บทที่ 1087 บุพเพ
อัญเชิญข้าอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาคิดจะทะลวงขั้นให้ได้ในรวดเดียว ผลคือถูกขัดจังหวะเสียได้
แต่ผู้ที่อัญเชิญคือสิงหงเสวียน เขาจำเป็นต้องออกโรง
เขามองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของคลื่นวนสีดำ เป็นมรรคาสวรรค์
ในเวลานี้ ด้านนอกมรรคาสรรค์ ท่ามกลางอวกาศกว้างไพศาลมีเงาร่างนับไม่ถ้วนลอยตัวอยู่ สมบัติวิเศษหลากหลายชนิดยิ่งใหญ่ตระการตาปะปนอยู่ทั่ว เมืองฟ้าบุพกาลหลายแห่งและเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลหลายสายถูกทำลายเสียหาย ผู้บำเพ็ญฝ่ายมรรคาสวรรค์ยืนหันหน้าออกไปนอกมรรคาสวรรค์ มีมากมายนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน แต่ถึงจะรวมตัวกันแล้วก็ยังมีกลิ่นอายอ่อนด้อยกว่าฝ่ายศัตรูมากนัก
มีซากศพนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่ในอวกาศระหว่างทั้งสองฝ่าย ส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์
ลี่เหยา สิงหงเสวียนและเซวียนฉิงจวินสตรีทั้งสามยืนอยู่ในหมู่อริยะ สายตาของอริยะทั้งหมดล้วนมองไปยังคลื่นวนสีดำที่อยู่เบื้องหน้าสิงหงเสวียน
แววตาจอมอริยะเสวียนตูเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ท่านผู้นั้นจะยอมมาจริงๆ หรือ
ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว เขาคะนึงหาบรรยากาศสมัยที่ได้หารือเรื่องมรรคาสวรรค์กับหานเจวี๋ยยิ่งนัก ช่วงเวลานั้นที่มีหานเจวี๋ยอยู่เขาไร้ซึ่งแรงกดดัน
สมัยก่อนตอนที่หานเจวี๋ยอยู่ เขาพะวงในตัวหานเจวี๋ยนัก แต่พอหานเจวี๋ยไม่อยู่ เขาก็ทำอะไรได้ไม่เต็มที่ ไม่กล้าดำเนินการตามความทะเยอทะยานของตน
“พวกเจ้ากำลังอัญเชิญหานฮวงหรือ ดีมาก เช่นนั้นข้าจะรอ!”
เสียงหัวเราะแว่วดังมา ผู้ที่เอ่ยวาจายืนอยู่ในหอคอยหลังหนึ่ง นางยืนอยู่หน้าราวกั้น สวมชุดกระโปรงงามหรูหรา ดวงหน้างามเฉิดฉัน บุคลิกหยิ่งผยอง ราวกับจักรพรรดินีที่ก้มมองปวงประชา
นางมีนามว่าเทพธิดาหมิงจี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งในฟ้าบุพกาล ทรงอำนาจล้นฟ้า
ด้านล่างหอคอยมีสัตว์ร้ายเจ็ดหัวตัวหนึ่งที่ใหญ่มโหฬาเท่าดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ร่างกายคล้ายเต่ายักษ์ ศีรษะทั้งเจ็ดมีทั้งมังกร พยัคฆ์และกิเลนแตกต่างกันไป
ด้านหน้าสัตว์ร้ายเจ็ดหัวมียอดมหามรรคสามคนและอริยะมหามรรคอีกหลายสิบคน
ลำพังแค่ยอดมหามรรคสามคนก็เพียงพอจะกดดันให้มรรคาสวรรค์หายใจไม่ทั่วท้องแล้ว
หนึ่งในสามคนนั้นบรรลุยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์ด้วย รัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงตะวัน
มรรคาสวรรค์มีผู้ทรงพลังปรากฏขึ้นมากมาย แต่ล้วนไปก่อตั้งกลุ่มอิทธิพลของตนขึ้นแล้ว ทำให้ภายในมรรคาสวรรค์ไม่เหลือผู้ใดที่แข็งแกร่งไปกว่าลี่เหยาอีก
ลี่เหยาสามารถสกัดต้านยอดมหามรรคทั้งสามได้ แต่การปะทะกับอริยะมหามรรคทำให้มรรคาสวรรค์ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ผู้อาวุโสท่านนั้นกำลังอัญเชิญเทวทัณฑ์หานฮวงหรือ”
“ได้ยินว่าพวกนางคือคู่บำเพ็ญของอริยะสวรรค์เกรียงไกร ผู้ที่สำแดงพลังวิเศษอัญเชิญอยู่คือมารดาผู้ให้กำเนิดของหานฮวง”
“ยังดูอ่อนเยาว์นัก”
“พวกเขารนหาที่ตายแล้ว รอจนหานฮวงมาถึงเช่นนั้นย่อมเป็นหายนะ!”
