ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 1170 ความสิ้นหวังหวนคืบคลาน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1170 ความสิ้นหวังหวนคืบคลาน

มหาโชคใหม่ๆ มีทั้งสายเลือด เผ่าพันธุ์ แดนเซียนและห้วงมิติพิเศษสารพัดรูปแบบ ทำให้ยุคสมัยไร้สิ้นสุดเปลี่ยนแปลงมีสีสันยิ่งขึ้น

หานเจวี๋ยทอดมองทุกสิ่งในยุคสมัยไร้สิ้นสุด ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ

มีโอกาสอุดมอยู่ทั่วไปจริงๆ ได้ถือกำเนิดในยุคสมัยเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมนัก

หานเจวี๋ยมองไปมองมา จู่ๆ ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที

เมื่อมีบุตรแห่งสวรรค์มากมาย กระแสก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป

มีบุตรแห่งสวรรค์มากมายที่ถึงขั้นเริ่มเพ้อฝันอยากท้าทายเทพผู้สร้าง!

หานเจวี๋ยไม่เผยตัวต่อหน้าสรรพสิ่งมาพันล้านกว่าปีแล้ว ทำให้เหล่าบุตรแห่งสวรรค์รุ่นหลังล้วนคิดว่าเขาเป็นเพียงเรื่องเล่าลอยลม หามีตัวตนอยู่จริงไม่ ย่อมปรากฏคนที่ปากกล้าโอหังบางส่วนขึ้นมา

หานเจวี๋ยแค่นเสียงเย็นชา ทว่าไม่ได้ลงมือ

“จะให้โอกาสพวกเจ้าไปก่อน แล้ววันหน้าจะทำให้พวกเจ้าสิ้นหวัง”

แววตาหานเจวี๋ยวาวโรจน์ เริ่มตั้งตารอคอยได้สัมผัสความรู้สึกยามแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าบุตรแห่งสวรรค์เหล่านี้ขึ้นมา

เขาลุกขึ้นแล้วออกจากอารามเต๋า ไปเยี่ยมเยือนเหล่าคู่บำเพ็ญและบุตรธิดา พักผ่อนหย่อนใจหลายพันปีแล้วค่อยฝึกบำเพ็ญต่อ

ตอนนี้ต่อให้เขาไม่ฝึกบำเพ็ญ โลกปฐมยุคก็พัฒนาไปด้วยตัวเองได้ ช่วยเพิ่มพูนตบะให้เขา แต่หากเขาฝึกบำเพ็ญ ตบะจะเพิ่มพูนเร็วยิ่งขึ้น

….

ณ แดนลับเชื่อมวิถี

ท่ามกลางห้วงอวกาศ ฉู่เสี่ยวชีที่กำลังนั่งสมาธิอยู่พลันตัวสั่นเทิ้ม ร่างกระตุกไปมาอย่างบ้าคลั่ง แทบจะเกิดภาพติดตาขึ้นแล้ว ปรากฏเงาร่างน่าพรั่นพรึงอย่างหนึ่งขึ้นอย่างเลือนรางผลุบๆ โผล่ๆ

เฉินเจวี๋ยยืนอยู่ไกลออกไป ขมวดคิ้วเฝ้ามองเขา

‘เกิดอะไรขึ้น พลังกรรมของเขาเสียการควบคุมได้อย่างไร’

เฉินเจวี๋ยฉงนอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวน ตอนนี้ฉู่เสี่ยวชีแข็งแกร่งกว่าเขา

ทั้งสองฝึกบำเพ็ญอยู่ในห้วงอวกาศแห่งนี้มาหลายแสนปีแล้ว แต่วันนี้จู่ๆ ฉู่เสี่ยวชีก็เสียการควบคุม พลังเวทของเขาแปรเปลี่ยนเป็นพลุ่งพล่านขึ้นอย่างยิ่ง ห้วงมิติถูกสั่นคลอน ราวกับห้วงอวกาศผืนนี้จะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ทำให้เฉินเจวี๋ยจำเป็นต้องออกโรงช่วยค้ำยันห้วงอวกาศไป

ในเวลานี้เอง เงาร่างสามสายปรากฏตัวขึ้นด้านหลังฉู่เสี่ยวชี แสงเจิดจ้าส่องพร่างพราวอยู่ทั่วร่างของพวกเขา ทุกคนยื่นมือออกมากดลงบนแผ่นหลังของฉู่เสี่ยวชี

“หยุดนะ!”

เฉินเจวี๋ยตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว เคลื่อนย้ายมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของฉู่เสี่ยวชี ระเบิดพลังเวทออกมา เงากระบี่สีทองนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา หมายสังหารโจมตีเงาร่างลึกลับทั้งสาม

ทว่าเงากระบี่สีทองกลับพุ่งทะลุผ่านร่างของทั้งสามไป ไม่อาจทำลายพวกเขาได้ เสมือนพุ่งผ่านเงามายา

เงาร่างที่อยู่ตรงใจกลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “พวกเรากำลังช่วยเขาอยู่ เจ้าทราบถึงตัวตนของเขาหรือไม่”

เฉินเจวี๋ยเอ่ยถามเสียงเครียด “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่”

เงาร่างหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะหยอกเย้า “พี่น้องคนนี้ของเจ้าไม่ธรรมดาเลยนะ เคยได้ยินตำนานมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่หรือไม่ เขาคือตัวละครที่ได้รับบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง”

ในใจของเฉินเจวี๋ยเปี่ยมด้วยความกระวนกระวาย เขาไม่ได้เอ่ยตอบแต่สำแดงพลังเวทต่อไป แต่ไม่ว่าเขาจะสำแดงพลังวิเศษอันใดออกไป ล้วนไม่อาจทำร้ายเงาร่างลึกลับทั้งสามได้ เขาทดลองเคลื่อนย้ายฉู่เสี่ยวชีออกมา แต่พลังเวทของอีกฝ่ายพลุ่งพล่านโหมกระโชกเกินไป ทำให้เขาไม่อาจแตะต้องได้เลย

เขาตื่นตระหนกอยู่ในใจ ถึงแม้ในการประลองครั้งล่าสุดเขาจะสู้ฉู่เสี่ยวชีไม่ได้ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ถึงขั้นที่เขาจะไม่ สามารถแตะต้องได้เลย

หรือเด็กคนนี้จะเป็นผู้ทรงพลังกลับชาติมาเกิดจริงๆ

แต่พวกเขาคือยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์แล้ว พลังในระดับที่ทำให้เขาไม่อาจแตะต้องสั่นคลอนได้ หรือว่าฉู่เสี่ยวชีจะเป็นผู้สร้างมรรคากลับชาติมาเกิด

“ตัวตนที่แท้จริงของเขาคืออนธการสิ้นแสง ยอดสัตว์ร้ายอันดับหนึ่งแห่งบรรพกาล กลืนกินอริยะมหามรรคไปนับพัน โลกน้อยใหญ่อีกนับไม่ถ้วน”

เงาร่างที่อยู่ตรงใจกลางเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความสะท้อนใจ

เฉินเจวี๋ยตะลึงงัน

อนธการสิ้นแสง!

เขาย่อมเคยได้ยินนามนี้ ก่อนที่ยุคสมัยไร้สิ้นสุดจะมาเยือน อนธการสิ้นแสงเคยนำพาความสิ้นหวังมาให้สรรพสิ่ง ในยามนั้นผู้ทรงพลังทั่วฟ้าบุพกาลล้วนร่วมมือกันเพื่อต่อต้านขัดขวางอนธการสิ้นแสง มันถูกขนานนามให้เป็นสัตว์ร้ายที่น่าหวาดกลัวที่สุดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ในเวลานี้เอง ฉู่เสี่ยวชีพลันลืมตาขึ้น สองเนตรแดงฉาน ใบหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นเหี้ยมโหดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา ปราณโลหิตระเบิดตัวแพร่กระจาย บดบังอาภรณ์ของเขา พายุโลหิตพัดโหมไปทั่วทิศ ฉีกกระชากห้วงอวกาศให้เกิดรอยแตกร้าวสายแล้วสายเล่า กระแสกาลเวลาอันพลุ่งพล่านโถมทะลักเข้ามา

จากนั้นห้วงมิติเบื้องหน้าของเฉินเจวี๋ยก็พังทลายลง ฉู่เสี่ยวชีและเงาร่างลึกลับทั้งสามดิ่งหายเข้าสู่ความมืดมิด เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เฉินเจวี๋ยไล่ตามไปทันที แต่เพิ่งจะมุดเข้าสู่กระแสกาลเวลาอันวุ่นวายก็เผชิญกับการโจมตีจากพลังแข็งแกร่งลึกลับประการหนึ่ง กายเนื้อของเขามอดสลายลงในทันใด วิญญาณร่วงดิ่งลงไป รู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งล้วนหมุนกลับตาลปัตร

เมื่อสติของเขากลับคืนมาอีกครั้งก็พบว่าตนนอนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง

นี่คือเมืองแห่งหนึ่งในโลกมนุษย์สามัญ เนื่องจากการหล่นร่วงลงมาของเขาทำให้ทั้งเมืองพังพินาศ สิ่งมีชีวิตในเมืองล้มหายไปนับไม่ถ้วน

เฉินเจวี๋ยลุกขึ้นยืน กายเนื้อฟื้นฟูกลับมาแล้ว ขณะที่เขาคิดจะขยับตัว ไอดำสายแล้วสายเล่าเลื้อยพัวพันไปตามแขนขาเขา เขาก้มหน้ามอง อดตกใจไม่ได้

พลังกรรมของฉู่เสี่ยวชี!

พลังลึกลับที่โจมตีเขาก่อนหน้านี่คือพลังกรรมของฉู่เสี่ยวชีอย่างนั้นหรือ

แต่กลับให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างเห็นได้ชัด…

หรือว่านั่นคือพลังของอนธการสิ้นแสง

เฉินเจวี๋ยกัดฟัน เลือนหายไปจากจุดเดิม

เขามุ่งหน้าไปพบอู๋เซียงเทียนเซี่ยอย่างรวดเร็ว

ฉู่เสี่ยวชีและเฉินเจวี๋ยเป็นตัวตนชั้นแนวหน้าของแดนลับเชื่อมวิถี ได้รับความสำคัญจากอู๋เซียงเทียนเซี่ย อีกทั้งมีผู้สร้างมรรคาหนุนหลังอู๋เซียงเทียนเซี่ยอยู่ เขาจึงเป็นคนแรกที่เฉินเจวี๋ยนึกถึง

ภายในตำหนัก หลังจากฟังเฉินเจวี๋ยเล่าจบ อู๋เซียงเทียนเซี่ยขมวดคิ้วแน่น

เด็กคนนั้นก็คืออนธการสิ้นแสง…

ความทรงจำในอดีตเมื่อนานแสนนานมาแล้วหวนกลับขึ้นมาในใจอีกครั้ง ทำให้เขาเหน็บหนาวสะท้านทรวง

อนธการสิ้นแสงในสมัยนั้นสร้างเงามืดไว้ในใจของเขา พอหวนนึกถึงเขาก็หวาดกลัวขึ้นมา

เฉินเจวี๋ยกล่าวว่า “เงาลึกลับสามร่างนั้นต้องการใช้ประโยชน์จากฉู่เสี่ยวชีแน่นอน บางทีฉู่เสี่ยวชีอาจจะมิใช่อนธการสิ้นแสง เพียงแต่ได้รับพลังของมันมา”

อู๋เซียงเทียนเซี่ยเอ่ยว่า “ข้ารับรู้เรื่องนี้แล้ว จะไปขอเข้าพบมหาเทวาเดี๋ยวนี้ เจ้าอย่าได้สอดมือเข้าไปยุ่ง เลี่ยงไม่ให้ประสบเคราะห์ไปด้วย”

กล่าวจบ อู๋เซียงเทียนเซี่ยก็หายตัวไปจากจุดเดิม

เฉินเจวี๋ยก็จากไปเช่นกัน

เขาไม่มีทางฝากความหวังไว้กับอู๋เซียงเทียนเซี่ยเพียงคนเดียว

….

ร้อยล้านปีต่อมา

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เรียกหานฮวงที่รอคอยอยู่นอกอารามเต๋ามาเนิ่นนานแล้วเข้ามา

หานฮวงรีบเดินเข้ามา ทำความเคารพหานเจวี๋ย จากนั้นก็เงยหน้าเอ่ยถาม “ท่านพ่อ ฉู่เสี่ยวชีคืออนธการสิ้นแสงจริงๆ หรือขอรับ”

หานเจวี๋ยตอบอืมคำเดียว

สีหน้าของหานฮวงหมองคล้ำลง

หานเจวี๋ยทราบดีว่าเกิดเรื่องใดขึ้นด้านนอก พลังอนธการสิ้นแสงของฉู่เสี่ยวชีตื่นขึ้นมาแล้ว เนื่องด้วยความขัดแย้งระหว่างพลังในชาตินี้และชาติก่อนทำให้เขาตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเขาไม่กระจ่าง ถูกจี้เซียนเสิ่น สวินเซิ่งจุนและฟางเหลียงหลอกใช้ประโยชน์ ตระเวนกลืนกินโลกมหามรรคไปทั่ว สร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้แก่สรรพสิ่งในดินแดนเวิ้งว้าง

หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะจัดการอย่างไร”

หานฮวงเอ่ยเสียงขรึม “ย่อมต้องช่วยเหลือเขา ท่านพ่อ ขออภัยด้วย ลูกทำให้ท่านต้องผิดหวังเสียแล้ว”

นับตั้งแต่ฉู่เสี่ยวชีเข้ารีตมาร ออกอาละวาดก่อกรรม หานทั่วได้มาหาเขา บอกเล่าความเป็นมาของฉู่เสี่ยวชีต่อเขา หลังฟังจบเขาก็ตระหนักได้ว่าท่านพ่อทราบถึงสายสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับอนธการสิ้นแสงดี

“นั่นคือเรื่องของเจ้า เจ้าตัดสินใจเอาเองเถิด พ่อจะไม่เข้าไปยุ่ง เหล่าผู้สร้างก็ไม่มีทางลงมือเช่นกัน”

หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ หานฮวงฟังแล้วไม่ได้รู้สึกผิดหวังเลย เขาคำนับบิดาอีกครั้ง ลุกขึ้นจากไป

ศึกระหว่างสามอนธการและพวกสวินเซิ่งจุนทั้งสามเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

หานเจวี๋ยทอดมองไปยังส่วนลึกของดินแดนเวิ้งว้าง แววตาเขาเย็นชาขึ้นมา

“คิดจะอาศัยอนธการสิ้นแสงมาสร้างความสับสนอลหม่านอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าไม่รู้จักประมาณตัวเกินไปแล้ว”

หานเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ เหตุผลที่พลังอนธการของฉู่เสี่ยวชีถูกปลุกขึ้นมาเป็นเพราะจิตมารของเจ้านวฟ้าบุพกาล จิตมารนี้ได้ไปหาจี้เซียนเสิน ฟางเหลียงและสวินเซิ่งจุน คอยเติมเชื้อไฟสนับสนุนอย่างลับๆ

หานเจวี๋ยตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือ!

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

Status: Ongoing
ชาติก่อนอายุสั้น ไม่ทันได้ใช้ชีวิต ชาตินี้จึงขอพากเพียรบำเพ็ญเซียน ลาภยศสตรีมีหรือจะสู้การเป็นอมตะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท