บทที่ 1105 มหาโชคของหานเจวี๋ย
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการหรือ”
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนเอ่ยถามเสียงเครียด เขาฝืนทำเป็นสุขุม ต่อให้เป็นร่างต้นของเขามาเผชิญหน้ากับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ต้องหวาดกลัวเช่นกัน นี่คือตัวตนที่สาปแช่งจนทำให้เจ้านวฟ้าบุพกาลเกิดจิตมารขึ้นมา
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ตอบคำถามของข้า”
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนเงียบไป เขาไม่เข้าใจว่าหานเจวี๋ยมีเจตนาใดกันแน่ สร้างความอับอายให้เขาหรือ
หานเจวี๋ยจ้องมองเขา แววตาสงบราบเรียบ
ยิ่งสงบมากเท่าไร อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนก็ยิ่งกระวนกระวาย
พลังของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันเกินไป อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนไม่มีความหวังที่จะหนีรอดเลย
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนกัดฟันเอ่ย “เจ้าช่วยเหลือสรรพสิ่งผลาญนภา สรรพสิ่งผลาญนภาสมควรจะตื้นตันในตัวเจ้า ถึงแม้จะเจ้าจะเข่นฆ่าสังหาร แต่ได้ทำคุณลบล้างมากกว่า”
หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นเจตนาจากใจจริงหรือไม่”
“แน่นอน…”
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนอับจนหนทาง ถูกกดดันด้วยพลังทำให้จำต้องยอมก้มหัว
ต่อให้เป็นผู้สร้างมรรคา เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าตนก็ไม่กล้าโอหังเช่นกัน
ผู้สร้างมรรคาอาจจะเป็นอมตะ แต่หานเจวี๋ยสามารถคุกคามโลกมหามรรคของเขาได้
หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นก็เลือนหายไปจากจุดเดิม
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนกระวนกระวายขึ้นยิ่งกว่าเดิม มองไปที่ผลาญนภา หวาดกลัวว่าหานเจวี๋ยจะทำลายผลาญนภา
ทว่าผลาญนภากลับสงบไร้คลื่นลม มองไม่เห็นเงาร่างของหานเจวี๋ยอีกต่อไป
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนขมวดคิ้ว ในใจเต็มไปด้วยความฉงน
คำถามเมื่อครู่มีนัยอันใดแฝงอยู่กันแน่
….
หลังออกจากผลาญนภา หานเจวี๋ยออกท่องฟ้าบุพกาลต่อ
การกระทำในผลาญนภาเป็นเพียงการปลดปล่อยนิสัยดั้งเดิมของเขาออกมา ไม่ว่าผู้ใดล้วนมีด้านมืดอยู่ในตัว สิ่งมีชีวิตสามัญต่างแสวงหาความชอบธรรมในการปกป้องตัวเอง แต่ผู้ไร้พ่ายสมควรจะตัดสินดีชั่วของตนอย่างไร เรื่องนี้เป็นคำถามที่หานเจวี๋ยอยากรู้
เมื่อผ่านเรื่องนี้ไป หานเจวี๋ยหมดความสนใจในการต่อสู้ฆ่าฟัน รู้สึกว่าไร้ความหมาย ส่วนการมอบความกรุณาให้สรรพสิ่งกลับไร้ความหมายยิ่งกว่า
สรรพสิ่งไม่อาจสอดส่องความจริงแห่งกาลเวลาอันยาวนานได้ อายุขัยของพวกเขาเป็นเพียงเสี้ยวระยะหนึ่งในห้วงกาลเวลา ต่างสนใจเพียงเรื่องของตนเท่านั้น ต่อให้พวกเขารู้ว่าอริยะทรงธรรมคือเทพสังหารผลาญนภาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ พวกเขาอาจจะรู้สึกว่าไม่สลักสำคัญด้วยซ้ำ
ในมุมมองของชนรุ่นหลัง ความชั่วร้ายในประวัติศาสตร์ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อตนเอง พวกเขาก็ไม่แยแสบาปชั่วร้ายในยุคนี้
ตราบใดที่เคยประทานความเมตตาต่อพวกเขา นำพาชีวิตที่เป็นสุขงดงามมาให้พวกเขา ก็คู่ควรให้พวกเขาแซ่ซ้องแล้ว
