ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 1189 ยอดปฐมยุคคือสิ่งใด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 1189 ยอดปฐมยุคคือสิ่งใด

“บังอาจ เทพผู้สร้างไหนเลยจะต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

หลี่เต้าคงขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา แรงกดดันน่าหวาดหวั่นเข้าครอบงำ ทำให้มหาจักรพรรดิเฉินนี่ขยับเขยื้อนไม่ได้

ทวยเทพไร้สิ้นสุด ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้สร้างมรรคา แต่มีพลังที่ได้รับประทานมาจากเทพผู้สร้าง แม้แต่ผู้สร้างมรรคาก็สังหารเขาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเทียบชั้นได้กับผู้สร้างมรรคา!

มหาจักรพรรดิเฉินนี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง หากเจ้าแน่จริงก็สังหารข้าเลยสิ!”

ครืน!

เขาระเบิดรัศมีพลังทั้งหมดออก สั่นสะเทือนสลายรัศมีพลังของหลี่เต้าคง เห็นเพียงว่าเขาซัดหมัดข้างหนึ่งใส่หลี่เต้าคงทำให้ห้วงอวกาศมืดสลัวลงในทันใด พลังห้วงมิติที่ราวกับพายุโหมถาโถมเข้าท่วมทับแม่น้ำมรรคกระบี่ ร่างของหลี่เต้าคงบิดเบี้ยวก่อนพังทลายลง

ฟิ้ว…

มหาจักรพรรดิเฉินนี่สัมผัสถึงบางสิ่งได้ เงยหน้าขึ้นในทันใด เห็นเพียงว่ามีแสงกระบี่สายหนึ่งที่ยากจะประเมินขนาดของมันได้พุ่งลงมาจากด้านบน มหาจักรพรรดิเฉินนี่หลบเลี่ยงไม่ทัน ถูกทำลายล้างทันที

แสงกระบี่ระเบิดออก ละอองแสงนับไม่ถ้วนโปรยปราย จากนั้นเงากระบี่จำนวนมหาศาลก็กระจายไปทั่วห้วงอวกาศอันมืดสลัว มหาจักรพรรดิเฉินนี่เพิ่งจะก่อกายเนื้อขึ้นมาได้ก็ถูกแสงกระบี่ที่พุ่งออกมาจากเงากระบี่ตรึงไว้ ไม่อาจขยับเขยื้อน

‘นี่คือพลังอะไรกัน’

มหาจักรพรรดิเฉินนี่หน้าถอดสี โคจรพลังโลกมหามรรคของตนทันที ภาพจำลองโลกปรากฏขึ้นรอบกาย เขาพยายามสลายเส้นสายเงากระบี่ที่อยู่รอบข้าง ทว่ากลับถูกฟันจนขาดรุ่งริ่งนับไม่ถ้วน

เส้นแสงเหล่านี้มิใช่แสง แต่เป็นพลังกฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง!

หลี่เต้าคงทอดมองมหาจักรพรรดิเฉินนี่จากมุมสูงอย่างเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า “นี่คือพลังแท่งทวยเทพ เห็นแก่ตบะที่เจ้าบำเพ็ญมาอย่างยากลำบาก จะสะกดเจ้าเอาไว้ในคุกแห่งสุญตา จงสำนึกความผิดแต่โดยดีเสียเถอะ!”

พอสิ้นเสียงเขา เงากระบี่ทั้งหมดพลันหดตัวครอบเข้าหามหาจักรพรรดิเฉินนี่

มหาจักรพรรดิเฉินนี่ผู้โอหังถูกสะกดข่มอย่างง่ายดายอีกครั้ง ดวงแสงขนาดใหญ่ร่วงดิ่งลงสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว พุ่งทะลุห้วงอวกาศมืดสลัว เสียงคำรามของมหาจักรพรรดิเฉินนี่แว่วดังอยู่เนิ่นนานไม่เลือนหาย

หลี่เต้าคงเฝ้ามองเขาร่วงหล่นลงไปเช่นนี้ จวบจนหายลับไป

‘เทพผู้สร้างคิดอย่างไรกับเขากันแน่’

หลี่เต้าคงคิดในใจด้วยความฉงน เมื่อหมื่นล้านปีก่อนมหาจักรพรรดิเฉินนี่เกือบจะก่อหายนะใหญ่ให้แก่ยุคสมัยไร้สิ้นสุด หลังจากหายตัวไปหลายพันล้านปี เขากลับชาติมาเกิดใหม่ในโลกปฐมยุค จะไม่ให้สงสัยว่าเป็นฝีมือของเทพผู้สร้างก็คงยาก

เนื่องด้วยเหตุนี้ หลี่เต้าคงถึงไม่กล้าหุนหันสังหารมหาจักรพรรดิเฉินนี่

หลี่เต้าคงส่ายหน้า แม่น้ำมรรคกระบี่ก่อตัวขึ้นใต้ฝ่าเท้าอีกครั้ง ความมืดเลือนหายไป แทนที่ด้วยห้วงอวกาศขาวโพลน เขาเหยียบแม่น้ำมรรคกระบี่ออกลาดตระเวนในดินแดนเวิ้งว้างต่อไป

ตบะของเขาบรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่อาจก้าวหน้าได้อีก ดังนั้นเขาจึงยอมรับในอำนาจที่หานเจวี๋ยมอบให้ รับหน้าที่เป็นทวยเทพไร้สิ้นสุดอย่างจริงจัง คอยสอดส่องยุคสมัยไร้สิ้นสุด

หากไม่ได้รับอำนาจนี้ เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะใช้ชีวิตในช่วงเวลาหลังจากนี้ต่อไปอย่างไร

มรรคกระบี่ที่เขาชื่นชอบเขาก็ตระหนักรู้กระจ่างแจ้งแล้ว ความหมายในการมีชีวิตอยู่ลดน้อยลงเรื่อยๆ

….

ภายในตำหนักลึกลับ หานเหลียงกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ ปัจจุบันนี้เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มเรียบง่ายเช่นวันวานอีกต่อไป รัศมีพลังแกร่งกล้ายิ่งกว่ายอดมหามรรคส่วนใหญ่

เงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากความมืด เป็นมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ

มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเอ่ยถามว่า “เหตุใดยังไม่อาจก่อกฎเกณฑ์สูงสุดสายที่เจ็ดได้อีกเล่า กฎเกณฑ์สูงสุดสายที่เจ็ด เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เจ้าอยากพ่ายแพ้ให้เขาอย่างนั้นหรือ”

เขาไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ถึงแม้ผู้ที่หนุนหลังฉู่เสี่ยวชีอยู่จะเป็นสามเทพมารอนธการ แต่หานเหลียงก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย มีเขาและเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลหนุนหลังอยู่ แล้วจะพ่ายแพ้ให้แก่ฉู่เสี่ยวชีได้อย่างไร

หานเหลียงลืมตาขึ้น เอ่ยด้วยสีหน้าไม่น่ามอง “ข้ารู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป บอกไม่ถูกเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด”

เขาก็รู้สึกฉงนและหงุดหงิดยิ่งนักเช่นกัน

ความรู้สึกจนกำลังนี้ปรากฏขึ้นมาหลายแสนล้านปีแล้ว ทำให้เขารู้สึกแย่อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อฉู่เสี่ยวชีตีตื้นขึ้นนำได้ยิ่งทำให้มรรคจิตของเขาไม่มั่นคง

มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปหาเทพผู้สร้างเถอะ เขาอาจจะให้คำแนะนำเจ้าได้ พวกเราเป็นเพียงผู้สร้างมรรคา ส่วนที่สามารถช่วยเจ้าได้ก็ช่วยไปหมดแล้ว”

หานเหลียงเอ่ยด้วยความลังเล “ท่านปู่ปิดด่านสองหมื่นล้านปีแล้ว ยังไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ข้าจะไปรบกวนเขาส่งเดชได้อย่างไร”

“ย่อมไม่ใช่ไปอย่างส่งเดช เจ้าก็คุกเข่ารออยู่หน้าอารามเต๋าของเขาเฝ้ารอด้วยความจริงใจก็พอแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็เติบโตขึ้นมาข้างกายเขา เขาน่าจะไม่มีทางเมินเฉย พยายามอย่างสุดความสามารถเถิด หากไม่ได้จริงๆ พวกเราค่อยคิดหาวิธีอื่น”

มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเอ่ยอย่างใช้ความคิด

หานเหลียงเงียบงัน

มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญไม่ได้รบกวนเขาอีก เลือนหายไปหลังจากนั้น

หานเหลียงสับสนว้าวุ่นอยู่พักใหญ่ เหตุผลที่ไม่กล้าไปหาหานเจวี๋ย สาเหตุสำคัญที่สุดคือเขารู้สึกว่าค่อนข้างน่าอับอาย

เขารู้ดีว่าจุดเริ่มต้นของตนสูงยิ่ง เขาได้รับการพะเน้าพะนอเอาใจมาตั้งแต่เล็ก มีข้อได้เปรียบกว่าสรรพสิ่งทั้งปวง ดังนั้นเขาจึงมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงยิ่งกว่าสรรพสิ่งเช่นกัน แม้ยามปกติเขาจะมีท่าทีผ่อนคลายสบายๆ แต่เนื้อแท้แล้วคิดว่าพรสวรรค์ของตนเลิศล้ำนัก ในแง่ของพลังก็ต้องการเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งเช่นกัน

หลังจากสับสนว้าวุ่นอยู่นานพักใหญ่ หานเหลียงถอนหายใจคราหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน

เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ได้แต่ไปขอคำแนะนำจากท่านปู่เท่านั้น

….

