บทที่ 1106 คุณสมบัติมีจำกัด
“ยังอยากแปลงร่างอยู่หรือไม่”
หานเจวี๋ยมองเห็นต้นฝูซังอึกๆ อักๆ จึงเอ่ยออกไปตามตรง
เขาก็ไม่อยากอ้อมค้อมเช่นกัน
ต้นฝูซังผงะไป เอ่ยว่า “แน่นอนว่าอยาก แต่ว่า…”
เอ่ยยังไม่ทันจบดีก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับมันในทันที มีแสงสว่างเจิดจ้าแผ่ออกมาจากร่างพฤกษาใหญ่มโหฬารไร้ขอบเขต แสงเจิดจ้าเหล่านี้รวมตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ร่อนลงเบื้องหน้าหานเจวี๋ย ก่อตัวเป็นเรือนร่างแบบบาง
เป็นร่างสตรีนางหนึ่ง ผมดำขลับผิวขาวผ่อง เครื่องหน้างดงามล่มเมือง หว่างคิ้วแววตาเย็นชามีเค้าของลี่เหยาอยู่ นี่เป็นเรื่องปกติ อู้เต้าเจี้ยนและต้นฝูซังล้วนได้รับอิทธิพลจากลี่เหยาทั้งสิ้น
มองเผินๆ ในแวบแรกร่างแปลงของต้นฝูซังดูราวกับเป็นน้องสาวของลี่เหยา
หานเจวี๋ยยกมือขึ้น เด็ดใบไม้ใบหนึ่งจากต้นฝูซังผ่านทางอากาศ เสกให้กลายเป็นอาภรณ์สีเขียวสวมอยู่บนร่างแปลงของต้นฝูซัง
ต้นฝูซังหันกลับไปมอง พบว่าร่างดั้งเดิมของตนยังอยู่ คล้ายกับแบ่งแยกเอาเพียงตนออกมา แต่นางรับรู้ได้ชัดเจนว่าตนยังสามารถควบคุมร่างต้นไม้ได้ ความรู้สึกนี้ช่างน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
ร่างต้นไม้ของต้นฝูซังเสมือนกลายเป็นของวิเศษคู่ชีพของนาง ทำให้นางตื่นเต้นและประหลาดใจ
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “นับจากนี้ไป เจ้าจงรับหน้าที่ดูแลมิติเวลา ตอนนี้รับหน้าที่ดูแลมิติเวลาของฟ้าบุพกาล ส่วนในอนาคตเจ้าจะรับผิดชอบดูแลห้วงกาลเวลาทั้งหมดในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ข้าจะมอบสิทธิ์ขาดในห้วงกาลเวลาให้เจ้า”
พู่กันเทพรังสรรค์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา ตวัดลงบนร่างของต้นฝูซังสองครา ชั่วพริบตานั้น ตบะของต้นฝูซังเพิ่มขึ้นฉับพลัน สั่นสะเทือนทั่วห้วงอวกาศแถบนี้
จิตรับรู้สายแล้วสายเล่าพุ่งเข้ามาจากทั่วสารทิศ ต้องการสอดส่องต้นฝูซัง แต่ถูกหานเจวี๋ยสกัดกั้นไว้ได้อย่างสบายๆ
ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม
ตบะของต้นฝูซังเทียบเท่าครึ่งก้าวสู่ผู้สร้างแล้ว ตราบเท่าที่ห้วงกาลเวลาไม่ดับสลาย นางก็จะไม่ดับสลายเช่นกัน
นี่คือคำนิยามของเทพผู้สร้าง!
หลังจากต้นฝูซังได้สติกลับมา รับรู้ได้ถึงพลังในร่างตน นางเหม่อลอยดั่งฝันไป ตะลึงงันไปพักหนึ่งก่อนจะได้สติ คุกเข่าคารวะหานเจวี๋ยอย่างตื้นตัน
“ขอบพระคุณนายท่าน ขอบพระคุณนายท่าน”
“อืม เอาตามนี้เถิด”
หานเจวี๋ยหันหลัง เดินมุ่งหน้าต่อไป
ต้นฝูซังรีบเอ่ยถาม “นายท่าน ในอดีตข้าเคยทรยศสำนักซ่อนเร้น เหตุใดท่านถึงไม่เอาความข้าซ้ำยังประทานพลังเช่นนี้ให้ข้าด้วยเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยตอบโดยไม่หันไปมอง “ข้าอยากทำเช่นไรก็จะทำไปเช่นนั้น ข้าอยากทำดีต่อผู้ใดก็จะทำดีต่อผู้นั้น หากเจ้าจะตื้นตันก็จงตื้นตันเพราะข้าชุบเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่เถิด
“วันนี้ข้ามอบทุกสิ่งให้เจ้าได้ ข้าก็สามารถทวงกลับคืนได้ทุกเมื่อ จะควบคุมพลังนี้ไว้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของเจ้าแล้ว”
เมื่อเห็นเงาร่างของหานเจวี๋ยห่างออกไป ต้นฝูซังกัดริมฝีปากนิดๆ ลุกขึ้นมาทันที เหาะมุ่งไปหาหานเจวี๋ย
“นายท่าน ข้าอยากติดตามรับใช้ข้างกายท่านเจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย”
“เป็นความต้องการจากใจจริงของข้าเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว บางทีการติดตามฝึกบำเพ็ญกับท่านต่างหากถึงจะเป็นทางที่ถูกต้อง ข้าไม่สนใจใคร่รู่ต่อฟ้าบุพกาลรวมถึงทุกสิ่งอีกต่อไปแล้ว เพียงอยากฝึกบำเพ็ญให้ดี ส่วนเรื่องระเบียบห้วงกาลเวลา ข้าแบ่งสมาธิทำไปพร้อมกันได้เจ้าค่ะ”
“เอาเถอะ เช่นนั้นก็ตามมา”
หานเจวี๋ยตอบอย่างสบายๆ สำหรับตัวเขาในปัจจุบันนี้ไม่นับว่าเป็นภาระใดๆ แล้ว
เขาไม่เคยนึกโทษต้นฝูซังเลยจริงๆ ถึงขั้นที่เข้าใจและเห็นใจต้นฝูซังด้วย
หากเปลี่ยนเป็นเขา หากไม่อาจแปลงร่างได้ไปตลอด อีกทั้งคนใกล้ชิดก็ไม่มีวิธีช่วยเหลือ ย่อมต้องแสวงหาเส้นทางด้วยตัวเอง ต้นฝูซังไม่เคยทรยศต่อเขา เพียงแยกจากเขาเท่านั้น
ในอดีตหานเจวี๋ยและสำนักซ่อนเร้นล้วนพึ่งพาพลังวิญญาณจากต้นฝูซังในการฝึกบำเพ็ญ ต้นฝูซังไม่เคยติดค้างพวกเขา ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปกล่าวโทษนาง
หลังจากได้รับอนุญาตจากหานเจวี๋ยแล้ว ต้นฝูซังโล่งใจดังยกภูเขาออกจากอก เผยรอยยิ้มสดใสออกมา นางติดตามอยู่ข้างกายหานเจวี๋ย เดินเคียงกันไป
“นายท่าน ตอนนี้ท่านอยู่ระดับใดแล้วเจ้าคะ น่าจะเหนือกว่ายอดมหามรรคแล้วกระมัง การต่อสู้เหล่านั้นของท่านข้าก็เคยสอดส่องเช่นกัน ท่านเคยสยบทำลายล้างสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลได้ จากนั้นก็ฟื้นคืนชีพให้สรรพสิ่งอีกครั้ง”