“เหตุใดยังไม่มาอีกเล่า”
เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์หารือพูดคุยกัน เหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ด้านหลังอริยะมรรคาสวรรค์ก็กำลังพูดคุยเช่นกัน แต่พวกเขามีความรู้ตื้นเขินนัก มีหลายคนที่ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของหานฮวง รู้เพียงว่านี่คือเคราะห์ใหญ่ของมรรคาสวรรค์ ศึกดุเดือดที่เผชิญมาก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขารู้ว่ามรรคาสวรรค์กำลังจะแพ้ หากไม่อัญเชิญผู้ทรงพลังฟ้าบุพกาลมา พวกเขาต้องตายกันหมด
คลื่นวนสีดำเงียบสงัด มีเพียงคลื่นมิติไหวกระเพื่อม ไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นเลย
ชั่วขณะนั้นห้วงอวกาศเงียบสงัดวังเวง
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ
คลื่นวนสีดำยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
สิงหงเสวียนขมวดคิ้ว เซวียนฉิงจวินและพวกลี่เหยาก็ค่อนข้างตระหนกแล้ว
หรือว่าพลังวิเศษจะผิดพลาด อัญเชิญท่านพี่มาไม่ได้
หรือว่าท่านพี่ยุ่งอยู่กับการปิดด่าน ไม่คิดจะแบ่งสมาธิมาสนใจ
ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็เป็นปัญหาใหญ่ทั้งสิ้น
สีหน้าของเทพธิดาหมิงจี้ที่รอคอยอยู่ผู้นั้นเริ่มโกรธขึ้งขึ้นมาแล้ว
นางหวนนึกถึงบุรุษผู้นั้นที่ช่วยเหลือตนไว้แต่กลับผลักไสไล่ส่งตนยิ่ง หรือว่าเขาจะสัมผัสได้ว่าเป็นนาง ดังนั้นถึงจงใจไม่มา
ใช่แล้ว
ด้วยนิสัยของเขา เดิมทีก็มิใช่คนที่จะแยแสผู้ใดอยู่แล้ว ยิ่งไม่ยอมรับตัวถ่วงใดๆ ทั้งสิ้น หากวันนี้มาปรากฏตัวก็เท่ากับกำลังบอกให้ศัตรูรู้ว่ามรรคาสวรรค์คือจุดอ่อนของเขามิใช่หรือ
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งโกรธแค้น ใบหน้างามเริ่มเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า “ลงมือเถอะ ทำลายมรรคาสวรรค์ซะ! ฮึ่ม!”
พอกล่าวจบ เหล่าลูกน้องของนางก็คำรามขึ้นมา อริยะมหามรรคเริ่มสำแดงพลังวิเศษอีกครั้ง เตรียมบุกเข้าโจมตี
แต่ยอดมหามรรคทั้งสามกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย สีหน้าของพวกเขาน่าเกลียดอย่างยิ่ง จ้องเขม็งไปยังคลื่นวนสีดำเบื้องหน้าสิงหงเสวียน
ยอดมหามรรคที่อยู่ตรงกลางเอ่ยถามเสียงเครียด “ท่านผู้สูงศักดิ์เป็นผู้ใด”
พอเอ่ยวาจานี้ออกไป กองทัพฟ้าบุพกาลที่เดิมทีกำลังเคลื่อนตัวก็เงียบงันลงอีกครั้ง
เทพธิดาหมิงจี้หรี่ตามองคลื่นวนสีดำ เผยสีหน้าดีใจ
เขากำลังมาหรือ?
“หานฮวง ขอเพียงท่านยอมออกปาก ข้าจะยุติศึกทันที!”
เทพธิดาหมิงจี้เอ่ยออกมา ทำให้สายตาของฝั่งมรรคาสวรรค์ล้วนมองไปที่คลื่นวนสีดำเช่นกัน
สิงหงเสวียนแค่นเสียงเอ่ย “ข้ามิได้เรียกตัวบุตรชายข้า!”
เทพธิดาหมิงจี้ผงะไป สีหน้ากลายเป็นไม่น่ามองอย่างยิ่ง
นางรู้สึกเหมือนถูกหลอกเย้าเล่น
“เสียเวลามาพอแล้ว รีบถล่มมรรคาสวรรค์ให้ข้า!”
เทพธิดาหมิงจี้ตวาดกร้าว ดูบ้าคลั่งอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทางสูงศักดิ์งามสง่าเช่นก่อนหน้านี้แล้ว
ขณะที่กองทัพฟ้าบุพกาลกำลังจะเคลื่อนทัพอีกครั้ง พลันมีเสียงดังฮึ่มที่ดูเย็นชาแว่วขึ้นมา นอกจากสามยอดมหามรรคและเทพธิดาหมิงจี้ ทัพใหญ่ฟ้าบุพกาลทั้งหมดล้วนสลายเป็นเถ้าปลิดปลิวไปในทันใด
แม้แต่สัตว์ประหลาดเจ็ดหัวที่อยู่ใต้แทบเท้าของเทพธิดาหมิงจี้ก็ร่างสิ้นสังขารมลายไปเช่นกัน
เจตนาสังหารอันน่าหวาดหวั่นพุ่งเป้าไปที่เทพธิดาหมิงจี้ ทำให้นางตกใจจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ยอดมหามรรคทั้งสามก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
พอเห็นทัพฟ้าบุพกาลมอดมลายไปในชั่วพริบตา ฝั่งมรรคาสวรรค์ล้วนมองตาค้าง
เกิดอะไรขึ้น
ผู้ใดมากัน
อริยะมรรคาสวรรค์คาดเดาความจริงได้ แต่ละคนตื่นเต้นนักแต่ไม่กล้าเปิดปากพูด กลัวจะเสียมารยาท
อู้เต้าเจี้ยนถอนหายใจคราหนึ่ง ยกมือตบอก พึมพำว่า “ข้าก็ว่าแล้วเชียว เขาไม่มีทางหมางเมินพวกเราหรอก”
สิงหงเสวียนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “สาวน้อย เจ้าจะบ้าคลั่งต่อหรือไม่”
นางไม่สบอารมณ์กับเทพธิดาหมิงจี้อย่างยิ่ง คิดจะตามเกี้ยวบุตรชายนาง ทว่ากลับกล้าลงมือหมายสังหารนาง สะใภ้เช่นนี้รับไว้ไม่ได้
เทพธิดาหมิงจี้ไม่โต้ตอบ สายตาจ้องเขม็งไปที่คลื่นวนสีดำ
เวลานี้เอง ยอดมหามรรคทั้งสามกลับรู้สึกโล่งใจดั่งยกภูเขาออกจากอก ยอดมหามรรคที่เป็นผู้นำกลุ่มรีบคารวะพลางกล่าวว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่เมตตา พวกเราจะไม่มารุกรานมรรคาสวรรค์อีกเด็ดขาด!”
ว่าจบยอดมหามรรคทั้งสามก็หันหลังกลับทันที กลายเป็นแสงรุ้งสายหนึ่งพุ่งจากไป พาตัวเทพธิดาหมิงจี้จากไปด้วย
คลื่นวนสีดำเบื้องหน้าสิงหงเสวียนหดตัวลงจนกระทั่งเลือนหายไป
ฝั่งมรรคาสวรรค์โห่ร้องยินดีเสียงดังสนั่นลั่นฟ้า
“รอดแล้ว!”
“เมื่อครู่น่าจะเป็นฝีมือของอริยะสวรรค์เกรียงไกร!”
“อริยะสวรรค์เกรียงไกรร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าไม่เคยพบเขามาก่อนเลย”
“ท่านผู้นั้นคือตัวตนที่อยู่เหนือฟ้าบุพกาล ยอดมารร้ายฟ้าบุพกาลตนนั้นน่าหวาดหวั่นถึงเพียงใดก็ยังถูกเขาสะกดไว้ได้สบายๆ มิใช่หรือ”
“เหตุใดต้องปล่อยนางมารผู้นั้นไปด้วย”
….
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยกำลังทำนายบ่วงกรรมระหว่างเทพธิดาหมิงจี้และหานฮวงอยู่ เหตุผลที่เขาไม่ลงมือสังหารเนื่องจากทำนายพบว่าเทพธิดาหมิงจี้กับหานฮวงมีบุพเพต่อกัน
บุพเพและบ่วงกรรมก็มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ตบะแตกต่างบุพเพที่มองเห็นก็ยิ่งห่างเหิน
เขาไม่มีความรู้สึกใดต่อเทพธิดาหมิงจี้ แต่หานฮวงยังไม่เคยมีสตรีมาก่อน ถึงขั้นที่ไม่เคยหวั่นไหวด้วย เขาหวังให้หานฮวงได้มีประสบการณ์ในด้านนี้สักครั้งถึงจะทำให้มรรควิถีที่แสวงหามั่นคงยิ่งขึ้น
ส่วนหานฮวงกับเทพธิดาหมิงจี้จะครองคู่กันได้นานแค่ไหน สุดท้ายแล้วจะลงเอยอย่างไร เขาไม่สนใจเลย
‘เรื่องไม่เป็นเรื่อง ฝึกบำเพ็ญต่อดีกว่า’
หานเจวี๋ยคิดด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็มุ่งมั่นทะลวงขั้นต่อไป
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
หานเจวี๋ยอายุครบสองร้อยเก้าสิบล้านปีแล้ว ได้สวรรค์ประทานโชคมาสะสมอีกหนึ่งครั้ง
เขารับรู้ได้ถึงแรงกดดัน
เดิมทีเขาหวังจะทะลวงขั้นให้ได้ก่อนอายุครบสามร้อยล้านปี ตอนนี้ใกล้จะอายุครบสามร้อยล้านปีแล้ว
หานเจวี๋ยจำเป็นต้องนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งเจ้านวฟ้าบุพกาล
หากเขาทะลวงขั้นได้ช้า เช่นนั้นก็ฉุดรั้งเจ้านวฟ้าบุพกาลไว้ด้วยเสียเลย
………………………………………………………………