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยจมจ่อมอยู่กับการค้นหาในกฎเกณฑ์พื้นฐาน กระแสของกฎเกณฑ์ที่เคลื่อนผ่านไปรวดเร็วสุดขีด นี่คือเครื่องบ่งชี้ว่ากาลเวลาในโลกภายนอกก็ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วมากเช่นกัน

ในอดีตตอนที่หานเจวี๋ยพิสูจน์เทพผู้สร้างได้ ผลลัพธ์คือยุคสมัยไร้สิ้นสุดผ่านไปแล้ว ยังคงเป็นตัวเขาที่ย้อนทุกสิ่งกลับคืนมา ถึงได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แต่เขาก็ไม่กังวลเลย ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่ก็ไม่สูญเสียอายุขัยต้นกำเนิดไป

เมื่อเขาเริ่มจับทางกฎเกณฑ์พื้นฐานรูปแบบพิเศษได้ ความเข้าใจที่เขามีต่อกฎเกณฑ์พื้นฐานก็แจ่มชัดขึ้นไม่น้อย ถึงขั้นที่เขาตรึกตรองได้อย่างอิสระเสรี ไม่ต้องไหลไปตามกระแสของกฎเกณฑ์พื้นฐาน

เทพผู้สร้างคือสิ่งใด ยอดปฐมยุคคือสิ่งใด

เทพผู้สร้างคือผู้สรรค์สร้างทุกสิ่ง

เช่นนั้นคำนิยามของยอดปฐมยุคเป็นเช่นไร

หานเจวี๋ยคิดว่าทุกสิ่งก็คือดินแดนเวิ้งว้าง จุดสูงสุดย่อมต้องมีอยู่เหนือกว่าดินแดนเวิ้งว้าง

ในช่วงที่เขาก้าวออกจากดินแดนเวิ้งว้างได้ ก็นับว่าเขาสำเร็จเป็นยอดปฐมยุคได้แล้ว ส่วนการเข้าแทนที่ดินแดนเวิ้งว้างของโลกปฐมยุคอันที่จริงแล้วมิใช่เงื่อนไขในการสำเร็จเป็นยอดปฐมยุคเลย

ต่อให้แทนที่ได้ โลกปฐมยุคก็จะกลายเป็นดินแดนเวิ้งว้าง เขาไม่อาจก้าวพ้นไปจากโลกปฐมยุคได้แล้วจะมีอะไรแตกต่างจากตอนนี้เล่า

ความแตกต่างเพียงข้อเดียวที่อาจจะเป็นไปได้ก็คืออำนาจในการควบคุมทุกสิ่งของเขาจะแกร่งกล้ายิ่งขึ้น

แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยไม่ได้มีความปรารถนาอยากควบคุมทุกสิ่ง เขาต้องการจะแสวงหาความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นกฎเกณฑ์พื้นฐานสายหนึ่งที่พิเศษออกไป มันเป็นสีม่วงคล้ายกับปราณอนธการ ทันทีที่เคลื่อนผ่านมาเขาก็ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

ความเร็วของมันว่องไวยิ่ง หากเปลี่ยนเป็นผู้สร้างมรรคาคงไล่ตามไม่ทัน แต่หานเจวี๋ยกลับไล่ตามได้อย่างสบายๆ

หานเจวี๋ยเข้าไปดูใกล้ๆ กฎเกณฑ์สีม่วงสายนี้เยียบเย็นอย่างยิ่ง แม้แต่เทพผู้สร้างอย่างเขาก็ยังรู้สึกหนาวสะท้าน

‘นี่คือสิ่งใด’

จิตรับรู้ของเขาพุ่งตรงเข้าไปหา

ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งดินแดนเวิ้งว้างพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างยิ่ง ทำให้สรรพสิ่งตั้งตัวไม่ทัน

เหล่าผู้สร้างมารวมตัวกันที่ตำหนักพ้นนิวรณ์เป็นอันดับแรก หารือเรื่องนี้กันด้วยความตระหนก

“เกิดอะไรขึ้น”

“ก่อนหน้านี้มีไข่สายฟ้าใบนั้น ตอนนี้ห้วงมิติเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอีก”

“หรือว่าจะเกิดหายนะอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนขึ้นจริงๆ”

“ไม่ทราบแน่ชัด จับสัมผัสไม่ได้เลย อีกทั้งไม่มีกลิ่นอายพลังพิเศษปรากฏขึ้นด้วย”

“กฎเกณฑ์ทั้งหมดก็มั่นคงดี”

เหล่าผู้สร้างพากันพูดคุยหารือ

ในเวลาเดียวกันนี้ หานเหลียงที่คุกเข่าอยู่หน้าอาณาเขตเต๋าของหานเจวี๋ยพลันเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาส่องทะลุโลกใบนี้ไป มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของดินแดนเวิ้งว้าง

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หัวใจเขาเริ่มเต้นแรง

“สายเลือดของข้า…”

หานเหลียงลูบคลำไปตามร่างกายตน สีหน้าแปรเปลี่ยน

เขารับรู้ได้ถึงพลังอันแกร่งกล้าประการหนึ่งที่เดือดพล่านอยู่ในสายเลือด ก่อนค่อยๆ ผสานรวมเข้ากับดวงวิญญาณของเขา

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

Status: Ongoing
ชาติก่อนอายุสั้น ไม่ทันได้ใช้ชีวิต ชาตินี้จึงขอพากเพียรบำเพ็ญเซียน ลาภยศสตรีมีหรือจะสู้การเป็นอมตะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท