บทที่ 1109 ต่างเผ่าพันธุ์ เงาดำลึกลับ
สือตู๋เต้าเหาะเข้ามาพลางมองสำรวจเพื่อนร่วมทัพรอบข้างไปด้วย
เป็นขบวนทัพที่ทรงพลังนัก!
แต่สีหน้าของผู้ทรงพลังแต่ละคนกลับไม่สู้ดีเลย เนื่องจากศัตรูแข็งแกร่งที่พวกเขากำลังจะเผชิญหน้าด้วยมีตำนานเล่าขานอันน่าหวาดหวั่นแพร่ไปทั่วฟ้าบุพกาล เคยมียอดมหามรรคดับสูญไปภายในปากของมารร้ายตนนั้นมาแล้ว
“เลิกมองได้แล้ว ศึกนี้ต้องทุ่มพลังเข้าปะทะ อย่าได้ประมาทใจลอยเด็ดขาด”
วาจาของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงทำให้สือตู๋เต้าหันกลับมา
นับตั้งแต่หวงจุนเทียนหายตัวไป กลุ่มมิ่งเงียบหายไปพักหนึ่ง หลี่เต้าคงก็มุ่งหน้าไปให้การสนับสนุนอนธการ ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจำเป็นต้องผลักดันสือตู๋เต้าขึ้นเป็นเจ้าชะตาคนใหม่
ตอนนี้กลุ่มมิ่งเลือกให้การสนับสนุนฟ้าบุพกาล สุดท้ายแล้วผู้กำหนดชะตาเคราะห์ก็มาจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคแขนงหนึ่งของฟ้าบุพกาล เกี่ยวข้องผูกพันกับฟ้าบุพกาล พวกเขาจำเป็นต้องสนับสนุนฟ้าบุพกาล
ส่วนหลี่เต้าคง ในสายตาของพวกเขานับว่าโง่เขลาอย่างยิ่ง เพื่อสิ่งที่เรียกว่าสายใยร่วมสำนักแล้วยอมสละได้แม้แต่ชีวิต
สือตู๋เต้าเอ่ยขึ้นว่า “รัศมีพลังของอนธการสิ้นแสงตนนั้นแกร่งกล้าเหลือเกิน ปรมาจารย์มีวิธีจัดการหรือไม่”
เขามองเห็นเงาร่างของอนธการสิ้นแสงแล้ว แค่มองไกลๆ ก็ใจสั่นขึ้นมา
เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเพียงรูปลักษณ์ศัตรูก็เกิดหวาดหวั่นขึ้นมาแล้ว
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมีสีหน้าตึงเครียด ไม่ได้เอ่ยตอบ
จะจัดการอนธการสิ้นแสงอย่างไร นับเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับฟ้าบุพกาลในตอนนี้
สำนักเลิศนพวิถีพัวพันควบคุมศิษย์ชั้นแนวหน้าของสำนักซ่อนเร้นไว้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ อนธการสิ้นแสงก็ยังคงกัดกินฟ้าบุพกาลไปอย่างต่อเนื่อง
จิ่งเทียนกงทอดถอนใจเอ่ยไปว่า “หากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอยู่ด้วยสถานการณ์อาจจะต่างออกไป สำนักเลิศนพวิถีประกาศว่ามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมิใช่หรือ แล้วเหตุใดไม่เห็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการปรากฏตัวขึ้นในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ครานี้เลยเล่า”
เวลาผ่านมาเนิ่นนานนัก อดีตผู้อาวุโสแห่งนิกายเจี๋ยคนนี้ผ่านมรสุมมามากมายเหลือเกิน เมื่อถึงคราวที่ใกล้จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาล้วนจะนึกถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
เขาเฝ้ารอวันที่อนธการจะเข้าครอบงำฟ้าบุพกาลมาตลอด
ซึ่งนี่คือความคาดหวังของสาวกทั้งหมดที่ศรัทธาในเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
“เพียงยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น” สือตู๋เต้าแค่นเสียง
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการน่ะหรือ เขาลงมือตั้งนานแล้ว แผนการที่เขาปูทางเอาไว้พวกเจ้าไหนเลยจะเข้าใจได้
สือตู๋เต้ามีข้อสันนิษฐานมาตลอดว่าหานเจวี๋ยคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ อริยะสวรรค์เกรียงไกรและเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ หนึ่งขาวหนึ่งดำ หนึ่งธรรมะหนึ่งอธรรม ต่างก่อตั้งกลุ่มอำนาจขึ้นมาถ่วงดุลกัน ฟ้าดินหรือตะวันจันทราล้วนอยู่ในกำมือทั้งสิ้น
ตอนนี้ประมุขแห่งอนธการก็คือบุตรชายของอริยะสวรรค์เกรียงไกร ส่วนสำนักเลิศนพวิถีศรัทธาในเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ หากจะบอกว่ามหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ล้วนอยู่ในการควบคุมของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการแล้วก็ไม่นับว่าเกินไปเลย
วิธีการเช่นนี้เลิศล้ำเหลือเกิน!
เนื่องด้วยเหตุนี้ สือตู๋เต้าจึงไม่กดดันมากนัก
ในมุมมองของเขา ไม่ว่าจะสนับสนุนฝ่ายไหนเขาก็ไม่มีทางตาย
นายท่านต้องคุ้มครองข้าแน่!
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงอดส่ายหัวไม่ได้ สำหรับชนรุ่นหลังสองคนนี้เขาหมดกำลังจะชี้นำแล้ว ไม่ทราบเช่นกันว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเล่นของอันใดใส่ พวกเขาถึงได้จงรักภักดีถวายหัวกันเช่นนี้
ไม่นานนัก เหล่าผู้ทรงพลังจากฟ้าบุพกาลล้วนเข้าใกล้อนธการสิ้นแสง เว้นระยะห่างออกไปพันล้านลี้ ในระยะห่างนี้ยังคงอันตรายมาก กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นที่แผ่ออกมาจากร่างอนธการสิ้นแสงเพียงพอจะทำให้พวกเขาสะท้านใจ
รู้ดีว่ามีโอกาสตายสูง แต่พวกเขาจำเป็นต้องสู้!
“มีคนอยู่บนหัวมัน!”
อริยะเสรีรายหนึ่งหวีดร้องขึ้นมา น้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
สายตาของผู้บำเพ็ญทั้งหมดล้วนมองไปที่ศีรษะของอนธการสิ้นแสง มองเห็นเพียงว่ามีเงาดำๆ ที่ยากจะมองเห็นใบหน้าจริงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวของอนธการสิ้นแสง ร่างกายดูคล้ายกับมีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้อยู่ แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“นั่นคือ…”
สือตู๋เต้าและจิ่งเทียนกงเบิกตากว้าง ร่างสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงขมวดคิ้ว
ผู้นำทัพกลุ่มยอดมหามรรคคือหนึ่งในสิบยอดฟ้าบุพกาลของงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งที่หนึ่ง มหามรรคอัมพรโจวซ่ง
ยามนี้มหามรรคอัมพรโจวซ่งมีตบะระดับยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์แล้ว เป็นผู้ทรงพลังที่มีชื่อเสียงก้องสะท้านฟ้าบุพกาล เปิดแยกฟ้าดินเชื่อมต่อหยินหยาง หยั่งรู้อดีตและปัจจุบัน คล้ายจะไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้
รอบกายของมหามรรคอัมพรโจวซ่งยังคงมีสิบยอดฟ้าบุพกาลจากงานชุมนุมรอบต่างๆ อยู่หลายคน พวกเขาล้วนวิตกกังวลนัก
ตัวตนที่นั่งอยู่บนหัวของอนธการสิ้นแสงจะใช่เทพมารอนธการหานฮวงหรือไม่
“อย่าได้ตระหนกไป หานฮวงยังต่อสู้กับเก้ามหาฟ้าบุพกาลอยู่ คนผู้นี้มิใช่หานฮวงแน่นอน เตรียมออกศึก!”
มหามรรคอัมพรโจวซ่งสวมชุดดำปักลายแดง ลวดลายที่ปักประณีตงดงาม อาภรณ์สง่างามหรูหรา เสียงของเขาทำให้ผู้ทรงพลังทุกคนสงบใจลง
ดวงตาทั้งเก้าของอนธการสิ้นแสงกลอกหมุนไปมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าดาวดวงใดค่อยๆขยับเคลื่อนที่ เพียงขยับตัวเล็กน้อยก็เพียงพอจะบดขยี้ผู้รุกรานได้แล้ว
เหล่าผู้ทรงพลังพากันหลบเลี่ยง ตั้งขบวนโอบล้อม
บรรดาอริยะเสรีรีบโคจรพลังเวทก่อค่ายกล อริยะมหามรรคต่างนำสมบัติวิญญาณฟ้าบุพกาลออกมา ก่อตั้งเสาค่ายกลขึ้นในทิศทางต่างๆ ส่วนยอดมหามรรคกลับพุ่งไปที่หัวของอนธการสิ้นแสง พากันสำแดงพลังวิเศษโจมตีเข้าไป พลังเวทน่าหวาดหวั่นรวมตัวกัน สั่นสะเทือนจนห้วงมิติพังทลาย กระแสกาลเวลาหลั่งไหลร่วงหล่นลงมานับไม่ถ้วน เสมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมาสะกดอนธการสิ้นแสง แสงเจิดจ้ามหาศาลที่ก่อตัวขึ้นจากพลังเวทหล่นร่วงลงไปพร้อมกัน
แม้จะถูกโจมตีด้วยพลังเวทของยอดมหามรรคหลายคน แต่ร่างของอนธการสิ้นแสงกลับไม่สั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของมันยังคงกลอกหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผู้ทรงพลังทั้งหมดที่สบตากับมันต่างถูกสะกดพลังเวทและวิญญาณจนขยับเขยื้อนไม่ได้
ผ่านไปไม่ถึงสามลมหายใจ อริยะเสรีและอริยะมหามรรคที่พยายามจะคงรูปแบบค่ายกลไว้ถูกตัดขาดพลังวิเศษอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลใหญ่พังทลายลง
หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนหัวของอนธการสิ้นแสง ชมการต่อสู้อย่างได้อรรถรสนัก
ต้องกล่าวเลยว่า พรสวรรค์ในการต่อสู้ของเด็กคนนี้ยังคงแกร่งกล้านัก รับสืบทอดมาจากหานฮวง
หากมองจากจุดนี้ หานเจวี๋ยและหานฮวงยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภทกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสายเลือดหรือว่าด้านความคิด
แต่ก่อนหานเจวี๋ยก็เคยเป็นเทพมารอนธการเช่นกัน แต่ยังคงชอบการสืบทายาทด้วยการให้กำเนิดกับคู่บำเพ็ญ ถึงอย่างไรพื้นฐานจิตใจของเขาก็คือมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการสู่เทพมารอนธการ ยังคงให้ความใส่ใจบุตรธิดาอย่างยิ่ง
แต่หานฮวงกลับต่างกันไป เขาคือเทพมารอนธการแต่กำเนิด ไม่ใยดีแนวคิดด้านคู่ครองบุตรธิดา เมินเฉยว่างเปล่า
บางทีเทพมารอนธการอาจไม่เข้าใจความรู้สึกรักใคร่หรือมิตรภาพมาแต่เดิม และพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการ
ครืน…
อนธการสิ้นแสงพลันอ้าปากกว้าง อริยะเสรีและอริยมหามรรคไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดไหว ถูกดูดเข้าสู่ปากของมัน ทันทีที่เหยื่อเหล่านี้ผ่านเข้าสู่ปากก็กลับคืนร่างเดิม ล้วนมีร่างกายใหญ่โตมโหฬารนัก แต่พออยู่ต่อหน้ามันยังคงดูเล็กจ้อยอย่างยิ่ง
เสียงขบเคี้ยวที่คุ้นหูแว่วดังขึ้นอีกครั้ง ก้องสะท้อนไปทั่วห้วงอวกาศ
เหล่ายอดมหามรรคตกใจก่อนเริ่มเข้าให้ความช่วยเหลือผู้บำเพ็ญที่ขยับเขยื้อนไม่ได้เหล่านั้นในทันที
กลายเป็นการต่อสู้ฝ่ายเดียวเสียแล้ว!
พลังเวทของพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายอนธการสิ้นแสงได้เลย
ในเวลานี้เอง
มหามรรคอัมพรโจวซ่งพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังหานเจวี๋ย มือขวาขยับร่ายพลังซัดออกไป ตราประทับสีทองพุ่งออกมาจากฝ่ามือก่อนขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับมีดวงตะวันเจิดจ้ากำลังพุ่งเข้าหาหานเจวี๋ย
ตูม!
ตราประทับสีทองแตกสลาย มหามรรคอัมพรโจวซ่งถูกลำแสงท่วมทับ ผู้ทรงพลังจำนวนมากที่อยู่ห่างออกไปถูกพลังกระแทกจนสูญเสียประสาทสัมผัสไป
รอจนแสงเจิดจ้าสลายตัวลง ทุกคนเพ่งมองออกไป
ฟิ้ว…
มองเห็นเพียงว่ามหามรรคอัมพรโจวซ่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังหานเจวี๋ย ร่างกายเปรอะโลหิต ผมแผ่สยาย ตัวสั่นระริก
มหามรรคอัมพรโจวซ่งมองแผ่นหลังหานเจวี๋ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ เจตนาสังหารอันน่าหวาดหวั่นเข้าสะกดตรึงเขาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้
“เจ้า… เจ้าคือผู้ใดกันแน่”
มหามรรคอัมพรโจวซ่งเอ่ยถามซ้ำ เขาเคยประมือกับหานฮวงมาก่อน ถึงแม้จะสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะพ่ายแพ้เร็วขนาดนี้ เขามองเห็นไม่ชัดเจนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างไร
………………………………………………………………