาท
“ข้าไม่ใช่ผู้มีศรัทธา อีกทั้งไม่มีทางบุกเข้าไป ทว่ามาพบสหายคนหนึ่ง รบกวนบอกกล่าวไต้ซือฮุ่ยถงสักคำได้หรือไม่ว่าจี้หยวนมาเยี่ยม เขาต้องอยากพบข้าแน่นอน”
แม้ก่อนหน้านี้เถี่ยเฟิงจะบอกว่าไต้ซือฮุ่ยถงไม่มีทางอยู่ในวัดเป็นแน่ แต่ในระยะใกล้เช่นนี้ ไม่ว่าการรับรู้ของตัวหมากหรือการคำนวณ ล้วนบ่งบอกว่าฮุ่ยถงอยู่ในวีดต้าเหลียงแห่งนี้
“เอ่อ โยม อาจารย์อาฮุ่ยถงไม่อยู่…”
“ภิกษุรูปนี้ ปกติแล้วภิกษุไม่พูดปด บอกกล่าวให้ข้าหน่อยเถอะ”
จี้หยวนยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ยามพูดจามีปราณอบอุ่นและสดชื่นไหลเวียน ทำให้ภิกษุสองรูปยิ่งยินยอมเชื่อเขาโดยจิตใต้สำนึก อีกทั้งไม่พูดอะไรมากอีก หลังจากสบตากันแล้ว ภิกษุอีกรูปหนึ่งถึงกล่าวว่า
“เช่นนั้นโยมรอสักครู่ อาตมาจะไปบอกลานหลังสักหน่อย หากอาจารย์อาไม่ยอมพบ เช่นนั้นก็ขอให้โยมอย่ารบกวนอีกเลย”
“ขอบคุณมกา!”
จี้หยวนตอบรับเสียงหนึ่ง มองส่งภิกษุรูปหนึ่งในนั้นรีบร้อนเดินไป
…
ภายในโถงส่วนตัวลานหลังวัดต้าเหลียง ภิกษุฮุ่ยถงหลุบตาก้มหน้ามองสองมือประสานกัน นั่งขัดสมาธิท่องบทสวดเสียงเบาอย่างต่อเนื่อง
ตรงหน้าเขาวางไว้ด้วยโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง บนนั้นมีกระถางกำยานขนาดเล็กจุดไม้จันทน์หอม รวมถึงมีผลไม้อยู่จานหนึ่ง ด้านข้างวางกาน้ำชาและอุปกรณ์อื่นๆ นอกจากนี้ยังมีขนมสองสามชิ้นด้วย
ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเตี้ย สตรีในชุดสีดอกท้อและประดับปิ่นไข่มุกบนศีรษะนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ร่างกายเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย สองแขนยันน่องตนเองไว้ มองดูภิกษุฮุ่ยถงสวดมนต์อยู่อย่างนั้น
เสียงสวดมนต์ต่อเนื่องอยู่ครู่หนึ่งถึงหยุดลง
“ไต้ซือฮุ่ยถง ข้ายังเข้าใจพระสูตรนี้เลย”
หญิงสาวเอ่ยเสียงหนึ่ง ภิกษุฮุ่ยถงทำได้เพียงถอนหายใจ เริ่มสวดมนต์ใหม่ตั้งแต่ต้น
ตอนนี้เอง นอกโถงส่วนตัวมีภิกษุรูปร่างแข็งแรงรีบร้อนเดินมา ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกนางกำนัลยื่นมือขวางไว้ก่อนแล้ว
“หยุด ห้ามเข้าไป!”
ภิกษุมีสีหน้าแปลกๆ ตนเองต่างหากที่เป็นภิกษุวัดต้าเหลียง กลับถูกคนนอกขวางไว้เสียอย่างนั้น ทว่าเขารู้จักความเหมาะสมดี รู้ชัดว่าหาเรื่องคนผู้นี้ไม่ได้จึงพูดออกไปตามตรง
“โยม ข้างนอกมีสหายของอาจารย์อาฮุ่ยถงมาเยี่ยม อาตมาต้องมารายงาน”
“สหาย? เป็นใคร ข้าจะช่วยท่านพูดเอง!”
“เอ่อ โยมผู้นั้นมีนามว่าจี้หยวน บอกว่าเมื่อได้ยินชื่อแล้วอาจารย์อาจะต้องพบเขา”
นางกำนัลท่องตามรอบหนึ่งก่อนย้อนถาม
“จี้หยวนคนไหนกัน”
“เอ่อ เรื่องนี้อาตมาก็ไม่รู้”
“ไม่เห็นน่าเชื่อถือเลย! เดี๋ยวก่อน ข้าจะไปรายงานเอง!”
“ได้ๆ! รบกวนแล้ว…”
นางกำนัลพยักหน้า หมุนกายเดินไปทางโถงใหญ่ เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าประตูแล้ว
ก๊อกๆๆ…
“มีอะไร”
“คุณหนูใหญ่ มีภิกษุบอกว่ามีคนบอกว่าตนเองเป็นสหายของไต้ซือฮุ่ยถง มาเยี่ยมเยียนไต้ซือ นามว่าจี้หยวน”
นางยังไม่ทันได้พูดต่อก็เห็นภิกษุฮุ่ยถงที่เดิมทีกำลังสวดมนต์อยู่พลันเงยหน้าขึ้น
“ท่านจี้?”
ภิกษุฮุ่ยถงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ ในใจเกิดความปีติยินใจ ท่านจี้มาได้เวลาดีจริงๆ!