บทที่ 1145 โชคชะตา (1)
“ท่านปู่ เร็วเข้าเถิดขอรับ อย่าชักช้าจะช่วยไม่ทันการณ์นะขอรับ!”
หานเหลียงเดินมาอยู่ข้างกายหานเจวี๋ย เขย่าแขนของเขาพลางเอ่ยวาจา ท่าทางออดอ้อนฉอเลาะ ไม่เหมือนเด็กผู้ชายแต่คล้ายเด็กผู้หญิง
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ในช่วงเวลาที่พวกเราปู่หลานคุยกันอยู่ เขาได้รับความช่วยเหลือแล้ว”
หานเหลียงเบิกตากว้าง เอ่ยถาม “ผู้ใดช่วยไว้หรือขอรับ”
“ก็ปู่น่ะสิ”
“หวา ท่านปู่ เมื่อครู่ท่านไม่ได้ลงมือเลยนะขอรับ! หรือว่าท่านมีร่างแยก”
“แค่ปู่คิดก็ช่วยเขาได้แล้ว”
“หวา!”
หานเหลียงอ้าปากกว้าง ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ต้องกล่าวเลยว่าท่าทางเช่นนี้กลับทำให้หานเจวี๋ยพอใจนัก
เด็กน้อยช่างรู้ความนัก
หานเจวี๋ยอุ้มหานเหลียงเข้าสู่วงแขน ลูบเขาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายังมีญาติพี่น้องอีกมากมาย แต่ส่วนใหญ่ล้วนมีอายุห่างวัยจากเจ้ามากโข บางคนอาจจะไม่ได้มีสายสัมพันธ์ชิดใกล้กับเจ้ามากขนาดนั้น แต่ในสายตาของปู่ คุณสมบัติของเจ้าเลิศล้ำที่สุด ภายภาคหน้าเจ้าต้องดูแลปกป้องญาติพี่น้องในรุ่นเดียวกับเจ้า ปกป้องเชื้อสายรุ่นหลังของเจ้าให้ดี เข้าใจหรือไม่”
หานเหลียงหัวใจพองโต คำชมเชยจากท่านปู่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด!
เขาพยักหน้าสุดแรง ตบอกน้อยๆ ของตน รับประกันเป็นมั่นเหมาะ
หานเจวี๋ยเตรียมการว่าต่อไปจะสั่งสอนกล่อมเกลาด้วยวาจา ทำให้หานเหลียงกลายเป็นเทพพิทักษ์แห่งตระกูลหาน
คุณสมบัติของเด็กน้อยอาจเทียบชั้นกับเทพมารอนธการได้ ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าผู้ได้รับสวรรค์ประทานโชคเพียงอย่างเดียว
มองจากปัจจุบันนี้ หานเหลียงยังคงทำให้เขาพอใจนัก
หลังจากกลายเป็นผู้ไร้พ่ายแล้ว เรื่องที่หานเจวี๋ยให้ความสนใจที่สุดในตอนนี้ก็คือการชุบเลี้ยงลูกหลานให้แข็งแกร่ง
….
ณ ตำหนักอนธการ
หานฮวงลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น เอ่ยพึมพำ “เหตุใดยังไม่เป็นผลอีก”
เงาดำเนตรแดงเดินออกมาจากเงามืด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้แปลว่าอย่างไรกันเล่า แปลว่าบิดาเจ้าไม่คิดจะช่วยชี้แนะให้เจ้าอยู่แล้ว เป็นเช่นเดียวผู้สร้างมรรคารายอื่นๆ ที่ไม่ปรารถนาให้มีผู้สร้างมรรคาหน้าใหม่ปรากฏขึ้น ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่หลังจากท่านพ่อพิสูจน์มรรคแล้วกลับซ่อนตัวอยู่ในอารามเต๋ามาตลอด”
หานฮวงแค่นเสียงเอ่ย “ท่านพ่อข้าไม่มีทางคิดเช่นนี้”
“เช่นนั้นก็แปลว่าแนวทางแห่งผู้สร้างมรรคาไม่สามารถเลียนอย่างกันได้ ทุกคนล้วนมีแนวทางของตัวเอง หรือไม่ขีดจำกัดของเจ้าอาจจะเป็นยอดมหามรรคก็ได้ อย่าได้คิดว่าเทพมารอนธการจะเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้านี้ อย่าลืมเสียเล่า ฟ้าบุพกาลเข้ามาแทนที่อนธการได้ ตามหลักก็คือนธการอ่อนด้อยกว่าฟ้าบุพกาล เจ้าใช้เพียงสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลเป็นบรรทัดฐาน แต่บรรทัดฐานที่แท้จริงคือเจ้านวฟ้าบุพกาลผู้สร้างฟ้าบุพกาล อดีตผู้สร้างมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดต่างหาก!”
วาจาของเงาดำเนตรแดงทำให้หานฮวงเงียบไป จมจ่อมกับภวังค์แห่งความคลางแคลงในตัวเอง
เขานึกถึงพลังที่เขาเคยพึ่งพาในอดีต นั่นคือพลังเวทของท่านพ่อ
สายเลือดเทพมารอนธการของตนก็เป็นท่านพ่อที่สละให้ตนมา
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าความจริงแล้วเขามิใช่เทพมารอนธการเลย แต่เพราะท่านแม่ให้กำเนิดเขาไม่ได้ ท่านพ่อจึงสละสายเลือดของตนให้เขาได้ถือกำเนิด
หรือเดิมทีข้าก็ไม่อาจพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาได้อยู่แล้ว เนื่องจากข้ามิใช่เทพมารอนธการตัวจริง หรือว่าเดิมทีแล้วเทพมารอนธการก็ไม่สามารถบรรลุสู่ผู้สร้างมรรคาได้ ท่านพ่อจึงทำลายขีดจำกัดทางสายเลือดเพื่อบรรลุระดับที่สูงกว่า…
หานฮวงพลันกระจ่างขึ้นมา จิตใจกลับกลายเป็นปลอดโปร่ง
เงาดำเนตรแดงมองท่าทีของเขา ดวงตาหยีโค้งดุจจันทร์เสี้ยว เลือนหายไปในความมืด
หลังจากหานฮวงปลดเปลื้องบ่วงผูกมัดอย่างฐานะเทพมารอนธการลงได้ ตัวเขาผ่อนคลายลงไม่น้อยเลย เขาลุกขึ้นมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เลอะเลือนไปเสียแล้ว ไม่เคยประสบความเป็นไปของสรรพสิ่งแล้วจะสร้างโลกมหามรรคของตนได้อย่างไร บางทีข้าอาจจะคิดลึกจนเกินไปจึงไม่สามารถสร้างโลกมหามรรคของตนขึ้นมาได้”
เขาย่างเท้าก้าวไปด้านหน้า เดินไปทางประตูใหญ่
“อนธการ อนธการเป็นเช่นใดเล่า…”
เสียงของหานฮวงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ เงาร่างก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไป
….
ฟ้าใสเหนือท้องสมุทรคราม หมื่นลี้ปลอดโปร่งไร้เมฆา
บนชะง่อนผามากมายที่ตัดสลับอยู่ในทะเลไร้ขอบเขต คลื่นสมุทรนับไม่ถ้วนซัดสาดกระทบหน้าผา เกิดละอองน้ำสาดกระเซ็นไปนับไม่ถ้วน
ฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยนั่งอยู่ริมหน้าผา ฉู่เสี่ยวชียืดตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย มองเฉินเจวี๋ยที่นั่งอยู่ด้านข้าง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่นึกเลย ไม่นึกเลยจริงๆ!”
เฉินเจวี๋ยเปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียว มองไปยังขอบฟ้าอย่างสงบนิ่ง ลมทะเลพัดเกศาของเขาให้ขยับไหว ขับเน้นให้เขาดูงามสง่า แม้แต่ฉู่เสี่ยวฉีก็ค่อนข้างอิจฉาอยู่บ้าง
ในแง่ของความหล่อเหลา ชายผู้นี้เป็นรองเพียงท่านปู่ของเขาเท่านั้น
“เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้า เหตุใดถึงทรยศต่อเผ่าเทพเช่นเดียวกับข้า” ฉู่เสี่ยวชีถามด้วยความสงสัย
เขาคิดว่าตนต้องตายแน่แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้ลืมตาฟื้นขึ้นมาพบว่าตนยังไม่ตาย เฉินเจวี๋ยช่วยเขาเอาไว้ ซ้ำยังบอกว่าจะออกจากเผ่าเทพไปพร้อมกับเขาด้วย
เฉินเจวี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ “เดิมทีข้าก็ไม่มีความประทับใจในเผ่าเทพอยู่แล้ว เหตุผลที่เข้าร่วมเพียงเพื่อใช้เป็นฐานรองเท้าเท่านั้น แต่เจ้านั่นแหละ เจ้าคนโง่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเผ่าเทพจำเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เจ้ายังกลับไปแจ้งต่อพวกเขาอีก โง่เง่าอย่างถึงที่สุด แต่พลังของเจ้าก็ไม่เลวเลย ทำให้ข้าต้องมองมุมใหม่”
ฉู่เสี่ยวชีเบะปาก วางท่าเสียจริง
แต่เฉินเจวี๋ยก็เก่งกาจมากจริงๆ ทำให้ฉู่เสี่ยวชียอมรับจากใจแล้ว
เขาถามด้วยความสงสัย “จากนี้ไปเจ้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร”
“เจ้าวางแผนไว้อย่างไรเล่า”
“แน่นอนว่าต้องออกท่องโลกกว้าง!”
“ข้าก็เช่นกัน”
“สรุปคือ เจ้าจะไปกับข้าจริงๆ น่ะหรือ”
“การที่เจ้ากล้ากลับไปแจ้งเรื่องนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นความรับผิดชอบของเจ้าแล้ว เจ้ากล้าเผชิญกับการตามล่าของเผ่าเทพอย่างไม่ยอมจำนน ความกล้าหาญในส่วนนี้มีคุณสมบัติพอจะได้ติดตามข้า”
“ติดตามเจ้าอย่างนั้นหรือ เฮอะ เป็นเจ้ามากกว่าที่มาติดตามข้าน่ะ!”
ทั้งสองเริ่มถกเถียงกัน คนทั้งสองดูเหมือนจะทะเลาะกัน แต่ความจริงมุมปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ฉู่เสี่ยวชีดีใจมาก นานมากแล้วที่ไม่พานพบสหายที่ยินดีจะออกท่องโลกกว้างไปกับตน
เฉินเจวี๋ยเองก็อารมณ์ดีเช่นกัน เขารู้สึกว่าตนมีเพื่อนแล้ว
ความจริงที่เขาเลือกฉู่เสี่ยวชีเป็นเพราะตอนที่ประมือกับฉู่เสี่ยวชีก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นว่าฉู่เสี่ยวชีไร้เจตนาจะสังหารเขา ในช่วงครึ่งแรกของการต่อสู้เขาตกเป็นรองตลอด เขารับรู้ได้ว่าฉู่เสี่ยวชียังมีพลังที่แข็งแกร่งแอบแฝงไว้ไม่ได้กระตุ้นออกมา
ไม่ใช่แค่ฉู่เสี่ยวชีเท่านั้น เฉินเจวี๋ยก็หักใจสังหารเขาไม่ลงเช่นกัน
ความรู้สึกนี้ค่อนข้างน่าพิศวง
ความจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน เฉินเจวี๋ยก็มีความประทับใจในตัวฉู่เสี่ยวชีอย่างลึกล้ำแล้ว ในขณะที่ฉู่เสี่ยวชีแอบลอบสังเกตเขาอยู่ เขาก็ลอบสังเกตฉู่เสี่ยวชีอยู่เช่นกัน
เนื่องด้วยเหตุนี้ เขาจึงอาสารับหน้าที่มาตามล่าฉู่เสี่ยวชีโดยเฉพาะ
ภายในความมืดมิดดูเหมือนจะมีโชคชะตาบางอย่างระหว่างทั้งสองอยู่
ตอนนี้เฉินเจวี๋ยก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าโชคชะตานี้อาจจะเป็นแผนที่วางไว้แล้ว เนื่องจากในอดีตตนไม่มีบ่วงกรรมร่วมกับฉู่เสี่ยวชีเลย
“เฉินเจวี๋ย เป้าหมายในการบำเพ็ญของเจ้าคืออะไร”
“เจ้าพูดก่อนสิ”
“ข้าน่ะหรือ ข้าอยากไปชมทิวทัศน์ทั้งหมดในโลกหล้า อยากไปเยือนสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ไปประสบกับความยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยพานพบมาก่อน”
“กลวงเปล่าเสียจริง เป้าหมายของข้าคือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แกร่งจนกลายเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่ง”
เฉินเจวี๋ยเบ้ปาก แต่ยามที่เอ่ยถึงเป้าหมายของตนก็เอ่ยอย่างฮึกเหิมคึกคัก
นิสัยช่างจ้อของฉู่เสี่ยวชีก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง เริ่มคุยฟุ้งไม่หยุด
หานเจวี๋ยที่อยู่ห่างไกลไปในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก เขาฝึกบำเพ็ญอยู่ หานเหลียงก็ฝึกบำเพ็ญอยู่เช่นกัน ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขา
ในมุมมองของผู้ไร้พ่าย โชคชะตาบนโลกต่างเป็นบ่วงกรรม
เหตุผลที่ชักนำฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยมารวมกันก็เป็นเพราะฟางเหลียงกับจี้เซียนเสิน
สายใยไมตรีบางอย่างก็คู่ควรพอให้ฝากฝังไว้
เฉินเจวี๋ยเป็นคนอย่างไร หานเจวี๋ยมองแวบเดียวก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว คุ้มค่าพอจะฝากฝังฉู่เสี่ยวชีไว้กับเขา
ฉู่เสี่ยวชีก็สามารถมอบอนาคตภายหน้าให้เฉินเจวี๋ยได้ เฉินเจวี๋ยอยู่กับฉู่เสี่ยวชี เท่ากับได้ที่พึ่งพาอย่างหานฮวงไปด้วย
ในอนาคตหานฮวงจะกลายเป็นผู้สร้างมรรคา ภูมิหลังศักดาเช่นนี้คุ้มค่าพอให้เฉินเจวี๋ยยอมทุ่มเททุกสิ่งได้
ถึงแม้เฉินเจวี๋ยจะได้รับสวรรค์ประทานโชค แต่ในอนาคตจะมีเด็กเช่นเขาอีกมากมาย ลำดับอาวุโสจะห่างชั้นกันมากนัก อีกทั้งหานเจวี๋ยก็เตรียมจะสั่งสมสวรรค์ประทานโชคก้อนใหญ่ไว้ด้วย
………………………………………………………………