มองจากจุดนี้แล้ว ดีชั่วเป็นหลักการที่เหมาะกับสิ่งมีชีวิตสามัญเท่านั้น เหมาะสมกับชนชั้นที่มีพลังไม่แตกต่างกันมากนักแต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังของตัวตนระดับสูงกว่า สุดท้ายก็ต้องยอมนับถือผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่ง
หานเจวี๋ยขบคิดพลางเดินทางไปด้วย
จะวางแผนทุกอย่างไว้อย่างไร เป็นเรื่องที่ผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายอย่างเขาสมควรต้องพิจารณาถึง
เขาไม่ต้องการจะรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เช่นนี้ไปตลอด แบบนั้นออกจะน่าเบื่อเกินไป
เรื่องสะกดข่มไม่อาจกระทำได้ มิเช่นนั้นจะเป็นเหมือนเจ้านวฟ้าบุพกาลที่ควบคุมพัฒนาการฟ้าบุพกาลไว้ เพื่อคงตำแหน่งของตนไม่ให้สั่นคลอนไปตลอดกาล
บางทีมหาโชคที่คล้ายคลึงกับระบบอาจจะปรากฏขึ้นอีกในอนาคตก็ได้ใครจะไปรู้
หานเจวี๋ยสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ แต่พลังกฎเกณฑ์พื้นฐานของดินแดนเวิ้งว้างทรงพลังพอๆ กับเขา บางทีในอนาคตพลังนี้อาจจะให้กำเนิดมหาโชครูปแบบใหม่ขึ้น
ยามที่หานเจวี๋ยออกจากผลาญนภา ศึกใหญ่ระหว่างอนธการและฟ้าบุพกาลได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
หานฮวงออกโรงแล้ว
จู่ๆ เขาก็มาปรากฏตัวในสนามรบชั้นสูงสุด เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไป ใช้พลังสะกดข่มฝั่งฟ้าบุพกาล ระดับที่ต่ำกว่าอริยะมหามรรคลงไปล้วนดับสูญจนสิ้น ถึงขั้นที่มีอริยะมหามรรคระดับต้นและระดับกลางร่างสิ้นวิญญาณสลายไป
หานฮวงลงมือโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่จะลงสู่สนามรบเหล่าอริยะมหามรรคล้วนแยกเสี้ยววิญญาณไว้แล้ว
หากพูดให้ถูกคือ อริยะมหามรรคของทั้งสองฝ่ายล้วนมองเห็นมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่เป็นสนามประลองแห่งหนึ่ง ไม่ใช่สนามรบที่ตัดสินความเป็นความตาย
“ฮึ่ม วุ่นวายกันมากพอแล้ว เจ้าแห่งโลกมหามรรคทั้งสองท่านจงเผยตัวออกมาเถิด!”
หานฮวงที่องอาจดั่งเทพสงครามกวาดตามองฟ้าบุพกาล เอ่ยด้วยรอยยิ้มหมิ่นแคลน
พอสิ้นเสียงเขา อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนและร่างแยกเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลต่างปรากฏตัวขึ้น
ส่วนร่างแยกของมหาเทวาพ้นนิวรณ์และจอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของหานฮวง
“พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ถึงจะไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาให้การสนับสนุนข้าด้วยเหตุใด แต่ข้าต้องการเผชิญกับพวกเขาด้วยตัวเอง!”
หานฮวงขมวดคิ้วเหลือบมองร่างแยกของผู้สร้างมรรคาทั้งสองด้วยแววตาเย็นชา
มหาเทวาพ้นนิวรณ์เพียงยิ้มออกมา สายตาที่เขามองหานฮวงราวกับมองชนรุ่นเยาว์ ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจ
แต่จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์กลับไม่สบอารมณ์นัก แต่เขาจงรักภักดีต่อหานเจวี๋ยอย่างยิ่งจึงไม่กล้าโต้แย้ง
“โอหัง!”
อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนโกรธานัก โทสะที่ถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการข่มเหงสุมอยู่เต็มท้องถูกนำมาระบายกับหานฮวงพอดี
ทั้งสามนับว่าล้วนมีพลังในระดับครึ่งก้าวสู่ผู้สร้างมรรคา เมื่อพวกเขาต่อสู้กันขึ้นมา ย่อมน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง ห้วงมิติทั่วทั้งฟ้าบุพกาลเริ่มสั่นสะเทือน มหามรรคสามพันวิถียิ่งแตกร้าวต่อเนื่องขึ้นไปอีก
แม้แต่หานเจวี๋ยที่อยู่ห่างออกไปอีกฟากของฟ้าบุพกาลก็มองเห็นรอยปริร้าวที่เกิดขึ้นในห้วงมิติรอบข้างแล้ว