ต้นฝูซังซักถามไม่หยุด ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกเหมือนมีหานชิงเอ๋อร์อยู่ข้างกาย
“อืม เหนือกว่าแล้ว เหนือกว่ามหามรรคคือผู้สร้างมรรคา ยามนี้ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลมีผู้สร้างมรรคาอยู่เพียงห้าตัวตน เมื่อสำเร็จเป็นผู้สร้างมรรคาก็จะบุกเบิกโลกมหามรรคที่คล้ายกับฟ้าบุพกาลขึ้นมา”
หานเจวี๋ยตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“ฟ้าบุพกาลคงอยู่มาเนิ่นนานเพียงใดแล้ว แต่ท่านใช้เวลาไม่ถึงห้าร้อยล้านปีก็เติบโตจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นผู้สร้างมรรคาได้ ท่านช่างเลิศล้ำเหลือเกินเจ้าค่ะ!” ต้นฝูซังเอ่ยอย่างสะท้อนใจ แววตาเต็มไปด้วยความตะลึง
นางก็อยากจะกลายเป็นตัวตนเช่นเดียวกับหานเจวี๋ยเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งสองจึงพูดคุยกันไปพลางออกท่องฟ้าบุพกาล
เหนือจากมหามรรคสามพันวิถี ในที่สุดสามผู้ทรงพลังครึ่งก้าวสู่ผู้สร้างก็ตัดสินผลแพ้ชนะกันได้แล้ว หานฮวงเป็นฝ่ายมีชัย ร่างแยกของผู้สร้างมรรคาทั้งสองล่าถอยไปแล้ว
“ฟ้าบุพกาลที่แสนเปราะบาง ปิดฉากเสียเถิด อนธการจงฟัง สังหารล้างบางสรรพสิ่งฟ้าบุพกาล ขจัดดวงชะตาฟ้าบุพกาลแล้วค่อยทำลายล้างฟ้าบุพกาล รอต้อนรับการมาเยือนของอนธการ!”
เสียงของหานฮวงดังก้องไปทั่วฟ้าบุพกาล แม้แต่สิ่งมีชีวิตสามัญก็ได้ยินกันถ้วนหน้า ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
หลังจากต้นฝูซังได้ยินก็กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “นายท่าน เขาช่างร้ายกาจโดยแท้ สมกับเป็นบุตรชายของท่าน”
“ก็ไม่เลว พอใช้ได้เท่านั้น”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่อันที่จริงเขาพอใจมาก
ครั้งนี้หานฮวงไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพลังปฐมยุคเลย แต่โจมตีร่างแยกของผู้สร้างมรรคาทั้งสองจนล่าถอยไปได้
เช่นนี้แปลว่าอย่างไรเล่า
หมายความว่าหากอยู่ในระดับเดียวกันหานฮวงสามารถเอาชนะเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลและมหาเทวาผลาญภาไร้สิ้นสูญที่ร่วมมือกันได้แล้ว!
ถึงอย่างไรหานฮวงก็เป็นเทพมารอนธการ คุณสมบัติพื้นฐานของอีกสองรายนั้นห่างชั้นสู้เขาไม่ได้ เพียงได้เปรียบที่อยู่มานานกว่าเท่านั้น!
หานฮวงเพิ่งประกาศวาจาออกไปได้ไม่นาน เสียงคำรามอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งก็แว่วดังไปทั่วฟ้าบุพกาล
เป็นอนธการสิ้นแสง!
นี่คือสัตว์ร้ายที่หานฮวงบ่มเพาะก่อกำเนิดขึ้นเพื่อมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ มันไม่เพียงแต่จะเร่งให้สรรพสิ่งดับสูญเร็วขึ้นเท่านั้น ยังกลืนกินดวงชะตาได้ด้วย เมื่อดวงชะตาถูกดูดกลืนจนแห้งเหือด พลังของฟ้าบุพกาลลดลงจนถึงขีดสุด หานฮวงก็จะทำลายฟ้าบุพกาลลงได้อย่างง่ายดาย
หานฮวงยังมีเจตนาส่วนตัวด้วย สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ยุคสมัยไร้สิ้นสุด แต่เป็นการบุกเบิกอนธการ
วิธีบุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุดขึ้นอย่างแท้จริงคือรวบรวมดวงชะตาฟ้าบุพกาล จากนั้นใช้พลังอันแกร่งกล้าทำลายข้อผูกมัดจากกฎเกณฑ์พื้นฐานของดินแดนเวิ้งว้าง ปรับเปลี่ยนดินแดนเวิ้งว้างไป
นี่คือแนวคิดที่เจ้านวฟ้าบุพกาลคิดขึ้นมา แต่อันที่จริงกลับผิดพลาดไปแล้ว
หลังจากสำเร็จเป็นเทพผู้สร้าง หานเจวี๋ยถึงได้ทราบว่ากฎเกณฑ์พื้นฐานของดินแดนเวิ้งว้างแข็งแกร่งมาก อย่าว่าแต่พลังของฟ้าบุพกาลเลย แม้แต่ผู้สร้างก็ไม่สามารถทำลายกฎเกณฑ์พื้นฐานของดินแดนเวิ้งว้างได้
ต้องการสำเร็จเป็นเทพผู้สร้าง จำเป็นต้องทำให้เกิดการผสานกลมกลืนกับกฎเกณฑ์พื้นฐาน ตระหนักเข้าใจในกฎเกณฑ์พื้นฐาน การบรรลุผู้สร้างมรรคาระยะสมบูรณ์ถือเป็นจุดสิ้นสุด หลังจากนั้นต่อให้ฝึกบำเพ็ญอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือทำความเข้าใจดินแดนเวิ้งว้าง
ทว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลไม่เคยเข้าใจเลย ก็ต้องย้อนกันไปถึงต้นกำเนิดยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ขีดจำกัดในการทำความเข้าใจของเขาก็คือผู้สร้างมรรคา เขาจึงตระหนักในจุดนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ในมุมมองของเขาคุณสมบัติของตนเลิศล้ำจนถึงขีดสุดแล้ว เขาคือผู้ที่กำลังจะบุกเบิกระดับใหม่ขึ้น
ผู้ที่สามารถบุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุดได้มีเพียงหานเจวี๋ยเท่านั้น!
แต่จะบุกเบิกขึ้นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา
‘ดูซิว่าเจ้าจะทำให้ข้าพอใจได้หรือไม่ เจ้านวฟ้าบุพกาล ข้าตั้งตารอคอยศึกตัดสินของพวกเราเสมอมา หวังว่าพอถึงเวลาเจ้าจะทำให้ข้าเกิดความคาดหวังขึ้นมาบ้าง หากเจ้าทำผลงานได้ดี ข้าจะบุกเบิกยุคสมัยไร้สิ้นสุดขึ้น เหลือทางรอดไว้ให้ฟ้าบุพกาล หากเจ้าทำให้ข้าผิดหวัง ฟ้าบุพกาลคงต้องกลายเป็นอดีตไป’
หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ
ต้นฝูซังคิดว่าเขากำลังสอดส่องหานฮวงอยู่ ดังนั้นจึงสะท้อนใจกับความร้ายกาจของหานฮวงยิ่งขึ้น
หานเจวี๋ยมองเห็นพลังแกร่งกล้าเจ็ดสายที่พุ่งเข้ามาจากดินแดนเวิ้งว้างอย่างชัดเจน ในพลังเหล่านั้นมีร่างแยกของเจ้านวฟ้าบุพกาลอยู่ด้วย เก้ามหาฟ้าบุพกาลเตรียมจะเข้าสู่ฟ้าบุพกาลแล้ว เผชิญศึกอนธการไปด้วยกัน
หากอ้างอิงจากอดีตก่อนหน้านี้ นี่คือจุดเปลี่ยน
รอจนกระทั่งหานฮวงสู้ไม่ไหว สื่อหยวนหงเหมิงถึงจะปรากฏตัวขึ้น การปรากฏตัวขึ้นของสองเทพมารอนธการ ทำให้เจ้านวฟ้าบุพกาลไม่สามารถรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้อีกต่อไป
………………………………………………………………