บทที่ 1144 สัญชาตญาณผิดเพี้ยน
Ink Stone_Fantasy
“สถานที่ที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนอย่างนั้นหรือ”
มู่หรงฉี่อดขบขันไม่ได้ บนโลกนี้ยังจะมีสถานที่ใดที่ปู่ของเจ้าไม่รู้จักอยู่อีกหรือ
ท่านปู่ของเจ้าเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งเชียวนะ
หานเหลียงเอ่ยด้วยสีหน้ามุ่งหวัง “ข้าคิดมาตลอดว่าท้องนภาจะสูงเพียงใด แปดทิศกว้างไกลขนาดไหน พี่มู่หรง ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าในสถานที่ที่อยู่ไกลแสนไกลออกไปมีบางสิ่งกำลังเพรียกหาข้าอยู่”
มู่หรงฉี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดีเถอะ ด้วยตบะของเจ้าในตอนนี้ออกไปอยู่ด้านนอกไม่นานก็คงถูกคนอื่นเขาจับกินทั้งเป็น”
“ชิ ดีแต่ขู่ขวัญข้า”
“ในแบบจำลองการทดสอบยังมีคนอีกมากที่เจ้าสู้ไม่ได้ นี่เป็นเพียงในอาณาเขตเต๋าของพวกเราเท่านั้น เจ้าคิดดูว่าโลกภายนอกมีคนอยู่มากมายปานใด”
“แต่ในบรรดานั้นก็มีคนที่ข้าไม่เคยพบเห็นตัวจริงในอาณาเขตเต๋าเลยเช่นกัน พวกเขาต้องเป็นผู้คนด้านนอกแน่ๆ”
“เจ้ายังคงฉลาดนัก”
“แน่อยู่แล้ว!”
ทั้งสองคนคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้
หากหานเจวี๋ยไม่อนุญาต หานเหลียงก็ไม่สามารถออกจากอารามเต๋าได้ แม้จะขอร้องมู่หรงฉี่ไปก็ไม่มีประโยชน์
หลังจากมู่หรงฉี่ไปแล้ว ก็มีศิษย์คนอื่นมาเล่นเป็นเพื่อนหานเหลียงต่อ เรียกได้ว่าหานเหลียงได้รับความเอ็นดูเอาใจอย่างท่วมท้น
แม้จะเป็นหลานแท้ๆ เหมือนกัน แต่ฉู่เสี่ยวชีกลับไม่ได้โชคดีถึงเพียงนั้น
หลังจากหวงจุนเทียนถ่ายทอดความรู้ที่มีให้ฉู่เสี่ยวชีเสร็จก็จากไป ปล่อยให้ฉู่เสี่ยวชีเผชิญโลกเพียงลำพัง
ด้วยคำสั่งของหวงจุนเทียน ฉู่เสี่ยวชีได้ลาออกจากตำแหน่งเซียน เรื่องนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจให้แก่เผ่าเทพ หากเทพเซียนอยากออกจากตำแหน่งก็ออกไปได้ง่ายๆ เช่นนั้นแล้วเผ่าเทพยังจะเหลือความน่าเกรงขามอันใดอยู่อีกเล่า ด้วยเหตุนี้ฉู่เสี่ยวชีจึงเผชิญการไล่ล่าสังหาร
ฉู่เสี่ยวชีสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง เขามีความรู้สึกดีต่อเผ่าเทพถึงได้กลับไปบอกลา หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ มิสู้แกล้งตายแล้วหนีไปเลยดีกว่า ยังไม่แน่เลยว่าเผ่าเทพจะจดจำเขาได้
หลังจากหวงจุนเทียนถ่ายทอดวิชาให้ ฉู่เสี่ยวชีก็เปลี่ยนไปจากเดิม เทพเซียนธรรมดามิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
ฉู่เสี่ยวชีที่ถูกเผ่าเทพไล่ล่าสังหารได้สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากการต่อสู้สังหาร จนกระทั่งเขาเผชิญหน้ากับเฉินเจวี๋ยเข้า
เนื่องจากจัดการฉู่เสี่ยวชีได้ยาก เผ่าเทพจำเป็นต้องส่งเฉินเจวี๋ยมา
ก่อนหน้าฉู่เสี่ยวชีมีความประทับใจในตัวเฉินเจวี๋ยเป็นพิเศษ แม้ว่าเฉินเจวี๋ยจะไม่รู้จักเขาก็ตาม ดังนั้นพอถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับเฉินเจวี๋ย เขาก็ยังคงรู้สึกกดดันนัก
“ฉู่เสี่ยวชี ยอมจำนนเสีย!”
เฉินเจวี๋ยสวมเกราะเงินของเผ่าเทพ สวมกวานผมปักขนปีกหงส์ไว้ สวมเสื้อคลุมกันลมปลิวสะบัดดังพรึบพรับกลางอากาศ เพียงรัศมีพลังก็เพียงพอจะทำให้คนนึกถึงคำว่าเทพสงครามได้แล้ว
รูปโฉมของฉู่เสี่ยวชีก็นับว่าโดดเด่นเช่นกัน แต่พออยู่ต่อหน้าเฉินเจวี๋ยแล้วมักจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตนนัก
เฉินเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยไปว่า “เห็นแก่ที่พวกเราเข้ามาเป็นเทพเซียนรุ่นเดียวกัน ข้าไม่อยากลงมือกับเขา ยอมให้จับกุมแต่โดยดีเสีย!”
เขาขยับเข้าใกล้ฉู่เสี่ยวชีต่อ
อักขระสีดำแปลกประหลาดสายหนึ่งพลันผุดขึ้นมากลางหว่างคิ้วเขา ผู้กำหนดชะตาเคราะห์ เขาได้รับสืบทอดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคจากหวงจุนเทียน!
เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินเจวี๋ยที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ฉู่เสี่ยวชีตัดสินใจว่าจะทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าปะทะ
ฉู่เสี่ยวชีเร่งความเร็วสุดขีด เฉินเจวี๋ยยังไม่ทันตอบสนอง ฉู่เสี่ยวชีก็ลงมือจากทางด้านหลังเขา ซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือที่ซัดออกมาเต็มไปด้วยมวลหมู่ดารา ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงดาวที่ขายใหญ่ขึ้นพุ่งเข้ากระแทกเฉินเจวี๋ย จนเขากระเด็นไปสู่ขอบฟ้า
ครืน! ครืน! ครืน…
เฉินเจวี๋ยถูกดวงดาวดวงแล้วดวงเล่าพุ่งชนอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อกระทบร่างเฉินเจวี๋ยก็ระเบิดออกในทันที พลังอันน่าหวาดหวั่นนั้นทำเฉินเจวี๋ยต้านรับไม่ไหวอยู่บ้าง
ดวงดาวเหล่านี้แต่ละดวงใหญ่โตราวกับขุนเขา ทันทีที่กระทบเข้ากับร่างของเฉินเจวี๋ยก็ระเบิดออกทันที พลังอันน่าหวาดหวั่นนั้นทำให้เฉินเจวี๋ยค่อนข้างต้านไม่อยู่
“เด็กคนนี้…”
เฉินเจวี๋ยตกตะลึงอยู่ในใจ จำเป็นต้องสำแดงพลังวิเศษออกมา เคลื่อนย้ายหลบหลีก
เขาเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้น ดาวเคราะห์อีกดวงก็พุ่งชนเขาแล้ว มีดวงดาวนับไม่ถ้วนตามหลังมา พุ่งกระแทกจนเขามึนงงหลงทิศทาง
เฉินเจวี๋ยเคลื่อนย้ายต่อไป แต่ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนย้ายไปในทิศทางใด ดวงดาวเหล่านั้นก็ยังตามมาหลอกหลอน ไล่ตามเขาไปตลอด
นี่คือความสามารถพิเศษที่ฉู่เสี่ยวชีได้รับมาหลังจากกลายเป็นผู้กำหนดชะตาเคราะห์ ในยามที่ผู้กำหนดชะตาเคราะห์ทุกคนได้รับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคก็จะได้รับความสามารถพิเศษส่วนบุคคลด้วย เทียบได้กับพรสวรรค์ฟ้าประทาน
ฉู่เสี่ยวชีใช้ความสามารถของตนจนเชี่ยวชาญแล้ว เขารู้สึกว่าทรงพลังนัก แทบจะไร้พ่ายเลย
ผลลัพธ์ได้ยืนยันความคิดของเขาแล้ว แม้แต่เฉินเจวี๋ยที่แข็งแกร่งก็ยังถูกข่มได้
ดวงดาวเหล่านี้อัญเชิญมาด้วยพลังเวทของเขา ไม่แตกต่างไปจากดวงดาวของจริงเลย
หลังจากได้รับการสั่งสอนจากหวงจุนเทียน ตบะของฉู่เสี่ยวฉีใกล้จะตามเฉินเจวี๋ยทันแล้ว ดังนั้นพลังวิเศษของเขาจึงเพียงพอจะสะกดข่มเฉินเจวี๋ยได้
‘ข้าช่างแข็งแกร่งนัก!’
ฉู่เสี่ยวชีตื่นเต้นอยู่ในใจ ความประทับใจที่มีต่อหวงจุนเทียนเพิ่มสูงขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด
พลังวิเศษที่อาจารย์ถ่ายทอดให้เขาสะกดข่มได้แม้กระทั่งเฉินเจวี๋ย!
ฉู่เสี่ยวชีลิงโลด ไม่รีบร้อนหลบหนีอีก สำแดงพลังวิเศษออกมาอย่างต่อเนื่อง กดข่มเฉินเจวี๋ยจนหล่นร่วงลงสู่พื้น ไม่นานนักเกราะเทพก็แตกเสียหาย โลหิตเปรอะร่าง น่าอนาถอย่างยิ่ง
เฉินเจวี๋ยก็โมโหมากเช่นกัน ดวงดาวเหล่านี้ตามติดคนเกินไปแล้ว คอยกดข่มบดขยี้เขา ทำให้เขาไร้กำลังจะโต้กลับได้
จู่ๆ ฉู่เสี่ยวชีก็รู้สึกทนไม่ค่อยได้ขึ้นมา ถึงอย่างไรตอนที่เฉินเจวี๋ยเพิ่งตามเขามาก็ไม่ได้ลงมือในทันที ช่างเถิด ฉู่เสี่ยวชีระงับพลัง กลายเป็นแสงรุ้งพุ่งหายลับไปยังขอบฟ้า
ทว่าเฉินเจวี๋ยทะยานขึ้นมาจากซากปรักหักพัง ตามไล่ล่าฉู่เสี่ยวชีต่อ
ในด้านความเร็ว ฉู่เสี่ยวชียังห่างชั้นจากเฉินเจวี๋ยนัก
เมื่อเฉินเจวี๋ยไล่ตามมา ฉู่เสี่ยวชีสำแดงพลังเวทอีกครั้ง สกัดเฉินเจวี๋ยไว้
พอวนซ้ำอยู่หลายครั้งเข้า ฉู่เสี่ยวชีตื่นตระหนกแล้ว
ถึงแม้เฉินเจวี๋ยจะสู้เขาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถสังหารเฉินเจวี๋ยได้เช่นกัน พลังเวทของเขาใกล้จะหมดแล้ว แต่เฉินเจวี๋ยยังอยู่ในสภาพเต็มร้อยอยู่
เป็นไปได้อย่างไร!
คนผู้นี้มีพลังเวทไร้ขีดจำกัดอย่างนั้นหรือ
ฉู่เสี่ยวชีคำรามกราดเกรี้ยวอยู่ในใจ ความอิจฉาผุดขึ้นมาในหัวใจ
พรสวรรค์!
เขารู้ดีว่าพลังเวทจะมากหรือน้อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิชายุทธ์ แต่ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติส่วนตัว
แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่พลังเวทของบุตรแห่งสวรรค์เหนือชั้นกว่าคุณสมบัติของคนทั่วไป!
ท้ายที่สุด ในยามที่พลังเวทของฉู่เสี่ยวชีใกล้จะหมดลง หอกวิเศษของเฉินเจวี๋ยพุ่งตัดผ่านนภามา หอกแทงทะลุร่างฉู่เสี่ยวชี โลหิตสาดกระจาย ฉู่เสี่ยวชีร่วงหล่นลงไป จมลงสู่มหาสมุทร ก่อให้เกิดคลื่นสูงพันจั้ง
สติของฉู่เสี่ยวชีตกอยู่ในภาวะสะลึมสะลือ ในความเลือนราง เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งผ่านผิวทะเล ว่ายเข้ามาหาเขา
น่าชังนัก…
ข้ายังคงอ่อนด้อยเกินไป…
ฉู่เสี่ยวชีทอดถอนใจ แม้แต่เฉินเจวี๋ยก็ยังสู้ไม่ได้ แล้วจะออกจากแดนเซียนได้อย่างไร จะไปเยือนโลกที่สูงชั้นกว่าได้อย่างไร
เขานึกถึงท่านปู่ของตน นึกถึงถังหว่าน
ไม่ยอม!
ยอมรับไม่ได้จริงๆ!
ถึงไม่อยากยอมแพ้ แต่ฉู่เสี่ยวชีมาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาหมดสติสลบไป
….
ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถอนหายใจเบาๆ
หานเหลียงลืมตาขึ้นมา มองไปทางท่านปู่อย่างสนใจใคร่รู้
น้อยครั้งนักที่ท่านปู่จะถอนหายใจออกมา
เขาอยากถามแต่ก็กลัวจะโดนท่านปู่ดุ
หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง กำลังหาประสบการณ์อยู่ด้านนอก ไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือเขา เขากำลังจะตาย เจ้าคิดว่าปู่ควรลงมือช่วยเหลือหรือไม่”
หานเหลียงเบิกตากว้าง ลุกพรวดขึ้นมาทันที เอ่ยว่า “ต้องช่วยสิขอรับ! ท่านปู่ พาข้าไปด้วยเถิด ผู้ใดบังอาจมาข่มเหงพี่น้องของข้า ข้าจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ เสีย!”
“ฮ่าๆ เจ้าอยากออกไปหรือ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้”
“ไม่ออกไปก็ได้ขอรับ แต่ท่านปู่ ท่านต้องช่วยเขานะขอรับ หากท่านไม่ช่วยเขา วันหน้าเกิดเรื่องกับข้า ท่านก็คงไม่ช่วยแน่”
หานเหลียงเบะปาก แสร้งทำเป็นคับข้องหมองใจ
หานเจวี๋ยยิ้มละไมเอ่ยถามไปว่า “เจ้าไม่กลัวเขาจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าหรือ”
หานเหลียงส่ายหัวพลางถามกลับว่า “แข็งแกร่งกว่าข้าแล้วอย่างไรขอรับ ในสำนักซ่อนเร้นมีคนตั้งมากมายที่แข็งแกร่งกว่าข้า!”
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่าเขาพูดจากใจจริง อดไม่ได้ที่รู้สึกยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
สัญชาตญาณของเด็กคนนี้ผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า
ไหนบอกว่าถือกำเนิดมาพร้อมสัญชาตญาณในการทำลายล้างทุกสิ่งอย่างไรเล่า
………………………………………………………………