หากเจ้านวฟ้าบุพกาลยังไม่ลงมือ หานเจวี๋ยก็ไม่มีทางลงมือเช่นกัน
นับเป็นการฝึกฝนหานฮวงได้พอดี
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ศึกระหว่างสามผู้ทรงพลังครึ่งก้าวสู่ผู้สร้างดำเนินต่อไป มีโลกขนาดใหญ่มากมายที่เผชิญกับหายนะสิ้นโลก พังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏสิ่งมีชีวิตเร่ร่อนนับไม่ถ้วนขึ้นในฟ้าบุพกาล
นี่คือยุคมืดยุคหนึ่ง สรรพสิ่งไม่ทราบถึงการต่อสู้ระหว่างเหล่าอริยะมหามรรค พวกเขารับรู้ได้ถึงความลำบากทุกข์ยาก
หลายล้านปีต่อมา
อายุขัยต้นกำเนิดของหานเจวี๋ยบรรลุถึงสี่ร้อยเจ็ดสิบล้านปีแล้ว สะสมสวรรค์ประทานโชคได้อีกสองครั้ง
เขาสามารถประทานโชคให้สิ่งมีชีวิตสามัญได้ แต่โชคนั้นยังไม่อาจเทียบกับสวรรค์ประทานโชคได้ สวรรค์ประทานโชคมาจากโลกปฐมยุคของเขา ยิ่งเขาแข็งแกร่งเท่าไร สวรรค์ประทานโชคก็ยิ่งเลิศล้ำเท่านั้น
หลังจากหานเจวี๋ยพิสูจน์เทพผู้สร้างสำเร็จก็รับรู้ถึงตัวตนของระบบได้แล้ว คล้ายตราประทับอย่างหนึ่งที่ประทับอยู่ในต้นกำเนิดเทพผู้สร้างของเขา เขาสามารถลบล้างทิ้งได้ แต่เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นเลย
ตอนนี้ระบบเปรียบเสมือนสมบัติวิเศษ ไม่จำเป็นต้องละทิ้งสมบัติวิเศษไปเพราะสมบัติมีพลังแข็งแกร่งเลย
อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างหานเจวี๋ยและระบบก็เหมือนหุ้นส่วนมากกว่า ต่างเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กันและกัน เขายังอยากจะก้าวหน้าไปให้ไกลกว่านี้
ระบบแปรสภาพมาจากเจตจำนงแห่งการสรรค์สร้างของดินแดนเวิ้งว้าง ผ่านการเสริมส่งเพิ่มพูนความแข็งแกร่งจากผู้สืบทอดมานับยุคไม่ถ้วนจนมาถึงปัจจุบันนี้ พื้นฐานคือมหาโชคกฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับสวรรค์ประทานโชคที่เหล่าทายาทเชื้อสายได้รับ เพียงอยู่ในรูปแบบที่หานเจวี๋ยคุ้นเคยในชาติก่อนเท่านั้น รูปแบบระบบเกมในชาติก่อนทำให้เขายอมรับ ทำความเข้าใจและใช้งานได้ง่ายกว่า
หานเจวี๋ยเดินทางมาถึงมุมหนึ่งของฟ้าบุพกาลโดยไม่ทันรู้ตัว
ที่นี่มีพฤกษาต้นหนึ่งที่ใหญ่มโหฬารอย่างยิ่ง เชื่อมต่อกับห้วงมิตินับไม่ถ้วน สรรพสิ่งต่างมองว่าเป็นดินแดนต้องห้าม
ต้นฝูซัง!
นี่คือต้นฝูซังที่หานเจวี๋ยเคยเพาะปลูกเลี้ยงดู มันจากเขามาเพราะต้องการกลายร่าง
ในช่วงหลายปีมานี้ เนื่องด้วยความช่วยเหลือของบรรพชนเทพปฐมกาลนางเลยแปลงกายได้ แต่ไม่ว่านางจะไปที่ใด พลังห้วงมิติที่ผสานอยู่ล้วนจะติดตามไปด้วย เป็นเหตุให้มีฟ้าดินมากมายล่มสลายลง ถึงขั้นที่ทำให้นางถูกกฎเกณฑ์สูงสุดขับไล่ด้วยซ้ำ จำเป็นต้องคืนร่างกลับไปเป็นต้นฝูซังอีกครั้ง
หานเจวี๋ยที่กลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมเดินมาที่ใต้ต้นฝูซัง เขาเก็บงำแสงเทพทั่วร่าง เนื่องจากมีระดับพลังสูงเกินไป ต้นฝูซังที่อยู่ในสภาวะจำศีลจึงไม่รับรู้ถึงการมาเยือนของเขา
“สบายดีหรือไม่”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม พอเอ่ยประโยคนี้ออกไป ใบของต้นฝูซังเริ่มสั่นไหว ทำให้ห้วงกาลเวลานับไม่ถ้วนทั้งในอดีตและอนาคตไหวกระเพื่อมตาม
“นายท่าน…ท่านมาได้อย่างไร”
ต้นฝูซังถามด้วยความตกใจและปรีดา อีกทั้งในน้ำเสียงก็เจือความตระหนกเอาไว้
หานเจวี๋ยถามยิ้มๆ “ข้ามาไม่ได้หรือ”
“มิใช่…ข้าเพียง…”
ต้นฝูซังที่เผชิญหน้ากับสรรพสิ่งด้วยความสง่ายิ่งใหญ่ยามนี้ราวกับสิ่งมีชีวิตสามัญที่หวาดผวาเพราะเผชิญหน้ากับเทพเซียน
………………………………………………………………