ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 1135 ห้วงเวลาต้นกำเนิด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1135 ห้วงเวลาต้นกำเนิด

หานเจวี๋ยเรียกดูรายชื่อเหล่าสหาย รูปประจำจี้เซียนเสินยังอยู่มิได้ตายจากไป

แต่เมื่อเขาสอดส่องยุคสมัยไร้สิ้นสุดกลับหาตัวจี้เซียนเสินไม่พบเลย ไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคตก็หาตัวเขาไม่พบทั้งสิ้น รวมถึงจี้เซียนเสินที่อยู่ในอดีตของหานเจวี๋ยก็หายไปด้วย

ตบะของหานเจวี๋ยเหนือชั้นเลิศล้ำ ดังนั้นจึงยังจดจำจี้เซียนเสินได้ แต่นอกจากตัวเขาแล้วทุกคนล้วนลืมเลือนจี้เซียนเสินไป รวมถึงเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นด้วย ราวกับบนโลกนี้ไม่เคยมีจี้เซียนเสินอยู่

‘น่าสนใจอยู่บ้าง ห้วงเวลาต้นกำเนิด…’

หานเจวี๋ยคิดจะเข้าฝันแต่กลับไม่สามารถเข้าฝันได้ หาตัวจี้เซียนเสินไม่พบเลย

เขาจำเป็นต้องเรียกใช้ความสามารถวิวัฒนาการ

‘ข้าอยากทราบพิกัดของจี้เซียนเสิน’

[ไม่สามารถวิวัฒนาการถึงบ่วงกรรมของเขาได้ ตรวจสอบไม่พบในดินแดนเวิ้งว้าง]

น่าสนใจ

‘จี้เซียนเสินมีโอกาสจะเหนือกว่าข้าหรือไม่’

ถึงแม้จะเป็นลูกศิษย์ แต่ใจคนเปลี่ยนแปลงได้ หากสมควรป้องกันก็ต้องกันไว้ก่อน

หากอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้แล้ว ก็ต้องคอยระวังว่าอีกฝ่ายจะประสบวาสนาในคราวเคราะห์จนแซงหน้าตนไปหรือไม่

หากว่ามีโอกาส หานเจวี๋ยไม่มีทางสาปแช่งจี้เซียนเสินแต่จะเพิ่มความพยายามในการฝึกบำเพ็ญมากขึ้น วันหน้าหากต้องปะทะกับจี้เซียนเสินเข้า จะได้เผชิญหน้าอย่างระมัดระวัง

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหกแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่มีทางเป็นไปได้ การบรรลุระดับเทพผู้สร้างจะต้องมีคุณสมบัติที่เลิศล้ำกว่าเทพมารอนธการ ในห้วงเวลาต้นกำเนิดปราศจากโอกาสวาสนานี้และไม่มีความเป็นไปได้นี้]

หานเจวี๋ยสบายใจแล้ว

ระบบของเขาแปลงสภาพมาจากเจตจำนงของดินแดนเวิ้งว้าง เท่ากับเป็นโอกาสวาสนาสูงสุดแห่งดินแดนเวิ้งว้าง ได้รับการหล่อเลี้ยงจากผู้ใช้งานรุ่นก่อนๆ มานับไม่ถ้วน ยากนักที่จะมีผู้ใดไล่ตามเขาได้ทัน

แต่หานเจวี๋ยยังคงไม่คลายความระมัดระวังลงง่ายๆ จี้เซียนเสินทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะทำไม่ได้

เขาก็ไม่ได้สอบถามเช่นกันว่ามีโอกาสที่ตนจะถูกแซงหน้าไปหรือไม่

เขากลัวจะได้คำตอบว่าไม่มีวันถูกแซงหน้า

หานเจวี๋ยไม่อยากให้ตัวเองหย่อนยาน

ห้วงเวลาต้นกำเนิดอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยมีความคิดในใจแล้ว เขาสร้างร่างแยกร่างหนึ่งขึ้นมาทันที ส่งเข้าสู่ห้วงกาลเวลา ออกค้นหาห้วงเวลาต้นกำเนิด

จากนั้นเขาก็ตรวจดูจดหมายต่อไปเรื่อยๆ

ร้อยล้านปีที่ผ่านมา ยุคสมัยไร้สิ้นสุดนับว่าเข้าสู่ความสงบสุขแล้ว ถึงแม้จะเกิดการต่อสู้ในแวดวงสหายบ้างเป็นบางครั้ง แต่เมื่อเทียบกับในยุคมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่แล้วไม่ได้สมัครสมานกันขนาดนั้นอีกต่อไป

หลังสิ้นสุดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ เมื่อยุคสมัยไร้สิ้นสุดมาเยือน มีโลกใหม่ๆ ถือกำเนิดขึ้นทุกวัน ภายในสำนักซ่อนเร้นก็เริ่มปรากฏปัญหาแฝงแล้ว

