บทที่ 1123 การมาถึงของอริยะสวรรค์เกรียงไกร ความพิโรธของสรรพสิ่ง
“พี่รอง ไม่มีเวลาให้ชักช้าต่อไปแล้ว อนธการสิ้นแสงกลืนกินอริยะมหามรรคเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่าว่าแต่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเลย แม้แต่อนธการสิ้นแสงก็เพียงพอจะกลืนกินทั้งฟ้าบุพกาลได้แล้ว!”
หานหลิงถ่ายทอดเสียงบอก สายตาของนางมองไปที่ร่างอนธการสิ้นแสง
หากเทียบกับช่วงที่เพิ่งต่อสู้แล้ว อนธการสิ้นแสงแข็งแกร่งขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยเท่า ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเร็วเช่นนี้เกินจริงไปแล้ว แม้แต่หานหลิงที่มีความรู้กว้างขวางก็ยังรู้สึกหวั่นวิตกเช่นกัน
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ยกมือขึ้น หานหลิงไม่ทันตั้งตัว ถูกดูดดึงเข้าไปทันที
หานฮวงตกใจและโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าไปขัดขวางทันที ผลคือถูกพลังล่องหนทำลายกายเนื้อ
หานเจวี๋ยบีบคอของหานหลิง เอ่ยด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ “วางแผนลับระหว่างต่อสู้ไม่ดีเลยนะ เจ้าตายไปเสียเถอะ”
เขากำมือขวาในทันใด หานหลิงกายสิ้นร่างมลาย ในครั้งนี้หานหลิงไม่คืนชีพขึ้นมาอีกแล้ว
ฉากนี้ทำให้ฝั่งสำนักซ่อนเร้นทุกคนตาแดงก่ำขึ้นมา
หานหลิงคือบุตรีที่หานเจวี๋ยรักถนอมที่สุด อีกทั้งเป็นศิษย์น้องเล็กของพวกเขา กลับต้องมาตายไปเช่นนี้!
เหล่าศิษย์สืบทอดแต่ละคนคำรามด้วยความโกรธพุ่งเข้าโจมตีหานเจวี๋ย
“พวกเจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่คู่ควรให้ข้าสังหาร เก็บไว้เป็นอาหารของเจ้าตัวน้อยด้านล่างดีกว่า”
หานเจวี๋ยเอ่ยเย้ยหยัน โจมตีศิษย์สำนักซ่อนเร้นให้ถอยร่นไปอีกครั้ง
เมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยที่มีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าทั้งฟ้าบุพกาล ตัวตนทั้งหมดในฟ้าบุพกาลดูเล็กจ้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
หานฮวงระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มที่ ทุ่มชีวิตพุ่งเข้าโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า บ้าคลั่งยิ่งกว่าทุกคน เป็นเทพมารอนธการที่คลุ้มคลั่งไปโดยสมบูรณ์
การดับสูญของหานหลิงเกิดแรงกระตุ้นต่อผู้ทรงพลังรายอื่นขึ้นมาอย่างลึกล้ำ ถึงอย่างไรหานหลิงก็เคยเป็นตัวตนไร้พ่ายที่สะกดข่มสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลไว้ได้
เหล่าผู้ทรงพลังล้วนสูญสิ้นสติไปจนสิ้น พลังที่สำแดงออกมาเหนือล้ำกว่าที่ผ่านๆ มา
“สู้ตาย!”
“สารเลว ต่อให้ต้องตาย ก็ขอตายอย่างมีเกียรติ!”
“ยืดหยัดไว้ อาจจะยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์!”
“ยังจะพึ่งใครได้อีก”
“อริยะสวรรค์เกรียงไกรอย่างไรเล่า นั่นคือผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายอย่างแท้จริง”
ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดที่เอ่ยถึงอริยะสวรรค์เกรียงไกรขึ้นมา ปลุกขวัญกำลังให้ฮึกเหิมขึ้นมา ผู้ทรงพลังรุ่นอาวุโสทั้งหมดล้วนทราบถึงความแข็งแกร่งของอริยะสวรรค์เกรียงไกรดี ยังมิเคยพ่ายแพ้มาก่อน
ถึงแม้ผู้สร้างมรรคาเหล่านั้นที่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเอ่ยถึงจะเลิศล้ำนัก แต่ในมุมมองของเหล่าผู้ทรงพลังแล้ว ชื่อเสียงยังห่างชั้นจากอริยะสวรรค์เกรียงไกรมาก พวกเขาล้วนเพิ่งเคยได้ยินนามของผู้สร้างมรรคาเป็นครั้งแรก
ฝ่ายสำนักซ่อนเร้นเองก็เป็นเช่นนี้ ขวัญกำลังใจเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล ถึงขั้นที่มีคนเตรียมจะสำแดงวิชาอัญเชิญเทพแล้ว แต่ถูกขัดขวางไว้
“อย่า อาจารย์กำลังมา จะต้องมาแน่ อย่าได้เรียกตัวก่อนเวลาจนทำให้แผนของอาจารย์รวนไป เจ้าคิดจริงๆ น่ะหรือว่าอาจารย์ไม่ทราบสถานการณ์ของที่นี่เลย”
จี้เซียนเสินเอ่ยเสียงขรึม เหล่าศิษย์คนอื่นๆ รู้สึกว่าคำพูดของเขามีเหตุผลจึงไม่คิดจะสำแดงวิชาอัญเชิญเทพอีก
“อริยะสวรรค์เกรียงไกรเช่นนั้นหรือ น่าขัน!
“คิดจริงๆ น่ะหรือว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรจะช่วยพวกเจ้าได้ เขาก็แค่หนอนโสมมที่ซ่อนตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในมุมมืดเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะให้พวกเจ้าได้เห็นว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรจะกล้าออกมาหรือไม่”
เสียงหัวเราะของหานเจวี๋ยเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เส้นแสงสีดำนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างใหญ่มโหฬารของเขา พุ่งสะเปะสะปะไปในฟ้าบุพกาล
แสงสีดำเหล่านี้เปี่ยมด้วยพลังทำลายล้าง มหามรรคสามพันวิถีถูกโจมตี ส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปยังเหล่าผู้ทรงพลังที่อยู่ใกล้กับอนธการสิ้นแสง
วินาทีนั้น เหล่าผู้ทรงพลังทั้งหมดไม่อาจขยับเขยื้อนได้ รวมถึงหานฮวงที่คลุ้มคลั่งอยู่
แย่แล้ว!
พวกเขาตระหนักได้ว่าตนถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการตรึงไว้แล้ว มองดูแสงสีดำที่พุ่งเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจตนาสังหารนี้เป็นความน่ากลัวซึ่งอยู่เหนือเกินขอบเขตที่พวกเขาจะรับไหว
หานฮวงจ้องหานเจวี๋ยเขม็ง เขาไม่กลัวตาย เพียงแต่ก่อนตายยังไม่ได้ล้างแค้นให้แก่หานหลิง ทำให้เขาเปี่ยมด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม
เขายังแข็งแกร่งไม่พอ!
หากว่าเขาใช้เวลาพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้น บางทีอาจจะไม่เป็นเช่นนี้…
หานฮวงนึกถึงบิดาตนขึ้นมา ในใจนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเงยหน้าขึ้น ถอนหายใจคราหนึ่ง
นับตั้งแต่มหาเทวาพ้นนิวรณ์ดับสูญไป เขาก็รู้ดีว่าจบสิ้นแล้ว
ลี่เหยาก็จ้องมองไปที่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเช่นกัน ดวงตาฉายแววเสียใจนิดๆ
หากว่าช่วงที่ผ่านมาไม่ออกมาโลดแล่น เพียรบำเพ็ญตลอด รอจนเกิดวิกฤตเช่นนี้ขึ้นแล้วค่อยออกมา บางทีนางอาจจะแสดงผลงานได้ดีกว่านี้
เจียงเจวี๋ยซื่อกำสองมือแน่น หากว่าเขาเลือกวนเวียนกำเนิดในสังสารวัฏก่อนมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะมาเยือน ตอนนี้อาจจะไม่อ่อนแอเช่นนี้
หานชิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเขาโมโหกระฟัดกระเฟียด ก่นด่าชุดใหญ่
ในช่วงที่ทุกคนสิ้นหวังและนึกเสียใจ แสงเจิดจ้าพลันส่องวาบขึ้น โล่สีทองแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือหัวพวกเขา ขวางกั้นแสงสีดำที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด โล่สีทองแผ่นนี้มีลักษณะคล้ายส่วนฐานของตราประทับ สลักลวดลายอักขระต่างๆ ไว้ ลึกล้ำน่าอัศจรรย์
ไม่ว่าลำแสงสีดำจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถทำลายปราการป้องกันของตราประทับสีทองได้
ตราประทับสีทองแผ่ครอบคลุมทั่วฟ้าบุพกาล ปิดกั้นการโจมตีทั้งหมดของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
ในเวลานี้เอง เจตนาสังหารน่าพรั่นพรึงที่พันธนาการเหล่าผู้ทรงพลังไว้พลันสลายไป ความอบอุ่นที่ยากจะบรรยายได้เข้ามาแทนที่ มีพลังลึกลับประการหนึ่งช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขา
“ปฐมยุคประทับนภา…”
หานฮวงมองแสงทองเหนือหัว พึมพำกับตัวเอง ความยินดีอย่างบ้าคลั่งฉายชัดบนใบหน้า
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นก็ปรีดาอย่างบ้าคลั่งอยู่เช่นกัน
ผู้อาวุโสของบ้านพวกเขามาแล้ว!
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ เจ้าทำเกินไปแล้ว”
น้ำเสียงเฉยชาสายหนึ่งแว่วเข้ามา ผู้ทรงพลังทั้งหมดหันไปมอง เห็นเพียงเงาร่างหนึ่งที่มีแสงเทพสาดส่องเจิดจ้าย่างก้าวเข้ามา เขาเปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังของมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ ขับไล่ความมืดมิดออกไป เดินเนิบๆ เข้ามา
กลิ่นอายทรงพลังเลิศล้ำสายนั้นสะเทือนสรรพสิ่ง ทิ้งภาพจำที่ไม่มีวันเลือนหายไป
นี่ก็คืออริยะสวรรค์เกรียงไกร!
อริยะสวรรค์เปี่ยมกุศลเกรียงไกร!
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการมองหานเจวี๋ยที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีความตระหนกลนลาน กลับเอ่ยหยอกเย้าว่า “ในที่สุดเจ้าก็ทนไม่ไหวจนออกจากอาณาเขตเต๋ามาแล้วอย่างนั้นหรือ น่าเสียดาย เจ้ามาช้าเกินไป หากร่วมมือกับผู้สร้างมรรคาเหล่านั้น อาจจะยังพอมีโอกาสรอด”
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ “นับแต่โบราณมา อธรรมไม่เคยเหนือกว่าธรรมะ วิถีของเจ้าปนเปื้อนแรงกรรมมากเกินไป จะต้องถูกกำจัด”
เขาชูมือขวาขึ้น ปฐมยุคประทับนภาหายไป แสงเทพสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากฝ่ามือ พุ่งทะยานขึ้นไป ทะลวงผ่านมหามรรคสามพันวิถี ผสานรวมเข้ากับกฎเกณฑ์สูงสุดที่รวมตัวขึ้นใหม่
เจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดผสานรวมกันสมบูรณ์แล้ว กลายเป็นกฎเกณฑ์สายใหม่
“ฟ้าบุพกาลคือรากเหง้าของสรรพสิ่ง หากพยายามลบล้างมหาโชค จะต้องยอมรับผลสะท้อนกลับจากมหาโชค!
“จงรับรู้ถึงพลังแห่งสรรพสิ่งเถิด!”
เสียงของหานเจวี๋ยดังก้องฟ้าบุพกาล พอสิ้นเสียงเขา กฎเกณฑ์สูงสุดสายใหม่พังทลายลง กลายเป็นละอองแสงนับไม่ถ้วนพพร่างพรมไปทั่วฟ้าบุพกาล
บรรดาผู้ทรงพลังที่ถูกพร่างพรมโดยละอองแสงเหล่านี้ หลบเลี่ยงไม่ทัน จากนั้นก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพลังเวทของตนเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน
“นี่คือ…”
เทวีตราวินัยเอ่ยเสียงสั่น แม้แต่ตัวนางที่ผ่านประวัติศาสตร์มานับไม่ถ้วนก็ไม่สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์นี้ได้
ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขยายใหญ่ขึ้น ตัวตนทั้งหมดที่อยู่ในสนามรบล้วนแข็งแกร่งขึ้น ยกเว้นเพียงอนธการสิ้นแสงและเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
นี่คือลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของหานเจวี๋ย ขณะนี้เขาแบ่งเสี้ยวพลังของตนให้สรรพสิ่ง สร้างเจตจำนงแห่งฟ้าบุพกาลขึ้น
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ จงเผชิญกับความพิโรธของสรรพสิ่งเถิด!”
เสียงของหานเจวี๋ยเปี่ยมด้วยไอสังหาร พอสิ้นเสียงเขา เทพมารอนธการทั้งสามก็เข้าโจมตีเจ้าแดนต้องห้ามอันธการทันที
วินาทีนี้ พลังของพวกเขาบรรลุถึงจุดเดียวกันกับผู้สร้างมรรคาแล้ว แม้ว่าระดับจะยังไม่ถึง แต่ด้วยพลังแห่งเทพผู้สร้างที่เหนือกว่าผู้สร้างมรรคา ทำให้พลังของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าผู้สร้างมรรคาเลย
“โอหัง!”
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการตวาดกร้าว ซัดฝ่ามือออกไป ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดกลายเป็นคลื่นซัดโถมใส่สามเทพมารอนธการ ผลคือถูกสามเทพมารอนธการบังคับทำลายลง
………………………………………………………………