เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 387 พระวิทยาราชร่างจริง

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 387 พระวิทยาราชร่างจริง

“ท่านจี้ ท่านมองออกว่าร่างทองพระวิทยาราชของวัดต้าเหลียงพวกข้าใกล้จะสำเร็จแล้วใช่หรือไม่”

ภิกษุฮุ่ยถงพามด้วยความตื่นเต้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง ความจริงเขาดูออกตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว พระวิทยาราชที่ตำหนักหลักของวัดเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางเหมือนกับหยั่งรากลึก ตั้งแต่กลับมาจากอาณาจักรเทียนเป่า เขาไม่เคยก้าวเท้าเข้าวัดเลยสักครั้ง

หากเปลี่ยนเป็นในอดีต เวลาที่ฮุ่ยถงอยู่ในวัดนั้นไม่ถึงครึ่งปี ถึงขนาดที่ว่าออกไปสักครั้งใช้เวลาหลายปีก็เป็นเรื่องปกติ

จี้หยวนไม่ชักช้าเช่นกัน พยักหน้าและตอบคำถามทันที

“บทสวดและพระธรรมที่สืบทอดกันมาเริ่มเกี่ยวพันกันเหมือนแรงปรารถนากำยาน ถือว่าสร้างร่างทองพระวิทยาราชของวัดต้าเหลียงแล้ว ความพยายามตลอดหลายปีของวัดต้าเหลียงเคยเป็นงานหนักหนา แต่วันนี้มาถึงขั้นนี้นับว่ารวดเร็วแล้ว”

“สาธุพระวิทยาราช!”

เสียงเรียกพระวิทยาราชดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นความฝันของอาจารย์ผู้ล่วงลับ และเป็นความฝันของภิกษุทั้งหลายในประวัติศาสตร์วัดต้าเหลียงด้วย

ฝึกปราณจนได้พระวิทยาราชแปลงกายอย่างแท้จริง อันดับแรกวัดต้าเหลียงได้รับการยินยอมจากพระวิทยาราช หลักๆ เพราะยอมรับศักยภาพของวัด

ก๊อกๆๆ…

“อาจารย์อา ให้นำอาหารเย็นมาส่งที่กุฏิหรือไม่”

เสียงนี้ยังคงเป็นของภิกษุร่างใหญ่รูปนั้น

ก่อนหน้านี้ได้ฟังจากฮุ่ยถงแล้ว แม้ภายนอกดูกำยำแรงเยอะ เหมือนกับอายุมากกว่าฮุ่ยถงหลายปี แต่ความจริงแล้วเป็นภิกษุรุ่นเดียวกับฮุ่ยถง เป็นฮุ่ยถงที่คอยดูแลจนเติบใหญ่

ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ฮุ่ยถงกลับมาจากธุดงค์ เณรทั้งหลายล้วนชอบวุ่นวายขอให้ฮุ่ยถงเล่าเรื่องข้างนอกให้ฟัง นับว่าค่อนข้างสนิทสนมกัน

“ท่านจี้ อาตมากับโยมกินข้าวกันที่นี่เป็นอย่างไร อาตมาเกรงว่าองค์หญิงใหญ่ผู้นั้นจะยังไม่กลับไป ทั้งอาตมาและโยมอยู่ที่นี่ อาจมีภาพลวงตาว่าเรากำลังจะพูดคุยตอนกลางคืนใต้แสงเทียน”

“ได้สิ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านมีใจหรือไม่ ถึงได้หวาดกลัวนางเช่นนี้…”

“ท่านจี้ ท่านมีมรรควิถีสูงส่งนัก อย่าล้อเล่นเช่นนี้เลย!”

จี้หยวนทำให้ฮุ่ยถงตกใจจนสะดุ้ง ไม่ใช่เพราะใจเสาะ แต่คนตรงหน้ามีมรรควิถีลึกล้ำยากหยั่งคาด ความเข้าใจของฮุ่ยถงมีต่อมรรคเซียนยิ่งมีน้อยนิด แต่ผู้ฝึกเซียนพูดออกจากปากเช่นนี้ หากพูดแล้วเป็นจริงดังนั้น นั่นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

จี้หยวนส่ายหน้าไม่พูดจาอีก ตนเองเทน้ำชาไปพลาง กินขนมที่อยู่บนโต๊ะไปพลาง มองจากระดับความประณีตของขนมเหล่านี้แล้ว เห็นทีจะเป็นขนมที่องค์หญิงใหญ่นำมา

“จื้อสิง อีกเดี๋ยวนำอาหารมาส่งที่นี่ จำไว้ว่าอย่าลืมส่วนของท่านจี้ จริงสิ นำอาหารขึ้นชื่อของวัดเรามาหน่อยนะ ข้ากับท่านจี้จะกินข้าวกันที่นี่แหละ”

แม้กั้นไว้ด้วยบานประตู ทว่าภิกษุที่หน้าประตูก็ยังคงประสานสองมือและโค้งตัวเล็กน้อย

“ทราบแล้ว เมื่อทำเสร็จแล้วข้าจะนำมาให้อาจารย์อา”

“ไปเถอะๆ!”

ภิกษุจื้อสิงไปแล้ว มุ่งหน้าไปยังโรงครัวของวัดตลอดทาง เพราะตอนนี้เป็นเวลาเย็นย่ำ จำนวนของผู้ศรัทธาภายในวัดลดน้อยลงถนัดตา กลายเป็นผู้ศรัทธาน้อย ภิกษุมาก

แต่หลังจากบอกกล่าวโรงครัวของวัดเรียบร้อย เพิ่งออกจากประตูโรงครัวไม่ทันไร ภิกษุจื้อสิงก็ถูกนางกำนัลคนก่อนหน้านี้ขวางไว้ ก่อนที่นางจะถามอย่างตรงไปตรงมา

“ไต้ซือฮุ่ยถงสนทนากับแขกเสร็จแล้วหรือ”

“ไต้ซือกับท่านจี้จะสนทนากันถึงช่วงกลางคืน อาหารล้วนต้องส่งไปให้ท่านที่กุฏิ”

“อืม ไปเถอะ”

จื้อสิงรีบร้อนจากไป โยมหญิงผู้นี้น่ากลัวนัก อย่างน้อยในใจของภิกษุที่ยังอายุน้อยอย่างพวกเขานั้น คนที่พวกเขากลัวมากกว่ายิ่งองค์หญิงใหญ่ก็คือนางกำนัลคนนี้แหละ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางกำนัลไปถึงมุมหนึ่งรอบนอกวัด ที่นั่นมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างกำแพง ด้านข้างมีองครักษ์ฝีมือดีจำนวนหนึ่งและสาวใช้สองคน

เห็นนางกำนัลกลับมาแล้ว ทุกคนล้วนทำความเคารพ ทว่าฝ่ายแรกไม่ตอบสนองอะไร เข้าใกล้รถม้าแล้วกล่าวว่า

“คุณหนูใหญ่ ไต้ซือฮุ่ยถงจะสนทนากับท่านจี้ถึงช่วงกลางคืน ไม่ไปกินอาหารที่อื่น พวกเรากลับเถอะเจ้าค่ะ”

องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้างในเบะปาก

“มีเรื่องต้องคุยกันขนาดนั้นเชียว ตอนอยู่กับข้าเอาแต่สวดมนต์…”

นางกำนัลยิ้มอยู่ข้างนอก แม้องค์หญิงใหญ่กับนางจะมีความสัมพันธ์เช่นเจ้านายและบ่าว ทว่าทั้งสองสนิทสนมกันมาก ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรต่อกัน

“คุณหนูใหญ่ ท่านอย่าเสียมารยาทเลยเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวฟ้าจะมืดแล้ว ที่เรือนของพวกเราน่าจะเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน”

“เฮ้อ น่าเสียดายอาหารมังสวิรัติเต็มโต๊ะ…เฮ้อ! จริงสิ เจ้าว่าข้าไปที่โรงครัวของที่นี่แล้วทำอาหารมังสวิรัติให้ไต้ซือฮุ่ยถงสักมื้อเป็นอย่างไร”

“พรวด…คุณหนูใหญ่ ท่านเป็นหญิงงามผู้บอบบาง สิบนิ้วไม่เคยต้องเปื้อนน้ำสกปรก ทำอาหารมังสวิรัติหรือเจ้าคะ ท่านรู้หรือว่าจะหุงข้าวให้สุกได้อย่างไร”

นางกำนัลฝั่งตรงข้ามเย้าอย่างไม่เกรงใจ องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ในรถม้าถอนหายใจออกมาแล้ว

“ช่างเถอะๆ ตามนั้น กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลชิวเถอะ”

เมื่อได้รับคำสั่งนี้ พลขับถึงจะบังคับรถม้า คนอื่นๆ คอยรับใช้อยู่ทั้งหน้าหลังและซ้ายขวา

วันต่อมาและอีกวันหลังจากนั้น องค์หญิงใหญ่ผู้นี้ยังคงมาที่วัดตามเดิม ทว่าจี้หยวนอยู่ข้างในวัด ทุกครั้งองค์หญิงใหญ่ได้รับแจ้งว่าไต้ซือฮุ่ยถงและจี้หยวนมีเรื่องต้องคุยกันยาว

ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าท่านจี้ผู้นี้เดินทางไกลมาจากต้าเจิน ระหว่างขึ้นเขาลงห้วยพบเจอความลำบากและอันตราย กว่าจะมาถึงได้สักครั้งไม่ง่ายเลยจริงๆ ดังนั้นองค์หญิงใหญ่คำนวณตามเหตุผลแล้วไม่ได้รบกวนพวกเขา หลังจากนั้นสองสามวันจึงไม่มาเยือนที่วัดเสียเลย ให้ภิกษุฮุ่ยถงและจี้หยวนวางใจผ่อนคลายเสียหลายวัน

วันที่สิบหลังจากจี้หยวนมาถึงวัดต้าเหลียง องค์หญิงใหญ่ถึงมาที่วัดต้าเหลียงอีกครั้งหนึ่ง

เข้าไปแล้วได้ยินภิกษุบอกว่าจี้หยวนยังอยู่ คราวนี้องค์หญิงใหญ่ทนไม่ไหวแล้ว

“อะไรนะ? ไต้ซือฮุ่ยถงไม่สะดวกพบแขก? ท่านจี้จากต้าเจินผู้นั้นเกียจคร้านไม่ไปไหนแล้วหรือไร ต่อให้จะพำนักต่อที่นี่อีกหลายวัน แต่พวกเขายังคุยกันไม่จบสิ้นอีกหรือ”

“อะ…องค์หญิงใหญ่ อาตมาไหนเลยจะรู้ เรื่องของอาจารย์อาอาตมาไม่กล้ายุ่ง!”

ภิกษุที่คอยเฝ้ายามลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ทำได้เพียงตอบไปเช่นนี้

“ช่างเถอะๆ ข้าไม่กล่าวโทษท่านแล้ว ข้าจะไปหาพวกเขาเอง ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าพวกเขาทำอะไรอยู่กันแน่!”

องค์หญิงใหญ่มากับนางกำนัลและสาวใช้สองคน เมื่อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์เช่นนี้แล้วก็ไม่สนใจอย่างอื่นอีก ตรงไปยังกุฏิของฮุ่ยถงทันที

ภิกษุที่คอยเฝ้ายามเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเร่งฝีเท้าไปที่กุฏิของอาจารย์อาตนเอง ทว่าเพิ่งไปถึงเรือนหลังนั้นก็เห็นฮุ่ยถงและจี้หยวนเดินออกมาพร้อมกัน

“เป็นอะไร ท่าทางกระวนกระวายนัก”

“อะ อาจารย์อา องค์หญิงใหญ่มาแล้ว บอกว่าจะพบท่านให้ได้ ข้าขวางไว้ไม่อยู่จึงรีบมารายงาน!”

ฮุ่ยถงยังคงมีท่าทีนิ่งสงบ

“รู้แล้ว ปล่อยนางเถอะ เจ้าไปเฝ้ายามต่อดีกว่า”

“ทราบแล้ว!”

ตอนนี้สีหน้าของฮุ่ยถงดูเคร่งขรึมมาก ในขณะที่จี้หยวนดูสง่างามและลึกลับอยู่ในที ทั้งสองคนเดินออกจากเรือนหลังเล็กเพื่อมุ่งหน้าไปที่หน้าลานวัด

ในหูของทั้งสองคนมีเสียงสวดมนต์ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงนามของพระพุทธดังขึ้นจากความว่างเปล่า พระสูตรและนามพระพุทธมาจากเสียงเดียวกัน ต่างก็ดังสะท้อนอยู่ในอาณาเขตวัด

องค์หญิงนำหน้านางกำนัลด้วยฝีเท้าเร่งร้อน ยังไม่ถึงที่หมายก็เห็นฮุ่ยถงและจี้หยวนออกมาแล้ว นางอ้าปากหมายเอ่ยวาจา กลับเห็นสีหน้าของฮุ่ยถงและจี้หยวนเคร่งเครียดมาก ทำให้นางเปลี่ยนคำพูดทันที

“ไต้ซือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

ในสถานการณ์เช่นนี้ภิกษุฮุ่ยถงยังคงหยุดฝีเท้าคารวะองค์หญิงใหญ่ กล่าวตอบอย่างอดทน

“สาธุพระวิทยาราช เรียนองค์หญิงใหญ่ กำลังจะมีพระเถระผู้มีเกียรติมาถึง อาตมากับท่านจี้จะออกไปต้อนรับ!”

“พระเถระ? ไยตอนที่ข้ามาถึงกลับไม่เห็นภิกษุรูปอื่นมีท่าทางอะไรเลย”

ฮุ่ยถงคลี่ยิ้ม รอยยิ้มชั่วพริบตานี้ทำให้เขาดูเปล่งประกาย องค์หญิงใหญ่และนางกำนัลข้างๆ ชะงักไปเล็กน้อย

“สาธุพระวิทยาราช ไม่จำเป็นต้องทำให้ภิกษุทั้งหลายแตกตื่น พระเถระรูปนี้ไม่ชอบความวุ่นวาย! องค์หญิงใหญ่รอสักครู่ ข้ากับท่านจี้จะไปก่อน”

พูดจบแล้วฮุ่ยถงพลันรีบร้อนจากไป จี้หยวนพยักหน้าทักทายหญิงสาวทั้งสอง จากนั้นจากไปพร้อมกับฮุ่ยถง

แก๊ง…แก๊ง…แก๊ง…

เสียงระฆังวัดต้าเหลียงกำลังดัง ผู้ศรัทธาภายในวัดยังคงมาถึงไม่ขาดสาย และมีบัณฑิตเขียนพระสูตรบนที่ว่าง

ส่วนจี้หยวนและฮุ่ยถึงเดินไปถึงประตูหลักของวัดต้าเหลียง เพราะใช้วิชาบางอย่าง ฮุ่ยถงปรากฏตัวที่นี่จึงไม่ได้ทำให้ผู้ศรัทธาคนอื่นตื่นตกใจ ฝ่ายองค์หญิงใหญ่และนางกำนัลยังคงตามมาอยู่ไกลๆ

ข้างนอกประตูหลักวัดต้าเหลียง จี้หยวนและฮุ่ยถงหยุดฝีเท้าพลางมองไปไกล

เสียงธรรมเข้ามาใกล้และดังยิ่งขึ้น ทั้งสองมองจุดหนึ่งในตลาดที่คึกคักข้างนอกวัด ภิกษุชราสวมจีวรเก่าพร้อมคทาขักขระสีเงินขาวเดินมาแล้ว

ภิกษุชรารูปนี้หลุบตามองพื้นตรงหน้า ริมฝีปากบนล่างขยับขยุกขยิก ชัดเจนว่ากำลังท่องบนสวดอยู่

“ฝึกธรรมพระวิทยาราช พระพุทธเจ้าประทับตราพันองค์ ธรรมของข้ามีพลังเหนือหมู่คน…”

เสียงบทสวดเหมือนกับเสียงฟ้าร้อง ยิ่งมายิ่งดังขึ้นบริเวณวัดต้าเหลียง รวมกับเสียงระฆังภายในวัดแล้ว ฌานสมาธิแจ่มชัด ทว่าผู้ศรัทธาโดยรอบและภิกษุส่วนใหญ่ไม่รู้สึกถึงเลยสักนิด

ฮุ่ยถงยืนตัวตรงแหน็ว สองมือประสานกันในท่วงท่าได้มาตรฐานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จี้หยวนยิ่งนิ่งอยู่ข้างๆ พบว่าวิชาบังตาที่ใช้กับดวงตาตนเองคลายไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว

เมื่อเดินถึงสิบจั้งก่อนถึงวัดต้าเหลียง ภิกษุชราถึงเงยหน้าขึ้นจ้องมองฮุ่ยถงและจี้หยวน มือข้างหนึ่งจับไม้เท้า มือข้างหนึ่งจีบนิ้วสองนิ้วกล่าวว่า

“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต!”

ฮุ่ยถงประกบสิบนิ้วแล้วโค้งกายลงเก้าสิบองศา

“ดีงามแล้ว สาธุพระวิทยาราช!”

ฝ่ายจี้หยวนยกแขนขึ้นประสานสองมือ ไม่ได้พูดอะไร ภิกษุชราเพียงไหว้จี้หยวนแล้วพยักหน้า จากนั้นสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปในวัดต้าเหลียง ฮุ่ยถงหลีกทางให้ก่อนจะตามหลังไปโดยที่ห่างออกมาสองก้าว

ตอนที่เพิ่งทำความเคารพเสร็จ เสียงบทสวดที่เหมือนกับเสียงฟ้าร้องยังคงไม่หยุดลง

จี้หยวนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หันกายมองเงาหลังของภิกษุชรารูปนั้นและฮุ่ยถงจากไปไกล บัดนี้เขามีสีหน้าครุ่นคิด

‘นี่คือพระวิทยาราชร่างจริงหรือ’

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท