บทที่ 1161 ปิดด่านระยะยาว
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ…
เงากระบี่ทั่วสารทิศพุ่งเข้าโจมตีสวินเซิ่งจุน บีบบังคับให้สวินเซิ่งจุนต้องหลบเลี่ยง ช่วงแรกเขายังพอหลบได้ แต่ความเร็วของเงากระบี่เหล่านี้กลับรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ กายเนื้อของเขาถูกกระบี่นับหมื่นพันทำลายล้าง เหลืออยู่เพียงวิญญาณ
จากนั้นเงากระบี่ก็หยุดลงให้เวลาเขาได้ฟื้นฟูกายเนื้อ เมื่อกายเนื้อของเขาเพิ่งจะฟื้นฟูกลับมา เงากระบี่เหล่านั้นก็โจมตีลงมาอีกครั้ง
วนเวียนซ้ำไปมา สวินเซิ่งจุนถูกทำลายล้างจากนั้นก็ฟื้นฟูร่างกลับมาวนต่อไปเรื่อยๆ การเคี่ยวกรำเช่นนี้ทำให้เขาทรมานอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่เขาด่าทอลี่เหยาแล้ว แต่เสียดายที่ไม่ได้รับการตอบกลับมาเลย
ในเวลาเดียวกันนี้
ลี่เหยาและหานอวิ๋นจิ่นออกจากมรรคาสวรรค์ เหาะมุ่งไปยังโลกขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่อยู่ละแวกนี้
“เจ้ายังคงต้องระวังเด็กคนนี้เอาไว้บ้าง” ลี่เหยาเอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก
หานอวิ๋นจิ่นเอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายของลูก น่าจะไม่ทำร้ายลูกกระมังขอรับ”
“เจ้าไม่รู้สึกเฉลียวใจกับวิญญาณของเขาสักนิดเลยหรือ”
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ”
หานอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้ว
ลี่เหยาเอ่ยอย่างมีนัยแอบแฝง “เจ้าทำนายถึงอดีตชาติของเขาไม่ได้ ดูราวกับเขาเป็นดวงวิญญาณกำเนิดใหม่กระมัง”
หานอวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ เอ่ยถาม “หรือว่าเขามิใช่ดวงวิญญาณกำเนิดใหม่ขอรับ”
“ด้วยคุณสมบัติของเขา หากเป็นดวงวิญญาณกำเนิดใหม่จะแข็งแกร่งได้ปานนี้หรือ ตั้งแต่เล็กจนโต การบำเพ็ญของเขาได้รับการสั่งสอนจากเจ้าหรือไม่”
“ไม่ขอรับ…”
หานอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วแน่น
แต่ก่อนเขาก็เคยสงสัยเช่นกันว่าเหตุใดสวินเซิ่งจุนที่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีคุณสมบัติธรรมดาทั่วไป ไฉนถึงแข็งแกร่งขึ้นมารวดเร็วปานนั้น แต่พอนึกถึงว่าเชื้อสายในตระกูลหานก็ปรากฏกรณีเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาจึงไม่ได้คิดมาก
ตอนนี้พอได้ฟังคำพูดของมารดา เขาจึงตระหนักถึงความผิดปกติขึ้นมา
ลี่เหยาเอ่ยอย่างจนใจว่า “ไหนเลยจะมีวิญญาณกำเนิดใหม่ได้มากมายปานนั้น วิญญาณกำเนิดใหม่ที่ปรากฏขึ้นในยุคนี้ล้วนจะกำเนิดในสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าหรือไม่ก็เผ่าพันธุ์ใหม่ เชื้อสายตระกูลหานส่วนใหญ่ล้วนมีอดีตชาติกันทั้งสิ้น รวมถึงบุตรชายสุดที่รักคนนี้ของเจ้าด้วย ข้ารับรู้ได้ถึงพลังของโลกมหามรรคจากตัวเขา อดีตชาติของเด็กคนนี้ต้องเป็นยอดมหามรรคแน่นอน บางทีตอนนี้เขาอาจยังไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ แต่สักวันหนึ่งความทรงจำในชาติก่อนของเขาจะตื่นขึ้นมา”
หานอวิ๋นจิ่นมีสีหน้าตื่นตะลึง
ยอดมหามรรคกลับชาติมาเกิดในตระกูลหานอย่างนั้นหรือ
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเขาคือเป็นแผนร้าย!
ยอดมหามรรคหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ มีบางคนที่ถูกบังคับให้ต้องเข้าสู่สังสารวัฏ บางคนก็เป็นฝ่ายเข้าสู่สังสารวัฏเอง พวกเขาล้วนสามารถเลือกชาติกำเนิดได้ ส่วนตระกูลหานก็มีดวงชะตาโดดเด่น คนธรรมดายากจะกลับชาติมาเกิดเป็นสายเลือดตระกูลหานได้ เหล่าผู้ทรงพลังก็กลัวจะถูกเข้าใจผิดไม่มีทางเข้ามาปนเปื้อนบ่วงกรรมง่ายๆ
แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น สวินเซิ่งจุนยังคงเป็นบุตรชายของเขาจริงๆ
หากว่าล้วนนับกันจากชาติก่อนทั้งสิ้น เช่นนั้นเขาคงไม่มีลูกหลานแล้ว
ลี่เหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่เพียงอยากเตือนเจ้าไว้ ถึงอย่างไรพวกเจ้าพ่อลูกก็ผูกบ่วงกรรมร่วมกันแล้ว ช่วงนี้แม่จะช่วยสั่งสอนขัดเกลาเขาแทนเจ้าเอง”
“ขอบพระคุณท่านแม่”
หานอวิ๋นจิ่นถอนหายใจ
….
สิบล้านปีต่อมา หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
เดิมทีเขาคิดจะปิดด่านบำเพ็ญห้าสิบล้านปี แต่จนใจที่มีคนมารอเข้าพบเขา เขาจำเป็นต้องหยุดบำเพ็ญ
“เข้ามาเถอะ”
พอสิ้นเสียงของเขา หานอวิ๋นจิ่นที่รอคอยอยู่ด้านนอกอารามเต๋ามาหลายล้านปีก็เข้ามา มีหานทั่วติดตามมาด้วย แต่หานทั่วเพิ่งมารอเพียงไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น
หานอวิ๋นจิ่นเดินเข้ามาคุกเข่าลงเบื้องหน้าหานเจวี๋ย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ โปรดช่วยบุตรของลูกด้วยเถิด”
หานทั่วก็คุกเข่าลงเช่นกัน
หานเจวี๋ยไม่ปริปาก
หานอวิ๋นจิ่นเล่าสถานการณ์ของสวินเซิ่งจุนออกมาทันที หลังจากถูกลี่เหยาอบรมขัดเกลาอยู่หมื่นปี อุปนิสัยของสวินเซิ่งจุนเปลี่ยนไปมาก ทำให้หานอวิ๋นจิ่นปลื้มปีตินัก ในช่วงหลังๆ มา สวินเซิ่งจุนช่วยขจัดอุปสรรคให้ตระกูลหาน บุกเบิกสร้างรากฐานในโลกมากมาย ต่อมาตบะของสวินเซิ่งจุนเผชิญสภาวะคอขวด เขาจึงไปฝึกบำเพ็ญกับหานทั่ว
หานทั่วดูแลสั่งสอนอยู่นับล้านปี จากนั้นให้สวินเซิ่งจุนมุ่งหน้าไปแสวงหาโอกาสวาสนาในอาณาเขตอวิชชา ไม่คิดเลยว่าจะหายสาบสูญไป
“ข้าออกค้นหามานานยิ่ง สุดท้ายก็หาตัวเด็กคนนั้นไม่พบ ข้าเพียงสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้สร้างมรรคาขอรับ”
หานทั่วขมวดคิ้วเอ่ยออกมา เรื่องนี้เขาก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ก่อนหน้านี้เขาเคยท่องอยู่ในอาณาเขตอวิชชามาแล้ว ทราบว่าเป็นสถานที่ที่มีโชควาสนาอยู่ไม่น้อยดังนั้นถึงเสนอแนะให้สวินเซิ่งจุนไป
หากสวินเซิ่งจุนมิใช่บุตรชายของหานอวิ๋นจิ่นก็ยังพอว่า โชคเคราะห์เป็นตายล้วนยากจะคาดคะเนได้
ด้วยมีกรณีของฉู่เสี่ยวชีเป็นตัวอย่าง หานทั่วจึงคิดว่าหานเจวี๋ยอาจจะใส่ใจหลานชายดังนั้นถึงได้มาขอความช่วยเหลือพร้อมกับหานอวิ๋นจิ่น
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “แต่ละคนก็มีโอกาสวาสนาต่างกันไป หายตัวไปเพียงไม่กี่ล้านปีเท่านั้น ไยต้องกังวลด้วย ในหมู่บุตรธิดาของเจ้า ไม่ได้มีคนอื่นที่หายตัวไปหลายล้านปีหรือถึงแก่กรรมแต่เยาว์วัยอยู่อีกหรอกหรือ”
หานอวิ๋นจิ่นอึกอักอยากพูดแต่ก็เงียบไป
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด สวินเซิ่งจุนที่เคยหัวขบถที่สุดกลับกลายเป็นคนที่ทำให้เขาห่วงใยที่สุด
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วก็ออกไปเสีย เด็กคนนั้นไม่ตายแน่นอน”
พอหานอวิ๋นจิ่นได้ยินก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดี ส่วนหานทั่วก็โล่งอกขึ้นมา
หานอวิ๋นจิ่นคำนับอำลาไป แต่หานทั่วกลับรั้งอยู่
หานทั่วย่อมต้องการสอบถามเรื่องเกี่ยวกับโลกมหามรรค หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ลำเอียงเช่นกัน ชักนำให้หานทั่วได้สัมผัสกับกฎเกณฑ์พื้นฐาน
แม้จะเป็นเพียงวูบเดียว แต่ก็เพียงพอให้หานทั่วก้าวเดินสู่เส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
หากต้องการมุ่งสู่ผู้สร้างมรรคา อย่างน้อยก็ต้องก่อกฎเกณฑ์สูงสุดให้ได้เจ็ดสาย หานฮวงและบรรพชนเต๋าที่ก่อกฎเกณฑ์สูงสุดขึ้นเป็นอันดับแรกๆ ก็ยังไม่สามารถสร้างกฎเกณฑ์สูงสุดสายที่สองขึ้นมาได้
กว่าจะมีผู้สร้างมรรคารายใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกห้าพันล้านปี
หลังจากหานทั่วตื่นจากภวังค์ก็รีบคราวะขอบคุณหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยโบกมือเล็กน้อยสื่อให้หานทั่วถอยออกไป
หานเจวี๋ยมองตามแผ่นหลังเขาไปพลางส่ายหน้านิดๆ
ในหมู่บุตรธิดาทั้งห้าคน คนที่มีสายสัมพันธ์เหินห่างกับเขาที่สุดก็คือหานทั่ว หลักๆ คือใช้เวลาอยู่ร่วมกันน้อยเกินไป อีกทั้งหานทั่วไม่ได้มีนิสัยออดอ้อนดั่งบุตรธิดาเหล่านั้น
ว่ากันตามจริงแล้ว บุตรชายคนโตไว้วางใจได้มากกว่าบุตรธิดาคนอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่คุณสมบัติใช้ไม่ได้ อยู่ในขั้นเทพมารฟ้าบุพกาลเท่านั้น
หลังจากบุตรชายทั้งสองออกไปแล้ว หานเจวี๋ยตรวจดูจดหมายเล็กน้อยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
ผู้สร้างมรรคารายใหม่ยังไม่ปรากฏตัวขึ้น ยุคสมัยไร้สิ้นสุดในยามนี้ไม่มีทางสร้างความรื่นเริงให้หานเจวี๋ยได้
หานเจวี๋ยเตรียมการว่าจะปิดด่านระยะยาวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
….
ณ แดนลับเชื่อมวิถี
ภายในตำหนักใหญ่กว้างขวางหลังหนึ่ง อู๋เซียงเทียนเซี่ยนั่งบนแท่นสูง ทอดมองเงาร่างหลายสิบร่างที่อยู่ในห้องโถง ในบรรดานั้นมีฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยรวมอยู่ด้วย
อู๋เซียงเทียนเซี่ยมีสีหน้ามืดครึ้ม เอ่ยขึ้นว่า “ทุกคนน่าจะรู้ดีว่าวันนี้ข้าเรียกพวกเจ้ามาด้วยเรื่องใด นับจากวันนี้ไป หากก่อสงครามขึ้นในแดนลับเชื่อมวิถีอีก มาร่วมมือกันต่อต้านการรุกรานของอนธการเถิด สื่อหยวนหงเหมิงนำทัพสิ่งมีชีวิตอนธการนับล้านล้านเข้ารุกราน ประกาศอ้างว่าจะเข้าครอบครองทะเลสาบมหาวิถี เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั่วทั้งแดนลับเชื่อมวิถีจำเป็นต้องร่วมมือกัน”
ผู้ทรงพลังรายหนึ่งเอ่ยถาม “ได้ยินว่าเบื้องหลังท่านมี…ไฉนสื่อหยวนหงเหมิงยังกล้ามารุกรานอีก”
เรื่องที่มหาเทวาพ้นนิวรณ์หนุนหลังอู๋เซียงเทียนเซี่ยอยู่มิใช่ความลับในแวดวงผู้ทรงพลังชั้นแนวหน้าเลย
อู๋เซียงเทียนเซี่ยแค่นเสียงเอ่ยไปว่า “มหาเทวารับผิดชอบดูแลยุคสมัยไร้สิ้นสุด ไหนเลยจะลำเอียงได้ เขาให้ความช่วยเหลือแดนลับเชื่อมวิถีของข้าก็จริง แต่เรื่องการแก่งแย่งชิงอำนาจเขาไม่มีทางสอดมือเข้ายุ่ง อีกอย่างก็แค่สื่อหยวนหงเหมิงคนเดียว ข้าไม่เห็นอยู่สายตาด้วยซ้ำ ข้าจะจัดการสื่อหยวนหงเหมิง ส่วนพวกเจ้าจงรับมือกับกองกำลังอนธการ ในเมื่อสื่อหยวนหงเหมิงกล้าบุกมาก็ถือโอกาสฮุบกลืนอนธการของเขาเสียเลย!”
เหล่าผู้ทรงพลังในห้องโถงมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน แต่ในหมู่พวกเขามีอยู่หลายคนที่มาจากกลุ่มอิทธิพลต่างกันไป ดังนั้นจึงว้าวุ่นใจ
อู๋เซียงเทียนเซี่ยกวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก “ถึงเวลาเลือกข้างแล้ว ตอนที่พวกเจ้ามาถึงล้วนเป็นเพียงตัวตนสามัญ เป็นโลกสามัญที่โลกมหามรรคต่างๆ ไม่ต้องการ เป็นข้าที่อุ้มชูพวกเจ้าจนสูงส่งเช่นในวันนี้ได้ หวังว่าพวกเจ้าจะคิดให้ดี ศึกนี้ก็เป็นการทดสอบอย่างหนึ่งเช่นกัน ผู้ใดเห็นต่างก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้าจะกล้าก้าวออกมาหรือไม่”
………………………………………………………………