บทที่ 1044 ดวงจิตประหลาดปรากฏตัว
ถึงแม้โลกผลาญนภาจะมีสงครามวุ่นวายไปทุกแห่งหน แต่นั่นเป็นเพียงรูปการณ์โดยรวมเท่านั้น ภายในโลกผลาญนภายังมีสถานที่หลายแห่งที่ยังคงสงบสุขอยู่ ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
พวกหานเจวี๋ยทั้งสามมายังโลกขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมชายขอบของโลกผลาญนภา คล้ายกับดาวโลกในทางช้างเผือก ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของห้วงอวกาศอย่างเงียบสงบ โดดเดี่ยวทว่างดงาม
สิ่งมีชีวิตในโลกขนาดใหญ่ใบนี้อ่อนแอมาก สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดก็เพิ่งอยู่ในระดับจักรพรรดิเซียนเท่านั้น ไม่แปลกใจเลยที่จะไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย แน่นอนว่า หากเผชิญกับผู้บำเพ็ญจำพวกที่สังหารไม่เลือกเข้า คาดว่าคงยากจะเลี่ยงจุดจบการสิ้นโลกได้
ทั้งสามเข้าสู่โลกขนาดใหญ่ บริเวณโดยรอบของโลกใหญ่ใบนี้มีโลกมนุษย์ธรรมดารวมตัวอยู่นับไม่ถ้วน คล้ายคลึงกับมรรคาสวรรค์ ตัวหลักยังคงเป็นเผ่ามนุษย์ พูดให้ถูกคือเผ่าพันธุ์ที่มีต้นแบบจากมรรคาสวรรค์ ซึ่งในแต่ละโลกก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป
ด้วยระดับตบะของพวกหานเจวี๋ยทั้งสาม สามารถเข้าใจภาษาของโลกแห่งนี้ได้ทันที สื่อสารได้โดยไม่มีกำแพงด้านภาษาใดๆ
พวกเขามาเยือนโลกมนุษย์ธรรมดาแห่งหนึ่ง เริ่มออกท่องเที่ยว
หานเจวี๋ยพูดคุยยิ้มหัวกับพวกนางพลางสอดส่องเข้าไปยังส่วนลึกของโลกผลาญนภา
เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้นอีกแล้ว!
เขามองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยบางส่วนซึ่งได้แก่ หานทั่ว อี๋เทียน หานฮวง หานเย่ หานเหยา เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน หานป้าเสิน จ้าวซวงเฉวียน หวงจุนเทียนและพวกจี้เซียนเสินเป็นต้น
ทั้งหมดล้วนต่อสู้เพื่อแย่งชิงกฎเกณฑ์สูงสุดสายหนึ่ง
คึกคักเสียจริง
สู้กันไปมาทุกคนก็เริ่มปิดล้อมโจมตีหานฮวง เนื่องจากหานฮวงแข็งแกร่งเกินไป
แม้แต่หานทั่วก็ยังต้องยอมรับเลยว่าน้องรองเหนือชั้นกว่าเขาไปไกลแล้ว
ทั้งสามคนมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง สัมผัสได้ว่าบรรยากาศของเมืองนี้งามสง่ามีวัฒนธรรม
ด้วยระดับตบะของพวกเขาทั้งสามไม่มีทางเผชิญปัญหายุ่งยากใดๆ ต่อให้มีคนสายตาไม่ดีมาหาเรื่องพวกเขา เพียงพวกเขาใช้ความคิดก็สามารถจัดการได้แล้ว
รอจนทั้งสามเดินทางผ่านโลกขนาดใหญ่ไปนับพันแห่งแล้ว ศึกใหญ่ภายในส่วนลึกของโลกผลาญนภาก็ยังคงดำเนินอยู่
ด้วยอยู่ว่างๆ ไม่มีเรื่องใดทำ พวกหานเจวี๋ยทั้งสามจึงมาหยุดอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง หานเจวี๋ยโบกมือ สร้างจอแสงจอหนึ่งขึ้นมา ฉากการต่อสู้อันวุ่นวายปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
สองสตรีอดไม่ได้ที่จะรับชมอย่างอยากรู้อยากเห็น
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เห็นหานเหยาสำแดงพลังวิเศษ ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เวลาผ่านไปเร็วโดยแท้ เชื้อสายของศิษย์น้องหานล้วนเก่งกาจถึงเพียงนี้”
เซียนซีเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ถึงแม้ข้าจะมีลำดับอาวุโสห่างจากพวกเขามากนัก แต่หากว่ากันในแง่ของประสบการณ์แล้ว ข้าห่างชั้นจากพวกเขามากจริงๆ”
นางมองไปที่หานเจวี๋ย แววตาอ่อนโยนดั่งวารี โอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของนางก็คือการรับหานเจวี๋ยไว้ในครั้งนั้น
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถามด้วยความอยากรู้ “ศิษย์น้องหาน เจ้าคิดว่าผู้ใดจะมีชัยในฉากสุดท้าย ฮวงเอ๋อร์หรือว่าทั่วเอ๋อร์ หรือจะเป็นเชื้อสายคนอื่นๆ ของเจ้า หานเหยา หานเย่และหานป้าเสินร่วมมือกันแล้วก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน”
“หากไม่เหนือความคาดหมายก็คงเป็นฮวงเอ๋อร์ แต่หากต้องการครอบครองกฎเกณฑ์สูงสุดสายนั้น อย่าฝันเลยจะดีกว่า”
“เพราะเหตุใด หากเขาชนะยังจะไม่ได้ครองอีกหรือ”
“อืม มีการวางแผนอยู่เบื้องหลังเกี่ยวพันไปถึงตัวตนที่สร้างโลกผลาญนภาขึ้น ตัวตนนี้มีตบะเหนือชั้นไม่อาจกล่าวนามได้ ไม่ควรพูดถึง ดังนั้นข้าจะไม่แนะนำให้พวกท่านรู้จัก”
หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และเซียนซีเสวียนได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะสบตากัน
โลกผลาญนภาเทียบเคียงได้กับฟ้าบุพกาล ไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกระดับนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยผู้ทรงพลังคนหนึ่ง
พวกนางไม่อาจจินตนาการได้เลย หรือว่าจะมีเทพผู้สร้างที่สรรค์สร้างกฎเกณฑ์ทุกสิ่งขึ้นมาจริงๆ
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถามด้วยความอยากรู้ “ศิษย์น้องหาน ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับใดแล้ว สามารถเทียบชั้นกับตัวตนเหนือชั้นที่บุกเบิกโลกผลาญนภาได้หรือไม่”
หานเจวี๋ยตอบว่า “พอจะเทียบได้แบบถูไถ แต่ท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายก็ฝึกบำเพ็ญมาก่อนข้านานนับยุคไม่ถ้วน หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ข้ามิใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์อดขมวดคิ้วไม่ได้
นางคิดว่าหานเจวี๋ยแข็งแกร่งที่สุดแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าอยู่
‘อริยะสวรรค์เกรียงไกรช่างถ่อมตัวโดยแท้ ทั้งที่ความสามารถของเจ้าแซงหน้าข้าไปแล้ว’
เสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นในหูของหานเจวี๋ย
เป็นเสียงของมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ
หานเจวี๋ยตอบในใจ ‘สหายเต๋าวางใจเถิด ข้าเพียงมาเที่ยวเล่นเท่านั้น ไม่มีทางทำร้ายโลกผลาญนภาแน่นอน’
เสียงของมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญแว่วขึ้นอีกครั้ง ‘หวังว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าก็กังวลอยู่ว่าชนรุ่นหลังจะเลินเล่อไม่รู้จักมารยาท’
หานเจวี๋ยตอบกลับภายในใจ ‘เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าก็กลัวเจ้าจะทำลายโลกมหามรรคของข้าเช่นกัน’
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญแค่นเสียงทีหนึ่งไม่พูดมากอีก
ตั้งแต่เริ่มจนจบ ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และเซียนซีเสวียนไม่รับรู้ถึงบทสนทนาระหว่างพวกเขาเลย ยังคงชมการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น
ถึงแม้ระดับตบะจะไม่มากพอ ทำให้พวกนางมองเห็นรายละเอียดการต่อสู้ไม่ชัดเจน แต่เมื่อมองจากจอภาพแล้วก็พอจะแยกแยะออกได้ว่าผู้ใดยึดครองความได้เปรียบอยู่
หานฮวงอาศัยพลังอันเลิศล้ำต่อสู้กับอริยะมหามรรคนับร้อยด้วยตัวคนเดียว เลิศล้ำเผด็จการ พลังของเขาเหนือกว่าคู่ต่อสู้คนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
หลังจากชมการต่อสู้มาหลายชั่วยาม ทั้งสามก็เดินทางต่อ
โลกผลาญนภามีสถานที่วิเศษน่าอัศจรรย์ไม่น้อยเลย หลายวันต่อมาพวกเขาก็พบห้วงอวกาศแห่งหนึ่ง
ในห้วงอวกาศมืดมิดมีทะเลสาบผืนหนึ่งอยู่ แผ่ละอองแสงสีรุ้งออกมา ถูกต้องแล้วเป็นทะเลสาบ กว้างขวางกินพื้นที่หลายพันล้านลี้ ริมทะเลสาบมีผืนแผ่นดินขุนเขาป่าไม้ เรียงรายโอบล้อมอยู่รอบทะเลสาบ
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่ามีพลังวิญญาณหนาแน่นอย่างยิ่งผสานอยู่ด้านใน ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยังมีมหามรรคกาลเวลา และมหามรรคห้วงมิติซุกซ่อนอยู่ด้านในด้วย
กล่าวอีกนัยคือทะเลสาบผืนนี้สามารถเชื่อมต่ออดีตและอนาคต เดินทางข้ามเวลาได้
“งดงามเหลือเกิน”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์อุทานชื่นชม ต้องขอบคุณที่การเดินทางครั้งนี้มีนางอยู่ด้วยถึงไม่รู้สึกน่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนั้น
หานเจวี๋ยมีความรู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงดูบุตรสาวไปพร้อมกับเซียนซีเสวียนอยู่
เซียนซีเสวียนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ด้านในมีกลิ่นอายแกร่งกล้าอยู่ไม่น้อย พวกเราเลี่ยงไปจะดีกว่า”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์โบกมือกล่าวไปว่า “อาจารย์ ท่านคิดอะไรอยู่เจ้าคะ มีศิษย์น้องหานอยู่ทั้งคนยังจะต้องกลัวอันใด ผู้สร้างโลกผลาญนภาคนนั้นคงไม่ซ่อนตัวอยู่ในนี้กระมัง”
เซียนซีเสวียนยังคงลังเลยิ่งนัก นางมองไปที่หานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ด้านในมีอริยะมหามรรครายหนึ่งและสหายของเขาซ่อนตัวอยู่จริงๆ ไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก พวกเราสามารถเข้าไปชมดูได้”
พอเซียนซีเสวียนได้ฟังก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อหานเจวี๋ยเอ่ยมาเช่นนี้ ก็แปลว่าไม่ได้เห็นตัวตนที่อยู่ด้านในนั้นอยู่ในสายตาเลย
สำหรับระดับเสรีแล้ว อริยะมหามรรคและยอดมหามรรคไม่ได้แตกต่างกันเลย ดังนั้นนางถึงได้ลังเลเช่นนั้น เพราะไม่แน่ใจว่าตัวตนที่อยู่ด้านในจะคุกคามหานเจวี๋ยได้หรือไม่
ทั้งสามคนเข้าสู่โลกทะเลสาบหลากสีสันอย่างรวดเร็ว ตัวตนเหล่านั้นที่เร้นกายอยู่ในทะเลสาบและในป่าเขาล้วนไม่สังเกตเห็นเลย
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์และเซียนซีเสวียนเดาว่าคงเป็นฝีมือของหานเจวี๋ย
น่ากลัวโดยแท้ ผนึกประสาทสัมผัสของอีกฝ่ายได้อย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย
สองสตรีเที่ยวเล่นด้วยความสนอกสนใจ ส่วนหานเจวี๋ยปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป
หานฮวงเริ่มหยิบยืมใช้พลังปฐมยุคของเขาอีกครั้ง
เขาจำเป็นต้องควบคุมอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าหานฮวงจะรับไม่ไหว
แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยวพลังปฐมยุคก็เพียงพอจะทำให้หานฮวงรับมือกับสถานการณ์อันตรายเบื้องหน้าได้แล้ว
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าวถึง นั่นคืออะไรกัน
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นตาอยู่บ้าง
ช้าก่อน!
นั่นไม่ใช่ดวงจิตประหลาดหรอกหรือ
ในอดีตกาลเมื่อนานมากแล้ว หานเจวี๋ยปล่อยดวงจิตประหลาดออกไป ช่วงแรกๆ มันยังกลับมาบ้าง แต่ช่วงหลังๆ หายเงียบไปเลย หานเจวี๋ยทำนายพบว่ามันปลอดภัยดีจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ดวงจิตประหลาดคล้ายคลึงกับสิ่งอัปมงคลยิ่งนัก สรรพสิ่งไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้ แต่มันกลับสามารถโจมตีสิ่งมีชีวิตได้
ปัจจุบันนี้ดวงจิตประหลาดก่อตัวปรากฏร่างจนจับต้องได้แล้ว ในการปิดด่านช่วงหลังๆ มาหานเจวี๋ยลืมให้ความสนใจกับมันไป ไม่คิดเลยว่ามันจะเติบโตก้าวหน้าถึงขั้นนี้แล้ว
ระดับยอดมหามรรค!
ร่างกายของมันผิดปกติยิ่ง การโจมตีที่หานฮวงซัดใส่ร่างมันถึงแม้จะทำลายมันได้ แต่มันก็ฟื้นฟูกลับมาได้เร็วยิ่ง
อมตะมิวางวาย ฟื้นฟูได้เร็วสุดขีด!
………………………………………………………………