ศิษย์บางส่วนเริ่มเกิดความขัดแย้งกัน

เทียบได้กับการต่อสู้บุกเบิกอาณาจักร ช่วงที่ต่อสู้จะเกาะกลุ่มสมัครสมาน แต่พอรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็จะเริ่มต่อสู้แก่งแย่งอำนาจ หานเจวี๋ยไม่สามารถบังคับควบคุมรูปการณ์นี้ได้ ต่อให้ถูกคุกสวรรค์ปฐมยุคสยบทาสก็จะมีเพียงความภักดีต่อหานเจวี๋ยเท่านั้น ไม่มีความอ่อนโยนเมตตาต่อคนอื่นเพิ่มขึ้นมา

สำหรับเค้าลางที่ปรากฏขึ้นมานี้ หานเจวี๋ยเพียงปล่อยไปตามธรรมชาติ ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหาในแบบของตัวเอง ปล่อยให้พวกเขาสู้กันไปเองแล้วกัน

ช่วงเวลาต่อจากนั้น ฉู่เสี่ยวชีเสมือนบ้าคลั่งไปแล้ว จมจ่อมอยู่ภายในเขตอาคมตลอด ครั้งนี้อยู่นานถึงแปดสิบปี

หลังผ่านไปแปดสิบปี ฉู่เสี่ยวชีออกจากเขตอาคม เขาเข้ามาหาหานเจวี๋ย

รูปลักษณ์ของเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย แต่โครงสร้างร่างกายดูแข็งแกร่งกำยำขึ้นมาก หว่างคิ้วแฝงไอสังหารจากการผ่านสนามรบมานับไม่ถ้วนขึ้น

ช่วงหลายปีมานี้ ตบะของเขาแทบจะไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย แต่พละกำลังกลับเปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับเหว

เมื่อฉู่เสี่ยวชีพบหน้าหานเจวี๋ยประโยคแรกที่เอ่ยถามคือ “ท่านปู่ ข้าจะได้พบหว่านเอ๋อร์เมื่อไรขอรับ”

เด็กคนนี้ไม่ได้โง่ คาดเดาได้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร แต่เขาก็ไม่ได้ร้องขอให้หานเจวี๋ยยอมปล่อยให้พวกเขาได้พบกัน เพราะเขารู้ดีว่านี่คือหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เมื่อถึงยามที่สมควรพบย่อมจะได้พบ เรื่องวาสนาเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องพยายามด้วยตัวเอง มิใช่เฝ้ารอคอย”

ฉู่เสี่ยวชีตกอยู่ในห้วงความคิด

จู่ๆ เขาก็ยิ้มยิงฟันขึ้นมา เอ่ยไปว่า “ต้องฝึกบำเพ็ญสักพันปีก่อนกระมัง ในช่วงเวลานี้จะไปเล่นกับพวกสาวน้อยสักสองสามร้อยคนดู สาวน้อยคนนี้ขี้หึงมาก นางอาจจะทราบเรื่องเข้าก็ได้”

เขามีท่าทางไม่ได้เรื่องได้ราวขึ้นมาอีกครั้ง แต่หานเจวี๋ยทราบดีว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพราะตอนนี้ฉู่เสี่ยวชีก็ไม่มีโอกาสไปเล่นกับสาวๆ ที่ใดแล้วเช่นกัน

“ท่านปู่ บุตรชายของท่านนามว่าอะไรหรือขอรับ หลายปีมานี้ข้าถามเขาตลอด แต่เขาไม่ตอบเลย เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ เขาเป็นระดับมหายานหรือขอรับ”

ฉู่เสี่ยวชีถามอย่างมีความหวัง ตอนนี้เขาเลื่อมใสในตัวหานทั่วเป็นที่สุด การฝึกบำเพ็ญในช่วงหลายปีมานี้ทำให้เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหานทั่วผ่านประสบการณ์แบบใดมาบ้าง

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “เมื่อถึงเวลาที่ควรบอกเขาจะบอกเอง”

“แต่เขากำลังจะไปแล้วนะขอรับ!”

“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องพยายามให้มากเข้า พยายามไปถึงโลกที่เขาอยู่ให้ได้ในสักวันหนึ่ง”

“ก็ได้ขอรับ”

ฉู่เสี่ยวชีถอนหายใจ เขาอ่อนแอเกินไปจริงๆ มิเช่นนั้นศิษย์น้องของเขาคงไม่ตาย เขากับถังหว่านคงไม่ถูกตามไล่ล่า

ด้านนอกประตู หานทั่วคารวะลาหานเจวี๋ย จากนั้นก็กระโดดออกจากโลกมหามรรคแห่งนี้ไป ความเร็วในชั่วลมหายใจเดียวนี้ ด้วยระดับความเร็วของฉู่เสี่ยวชีต้องใช้เวลาอีกไม่รู้กี่ร้อยล้านปีถึงจะไล่ตามทัน

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “จากนี้วางแผนไว้ว่าอย่างไร ฝึกบำเพ็ญต่อหรือว่าออกไปท่องโลกสักรอบ”

ฉู่เสี่ยวชีคิดเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ฝึกบำเพ็ญต่อกระมัง ถึงแม้ข้าจะแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอจะเป็นผู้ไร้พ่ายในใต้หล้า ได้อยู่ข้างกายท่านนี่คือโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ไยต้องวิ่งไปทั่วอีกขอรับ!”

ฉู่เสี่ยวชียิ้มอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็เริ่มทุบหลังนวดไหล่ให้หานเจวี๋ย

ไม่ว่าเขาจะโตขนาดไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มในวันวานคนนั้นอยู่

สองปู่หลานพูดคุยกันอยู่สักพัก ฉู่เสี่ยวชีถึงได้ไปฝึกบำเพ็ญ

หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อเช่นกัน สำหรับตัวเขาในปัจจุบันนี้ อยู่ที่ใดก็ฝึกบำเพ็ญได้ทั้งนั้น บรรลุถึงเทพผู้สร้างแล้วไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญพลังเวทอีก ตบะเขาเพิ่มขึ้นด้วยความเข้าใจ เข้าใจในเรื่องราวใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน

เคล็ดฝึกบำเพ็ญที่หานเจวี๋ยถ่ายทอดให้ฉู่เสี่ยวชีเพียงพอจะให้เขาฝึกบำเพ็ญไปถึงขั้นมหายานได้ ดังนั้นอนาคตต่อจากนี้ไปฉู่เสี่ยวชีจึงไม่ได้มารบกวนหานเจวี๋ยอีก

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ฤดูกาลหมุนเวียนสับเปลี่ยน เรื่องราวในโลกาเปลี่ยนแปลงไป คฤหาสน์บนเขาหลีกเร้นจากโลกภายนอก

เวลาผ่านไปห้าร้อยปี

ฉู่เสี่ยวชีฝ่าด่านเคราะห์มหายาน เตรียมมุ่งสู่ระดับเซียนอิสระ เมื่อเผชิญกับด่านเคราะห์นี้เขาประหม่าอย่างยิ่ง ขอเพียงเขาฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จก็สามารถโบยบินขึ้นสู่พิภพเซียนได้ ไปตามหาถังหว่านได้แล้ว

ในใจเขามีความกระสับกระส่ายเล็กน้อย นางผ่านประสบการณ์ในแดนเซียนไปแล้วจะยังชอบเขาอยู่หรือไม่

ช่วงหลายร้อยปีมานี้สำหรับหานเจวี๋ยแล้วสั้นมากนัก แต่สำหรับฉู่เสี่ยวชีแล้วกลับเป็นความทรมานอย่างยิ่ง

เมื่อผ่านวันเวลาไป ความคิดถึงของเขากลายเป็นความทรมาน

ก่อนหน้านี้มีถังหว่านอยู่ข้างกายเขาไม่เห็นค่า แต่พอถังหว่านไปแล้วเขากลับคะนึงหา

หานเจวี๋ยเดินออกจากเรือน ทอดมองฉู่เสี่ยวชีฝ่าเคราะห์

ถึงแม้ฉู่เสี่ยวชีจะวิตกกังวล แต่หานเจวี๋ยวิเคราะห์ได้ว่าเขาจะฝ่าด่านสำเร็จแน่นอน

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ อีกสี่สิบเก้าวันให้หลัง ฉู่เสี่ยวชีสำเร็จเป็นเซียนอิสระ ลำแสงสายหนึ่งพุ่งลงมาจากนภา ครอบคลุมร่างฉู่เสี่ยวชี ทะลุท้องนภาดูดตัวฉู่เสี่ยวชีขึ้นสู่ด้านบน

ฉู่เสี่ยวชีหันกลับไปมองคฤหาสน์บนเขา หลังจากบรรลุระดับมหายานเขาถึงมองออกมาว่าในคฤหาสน์มีวิญญาณร้ายซ่อนตัวอยู่นับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนถูกพลังเวทลึกลับสะกดเอาไว้ใต้คฤหาสน์

มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกมืดมนอึมครึม ที่นี่มีผีอยู่จริงๆ…

ที่แท้ท่านปู่ก็ปกป้องพวกเขามาตลอด…

ฉู่เสี่ยวชีตะโกนเสียงดัง “ท่านปู่ ข้าจะโบยบินขึ้นไปแล้ว วันหน้าค่อยพบกันในแดนเซียนนะขอรับ!”

แรงดึงดูดช่างแกร่งกล้านัก เขาไม่อาจหยุดยั้งได้เลย ถูกบังคับให้ลอยให้ขึ้นไป

“ท่านปู่ ข้าจะระลึกถึงท่านตลอดไป วันหน้าหากมีโอกาสข้าจะกตัญญูต่อท่านแน่นอน!”

ฉู่เสี่ยวชีตะโกนต่อไป เสียงดังก้องกังวาน

หว่านเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว!

ในเวลานี้เอง เสียงของหานเจวี๋ยแว่วขึ้นมา “ในเมื่อคิดเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าขึ้นไปเลย”

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

Status: Ongoing
ชาติก่อนอายุสั้น ไม่ทันได้ใช้ชีวิต ชาตินี้จึงขอพากเพียรบำเพ็ญเซียน ลาภยศสตรีมีหรือจะสู้การเป็นอมตะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท