บทที่ 1053 หานฮวงปะทะหานเจวี๋ย
ห้าล้านปีผ่านไปไวยิ่งนัก
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ตรวจสอบตบะของตนตามความเคยชิน พึงพอใจกับความก้าวหน้าของตน
จากนั้นเขาก็ถ่ายทอดเสียงหาหานฮวงที่อยู่นอกอารามเต๋า
หานฮวงกลับมาตั้งแต่เมื่อหลายแสนปีก่อนแล้ว อยากเข้ามาคารวะหานเจวี๋ยแต่หานเจวี๋ยกำลังปิดด่านอยู่จึงทำได้เพียงรออยู่ด้านนอก
หานเจวี๋ยพึงพอใจกับการกระทำนี้ยิ่งนัก เด็กคนนี้ถึงแม้จะเติบใหญ่แล้วแต่ก็ไม่ได้ผยอง ยามพบหน้าเขาก็ยังมีมารยาทที่พึงมีอยู่
หานฮวงเข้ามาโดยเร็วแล้วคารวะหานเจวี๋ย ทำให้ซั่นเอ้อร์ที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ด้านข้างรู้สึกตัวขึ้นมาด้วย
หานฮวงก็สังเกตซั่นเอ้อร์อยู่เช่นกัน รู้สึกสนใจใคร่รู้นัก ท่านพ่อชุบเลี้ยงต้นกล้าขึ้นอีกคนแล้วหรือ
เพียงแต่ตบะและกลิ่นอายยังคงอ่อนด้อยเกินไป รวมถึงยังมีแววตาเช่นนั้นอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะมองเขาด้วยความหวาดกลัว ยังไม่ทันได้สู้ก็หวาดกลัวเสียแล้ว ไม่มีมาดของผู้แข็งแกร่งเลย
หานฮวงดูแคลนอยู่ในใจ
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮวงเอ๋อร์ ไม่ได้กลับมานานเหลือเกิน เกือบร้อยล้านปีแล้วกระมัง พ่อนึกว่าเจ้าหลงลืมพ่อแม่ไปเสียแล้ว”
หานฮวงกล่าวด้วยความละอายว่า “ลูกยุ่งอยู่กับการพัฒนาความแข็งแกร่ง ไม่ได้มาแสดงความกตัญญู ท่านพ่อโปรดลงโทษด้วยเถิด”
“โอ้ ให้ลงโทษอย่างไรเล่า”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มมิเชิงยิ้ม เขาจะมองเจตนาต่อสู้อันแรงกล้าของหานฮวงไม่ออกได้อย่างไร
เจ้าตัวแสบ คิดจะมาท้าทายผู้เฒ่าอย่างนั้นหรือ!
ระวังผู้เฒ่าจะเล่นงานจนมรรคจิตเจ้ายับเยิน!
ดวงตาหานฮวงวาวโรจน์ เอ่ยไปว่า “มิสู้ท่านพ่อมาสั่งสอนข้าในแบบจำลองการทดสอบสักยกดีหรือไม่”
หานเจวี๋ยหัวเราะฮ่าๆ
ซั่นเอ้อร์มองหานฮวงด้วยสายตาแปลกๆ มองจนหานฮวงรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่ง
นับตั้งแต่ได้ประลองกับหานเจวี๋ย เขาก็ไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาอีกเลย รู้สึกว่าหานเจวี๋ยเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็มาเถอะ!”
เขาพลันเพ่งสายตา ทั้งสองเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบทันที
ฉากภายในแบบจำลองการทดสอบคือห้วงอวกาศเวิ้งว้างแห่งหนึ่ง สองพ่อลูกอยู่ห่างกันร้อยจั้ง ระยะห่างเท่านี้สำหรับผู้บำเพ็ญระดับพวกเขาแล้ว นับว่าใกล้กันยิ่ง
หานฮวงมองไปที่หานเจวี๋ย เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันใด
“ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าลูกเฝ้ารอฉากนี้มานานแค่ไหน ถึงแม้ลูกจะไร้พ่ายในฟ้าบุพกาลแล้ว แต่สุดท้ายก็รู้ดีว่าท่านแข็งแกร่งกว่า ท่านคือจุดสูงสุดที่ลูกอยากจะก้าวข้ามไปให้ได้ เทพมหาทัณฑ์มิใช่คู่ต่อสู้ของลูกแล้ว ในผลาญนภา พ้นนิวรณ์และอวิชชาก็ไม่มีตัวตนที่สามารถต่อกรกับลูกได้ ตอนนี้ลูกสมควรจะท้าสู้กับท่านได้แล้ว!
“มิใช่ว่าลูกจะทรยศอกตัญญูต่อท่าน เพียงแต่อยากมุ่งสู่ตำแหน่งสุดยอดผู้แข็งแกร่งเท่านั้น!”
ดวงตาหานฮวงวาวโรจน์ ปราณม่วงอนธการปะทุออกมาจากร่าง พวยพุ่งสูงขึ้นไปดั่งเสาเพลิง
กฎเกณฑ์สูงสุดแห่งฟ้าบุพกาล อวิชชา พ้นนิวรณ์และผลาญนภาก่อตัวเป็นมังกรม่วงสี่ตัวเลื้อยพันรอบกาย เกล็ดบนกายของมังกรเหล่านั้นคือเกล็ดแห่งมหามรรคนับไม่ถ้วน
หานเจวี๋ยยิ้มนิดๆ
หานฮวงโจมตีเข้าใส่ทันที ซัดสองมือออกไป ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรที่เลิศล้ำทรงพลังพุ่งออกไป พุ่งเข้าใส่หานเจวี๋ยอย่างรุนแรงไม่อาจหยุดยั้งได้
ทว่ายอดสมบัติบนร่างหานเจวี๋ยพลันสาดแสงเจิดจ้าออกมา ต้านทานไว้ได้สบายๆ
สีหน้าหานฮวงแปรเปลี่ยน โจมตีใส่ต่อไป
ทว่าไม่ว่าจะโจมตีด้วยพลังวิเศษเช่นไร ใช้กลยุทธ์ไปแค่ไหนหรือเปลี่ยนทิศทางโจมตีไปอย่างไรก็ทำอันตรายหานเจวี๋ยไม่ได้ทั้งสิ้น
“เป็นไปได้อย่างไร!”
หานฮวงเคยนึกถึงฉากยามประลองตัดสินกับบิดาไว้นับไม่ถ้วน เคยคิดไว้ว่าตนจะพ่ายแพ้แต่ไม่คิดเลยว่าตนจะทำลายไม่ได้แม้แต่สมบัติวิเศษป้องกันตัวของท่านพ่อ
เป็นไปไม่ได้!
ในโลกมหามรรคทั้งสี่ไหนเลยจะมียอดสมบัติป้องกันที่แกร่งกล้าขนาดนี้อยู่
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
หานฮวงกัดฟันเอ่ยเสียงขรึม “ท่านพ่อ ท่านทำให้ลูกประหลาดใจจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกก็คงต้องเอาจริงเสียแล้ว”
ตูม!
เขาเริ่มกระตุ้นพลังปฐมยุค
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ชัดเจนว่าพลังปฐมยุคในร่างตนถูกชักนำออกไป ถึงแม้จะน้อยนิดยิ่งแต่ความรู้สึกนี้ช่างประหลาดนัก
เพราะว่าผู้ที่หยิบยืมพลังไปจากเขาก็อยู่ตรงหน้านี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะผู้เป็นบิดาคงต้องทำให้เจ้าได้สัมผัสถึงพลังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
หานเจวี๋ยเริ่มถ่ายเทพลังปล่อยให้พลังปฐมยุคมหาศาลไร้สิ้นสุดปะทุขึ้นภายในร่างหานฮวง ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจและตกตะลึง
“นี่คือ…”
หานฮวงมีสีหน้าปรีดา หรือว่าแรงกดดันที่ท่านพ่อสร้างให้เขาจะมหาศาลเกินจึงทำให้เขาก้าวข้ามขีดจำกัดไปอีกขั้น
เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลทั่วร่างอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน สีหน้าเย่อหยิ่งและมั่นใจในตัวเองปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหานฮวงอีกครั้ง
เขาทอดมองหานเจวี๋ยพลางหัวเราะดังลั่น “ท่านพ่อ รับรู้ได้หรือไม่ขอรับ นี่ก็คือความแข็งแกร่งของข้า เป็นสิ่งที่ข้าได้รับมาจากการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในช่วงเกือบร้อยปีมานี้!
“หากว่าเลือกเดินตามรอยท่าน พากเพียรบำเพ็ญไปตลอด เกรงว่าข้าคงยากจะประสบความสำเร็จได้ เทพมารอนธการถือกำเนิดมาเพื่อต่อสู้ มิใช่สิ่งที่เทพมารฟ้าบุพกาลจะเทียบเคียงได้!”
หานเจวี๋ยมองบุตรชายที่ปรีดาอย่างบ้าคลั่ง เอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้ม “เทพมารอนธการแข็งแกร่งกว่าเทพมารฟ้าบุพกาลจริงๆ ไม่ว่าจะในด้านของคุณสมบัติหรือว่าพละกำลัง”
พลังปฐมยุคยังคงเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน หานฮวงหลงมัวเมาไปกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาสุดขีดเช่นนี้ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็ยอมรับ ท่านรู้สึกว่าลูกเหนือกว่าท่านแล้วใช่หรือไม่”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกพิกล “เจ้าคิดจริงๆ น่ะหรือว่าเทพมารฟ้าบุพกาลจะสามารถให้กำเนิดเทพมารอนธการขึ้นมาได้”
หานฮวงมีสีหน้าตื่นตะลึง เอ่ยถามด้วยความตกใจ “ท่าน…”
สีหน้าหานเจวี๋ยพลันดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฮวงเอ๋อร์ วันนี้พ่อจะทำให้เจ้าได้รับรู้ถึงพลังที่แท้จริงซึ่งเหนือกว่ายอดมหามรรคไปแล้ว ข้าจะไม่ออมมือเด็ดขาด หวังว่าจะทำให้มรรคจิตของเจ้าหนักแน่นมั่นคงขึ้นมาได้ นี่คือเส้นทางแห่งสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่เจ้าจำเป็นต้องก้าวเดิน!”
ตราปฐมยุคประทับนภาสายหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะหานเจวี๋ย ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ขยายออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด
หานฮวงเงยหน้ามอง จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาแผ่ขยายได้ไร้ขอบเขตทว่าไม่อาจไล่ตามความเร็วในการขยายตัวของตราปฐมยุคประทับนภาทัน!
ในไม่ช้า เขารับรู้ได้ว่าตราปฐมยุคประทับนภาขยายตัวจนมีขนาดใหญ่กว่าฟ้าบุพกาลไปแล้ว แต่ยังคงขยายตัวต่อไป ราวกับกำลังแบ่งพื้นที่ในแบบจำลองการทดสอบออกเป็นสองส่วนบนล่าง
หานฮวงแสดงสีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ
นี่คือพลังที่อหังการถึงระดับใดกัน
ตูม…
ตราปฐมยุคประทับนภาพลันกดทับลงมาอย่างทรงพลังน่าหวาดหวั่น หานฮวงคิดจะหลบเลี่ยงออกไปตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่าตนไม่สามารถหนีพ้นไปจากตราปฐมยุคประทับนภาได้ ทำได้เพียงเคลื่อนย้ายวนไปวนมาอยู่ใต้ขอบเขตของตราปฐมยุคประทับนภา
‘เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…เป็นไปไม่ได้ที่จะขยายตัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด! ไม่มีทางไร้จุดสิ้นสุดไปได้! หรือว่าจะเป็นกฎเกณฑ์แห่งห้วงมิติ
‘หากว่าเป็นกฎเกณฑ์แห่งห้วงมิติ นั่นคือกฎเกณฑ์ประเภทใดเล่า กฎเกณฑ์สูงสุดอย่างนั้นหรือ’
หานฮวงตื่นตระหนกสุดขีดแล้ว ลนลานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาไม่เคยถูกบีบคั้นจนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา ความพ่ายแพ้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว!
ในเวลานี้เอง!
พลังปฐมยุคในร่างหานฮวงปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ครั้งนี้พลังปฐมยุคแกร่งกล้าเกินไป ทำให้ร่างกายของเขาปริแยกฉีกขาด แสงสีแดงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาสายแล้วสายเล่า วิญญาณของเขากระโดดออกมาอย่างรวดเร็ว
‘พลังที่แม้แต่เทพมารอนธการยังทนรับไม่ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะทำลายตราประทับนี้ไม่ได้!’
สีหน้าของหานฮวงดูดุดันขึ้นมา เขาคำรามกร้าวซัดหมัดพุ่งขึ้นด้านบน
พลังปฐมยุคที่หนุนด้วยมังกรม่วงสี่ตัวซึ่งกลายสภาพมาจากสี่กฎเกณฑ์สูงสุดโจมตีขึ้นไปด้านบน แข็งแกร่งเลิศล้ำ ราวกับจะทำลายล้างกาลเวลาและฟ้าบุพกาลได้ ยามนี้แสงจ้าสาดส่องไปทั่ว ทำลายล้างทุกสิ่งให้ย่อยยับเป็นเถ้าธุลีได้!
ตูม!
กระบวนท่านี้ปะทะเข้ากับตราปฐมยุคประทับนภาอันไร้ที่สิ้นสุด ทว่าดูว่างเปล่าอ่อนกำลังอย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่ง!
หานฮวงตกอยู่ในความสิ้นหวัง พลังลึกลับของเขาถูกตราปฐมยุคประทับนภาบดขยี้ สลายหายไปไร้ร่องรอย
“ไม่…!”
หานฮวงตะโกนขึ้นมา ตราปฐมยุคประทับนภากดทับลงไป
เขาพลันได้สติขึ้นมา หานเจวี๋ยและซั่นเอ้อร์ปรากฏอยู่ตรงหน้า
แบบจำลองการทดสอบสิ้นสุดลง
เขาแพ้แล้ว
พ่ายแพ้อย่างยับเยิน น่าอนาถอย่างยิ่ง
เขาหอบหายใจ ตราปฐมยุคประทับนภาเมื่อครู่นี้ยังคงตราตรึงติดตาอยู่ ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน
สองเนตรของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย สองมือสั่นระริกไปหมด
ซั่นเอ้อร์มองบรรพชนท่านนี้ด้วยความเห็นใจ นึกในใจว่า ‘อ่อนต่อโลกเกินไปแล้ว ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วไม่สมควรท้าทายเลย บรรพชนท่านนี้น่าจะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของท่านปฐมบรรพชนดีกว่าข้าถึงจะถูก’
………………………………………………………………