บทที่ 1192-2 ยอดปฐมยุค (2) จบบริบูรณ์
ฉู่เสี่ยวชีกลับตกใจ รีบหยิบกระบี่ลุกขึ้นยืน
หานเจวี๋ยเดินเข้ามาหา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดไม่สนใจข้าเลย”
สิงหงเสวียนถาม “มีเรื่องใด”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจนใจว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นร่างแยกอย่างนั้นหรือ แต่ร่างแยกของข้าสามารถออกจากอาณาเขตเต๋าได้ด้วยหรือ”
พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ สิงหงเสวียนพลันตัวสั่นขึ้นมา รีบหันกลับไปมองหานเจวี๋ย
นางพบว่าหานเจวี๋ยอุ้มทารกคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน ทารกน้อยไม่ได้ร้องไห้งอแง เพียงมองหานเจวี๋ยตาแป๋ว
นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพี่หรือ”
หานเจวี๋ยตอบด้วยรอยยิ้ม “อืม ร่างแยกของข้าไม่กล้าสวมรอยเป็นข้าหรอก”
สิงหงเสวียนตื่นเต้นปรีดาขึ้นมาทันที รีบเดินเข้าไปหาหานเจวี๋ย เอ่ยถามว่า “ไฉนท่านจึงปิดด่านยาวนานปานนี้ ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าสู่อารามเต๋าของท่านด้วย ท่านรู้หรือไม่ว่าผ่านมานานเพียงใดแล้ว ผ่านมาถึงล้านล้านปีแล้วนะ”
“ยังมีอีก เด็กคนนี้เป็นใคร กลิ่นอายแตกต่างไปจากท่าน แตกต่างไปจากพวกฮวงเอ๋อร์ คงมิใช่เชื้อสายของท่านกระมัง”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ข้าปิดด่านทะลวงระดับ ส่วนเด็กคนนี้ประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่นัก”
สิงหงเสวียนถาม “ผู้ใดหรือ”
“นางคือร่างอวตารของดินแดนเวิ้งว้าง”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ฮ่าๆ เจ้าจงรู้ไว้เพียงว่านางจะกลายเป็นเทพผู้สร้างในภายภาคหน้าก็พอ”
“เทพผู้สร้างอย่างนั้นหรือ”
สิงหงเสวียนมีสีหน้าตกใจ นางรีบจับมือหานเจวี๋ยแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นท่านเล่า”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้ามิใช่เทพผู้สร้างอีกต่อไปแล้ว”
สิงหงเสวียนรู้สึกกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม หานเจวี๋ยโน้มตัวเข้าไปข้างหูนางพลางกระซิบว่า “ข้าก้าวข้ามผู้สร้างไปแล้ว กลายเป็นตัวตนสูงสุด แม้แต่ดินแดนเวิ้งว้างก็ตกอยู่ในการควบคุมของข้าแล้ว วันหน้าโลกปฐมยุคจะขยายตัวต่อไป จนกระทั่งเข้าแทนที่ดินแดนเวิ้งว้าง แต่ดินแดนเวิ้งว้างจะไม่มีทางหายไป ข้าแปลงกายให้นาง ภายภาคหน้านางจะกลายเป็นเทพผู้สร้างแห่งยุคสมัยไร้สิ้นสุด ส่วนข้าจะเลือนรางไปจากความทรงจำของสรรพสิ่ง วันหน้าจะออกท่องเที่ยวไปกับเจ้าอย่างเต็มที่”
สิงหงเสวียนตื่นเต้นปรีดา นางข่มความตื่นเต้นไว้ถามออกไปว่า “เช่นนั้นต่อไปท่านจะฝึกบำเพ็ญต่อหรือไม่”
“ย่อมต้องฝึกบำเพ็ญ แต่ข้าไม่จำเป็นต้องทุ่มบำเพ็ญอย่างสุดตัวแล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
เขาไร้พ่ายอย่างสิ้นเชิงแล้ว บรรลุถึงระดับยอดปฐมยุคที่เขากำหนดไว้ เขาผสานรวมกับกฎเกณฑ์พื้นฐานทั้งหมด สรรค์สร้างให้เจตจำนงดินแดนเวิ้งว้างกลายเป็นดวงจิต ถึงอย่างไรเขาก็ถือกำเนิดขึ้นจากดินแดนเวิ้งว้างจึงไม่คิดจะสังหารตัดตอนดินแดนเวิ้งว้างให้สิ้นซาก
หานเจวี๋ยไม่ไว้ใจว่าดินแดนเวิ้งว้างจะยอมอดทนต่อตนได้ แต่ตอนนี้เขาแข็งแกร่งกว่า เขายอมใจกว้างต่อดินแดนเวิ้งว้างได้ ก็เหมือนที่ยอมใจกว้างต่อเหล่าผู้สร้างมรรคา
หานเจวี๋ยเดินเข้าไปหาฉู่เสี่ยวชี ยื่นทารกน้อยให้เขา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ช่วยดูแลนางแทนปฐมบรรพชนอย่างข้าทีได้หรือไม่”
ปฐมบรรพชนหรือ
ฉู่เสี่ยวชีตะลึงงัน รู้สึกเหนียมอาย
ในหัวเขามีเพียงความเดียวเท่านั้น
คนผู้นี้ช่างหน้าตาดีเหลือเกิน!
หานเจวี๋ยจูงมือสิงหงเสวียน เลือนหายไปจากจุดเดิม
สิงหงเสวียนรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน ทั้งสองคนมาโผล่เหนือตำหนักพ้นนิวรณ์
“มาที่นี่ด้วยเหตุใด”
สิงหงเสวียนถามด้วยความสงสัย ไม่นานนักนางก็ถูกทิศทางหนึ่งดึงดูดความสนใจ เห็นเพียงว่าดินแดนเวิ้งว้างที่อยู่ไกลออกไปเป็นสีแดงเข้ม มองไม่เห็นปลายทาง ฝั่งหนึ่งเป็นสีขาวโพลนอีกฝั่งเป็นสีแดงเข้ม มีตำหนักพ้นนิวรณ์เป็นจุดศูนย์กลาง เสมือนแบ่งแยกดินแดนเวิ้งว้างออกเป็นสองส่วน
หานเจวี๋ยถามยิ้มๆ “รับรู้ได้แล้วกระมัง”
สิงหงเสวียนถามด้วยความประหม่า “ที่นี่คืออนาคตหรือ”
“ถูกต้อง นี่คืออนาคตในอีกนานแสนนานข้างหน้า นานจนยอดมหามรรคอาจบรรลุขีดจำกัด โลกปฐมยุคยึดครองดินแดนเวิ้งว้างได้ครึ่งหนึ่ง ยุคนี้มีผู้สร้างมรรคาสี่สิบเก้ารายแล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบา ราวกับพูดถึงเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด
สิงหงเสวียนถามด้วยความแปลกใจ “ท่านพาข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “แสดงอิทธิฤทธิ์ให้เจ้าประจักษ์”
แสดงอิทธิฤทธิ์เช่นนั้นหรือ
สิงหงเสวียนฉงนยิ่งกว่าเดิม
ในเวลานี้เอง รัศมีอำนาจน่าหวาดหวั่นสายแล้วสายเล่าครอบงำลงมา ผู้สร้างมรรคาทยอยปรากฏตัวขึ้น
เจ้านวฟ้าบุพกาล มหาเทวาพ้นนิวรณ์ มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล หานฮวง บรรพชนเต๋า ลี่เหยา หานหลิง ผานกู่ บรรพชนเทพปฐมกาล เทวีตราวินัย ตู๋กูอู๋ เทพมารชีวิต เต้าจื้อจุน หานเย่ ฉู่เสี่ยวชี จี้เซียนเสิน สวินเซิ่งจุน ฟางเหลียง อู๋เซียงเทียนเซี่ยตลอดจนพวกมหาจักรพรรดิเฉินนี่
สิงหงเสวียนมองพวกเขา จู่ๆ ก็เข้าใจความคิดหานเจวี๋ยขึ้นมา
“เทพผู้สร้าง ท่านจะกลืนกินดินแดนเวิ้งว้างจริงๆ น่ะหรือ”
บรรพชนเต๋าเอ่ยถามเสียงเครียด เหล่าผู้สร้างมรรคาอย่างเจ้านวฟ้าบุพกาล จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ มู่หรงฉี่ตลอดจนพวกหานหลิงถอยห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ แบ่งแยกขอบเขตอย่างชัดเจน
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามาพร้อมกันเถิด หากเอาชนะข้าได้ ข้าจะละเว้นไร้สิ้นสุด นับจากนี้ไปโลกปฐมยุคจะไม่ขยายตัวอีก”
พอสิ้นเสียงเขา เหล่าผู้สร้างมรรคาตะลึงงัน ล้วนไม่กล้าผลีผลามเข้ามา
หานเจวี๋ยพลันสะบัดแขนเสื้อ ผู้สร้างมรรคาทั้งสี่สิบเก้ารายสลายเป็นเถ้าธุลี ไม่หลงเหลือกลิ่นอายแม้แต่เสี้ยวเดียว
สิงหงเสวียนเบิกตากว้าง แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ถามอย่างระมัดระวัง “นี่คือภาพมายาหรือ”
“เป็นความจริง”
หานเจวี๋ยโบกมืออีกครั้ง เหล่าผู้สร้างมรรคาฟื้นคืนชีพกลับมา พวกเขามองหานเจวี๋ยด้วยความตระหนกหวาดกลัว พากันถอยห่างออกไป ความรู้สึกที่สิ้นชีพไปเมื่อครู่ทำให้พวกเขาหวาดผวา
หานเจวี๋ยไม่สนใจพวกเขา พาสิงหงเสวียนออกไปนอกดินแดนเวิ้งว้าง
มืดมิดอย่างสมบูรณ์ แต่กลับมีสีขาวนวลผืนหนึ่งอยู่เบื้องล่าง
สิงหงเสวียนรู้สึกตกตะลึง เอ่ยถามออกไป “นี่คือดินแดนเวิ้งว้างหรือ”
“นอกดินแดนเวิ้งว้างไม่มีตัวตนใดๆ อีก เดิมทีดินแดนเวิ้งว้างก็ไร้สิ้นสุดอยู่แล้ว ห้วงความมืดนี้เป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้น ปรากฏขึ้นในแบบที่เจ้าจะสามารถเข้าใจได้ ตอนนี้ข้าทำลายล้างดินแดนเวิ้งว้างทิ้งได้ทุกเมื่อ และฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งได้อย่างง่ายดาย” หานเจวี๋ยเอ่ยอธิบายเสียงเบา
สิงหงเสวียนแสดงสีหน้าเคารพลื่อมใส
“ท่านพี่ ท่านร้ายกาจจริงๆ”
“จะร้ายกาจสักเพียงใด ข้าก็เพียงอยากแสดงให้เจ้าเห็นเท่านั้น การแสดงจบลงแล้ว พวกเราสมควรกลับกันได้แล้ว”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นพาสิงหงเสวียนกลับมายังหน้าผาแห่งนั้นอีกครั้ง
ฉู่เสี่ยวชีกำลังหยอกเทพผู้สร้างในอนาคตเล่นอยู่
หลังจากร่อนลงสู่พื้น สิงหงเสวียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “อนาคตที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นความจริง ในอนาคต…”
หานเจวี๋ยพยักหน้าตอบไปว่า “ถูกต้อง สักวันหนึ่งสรรพสิ่งจะต่อต้านปฐมยุค จะปะทะกับข้า เป็นสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว”
สิงหงเสวียนซักถาม “ท่านจะยับยั้งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างไร”
หานเจวี๋ยส่ายหน้าพลางหัวเราะ “ยับยั้งหรือ เหตุใดต้องยับยั้งด้วยเล่า ปล่อยให้พวกเขาดาหน้าเข้ามาเถิด ไม่ว่าจะเป็นอดีตปัจจุบันหรือว่าอนาคต ในมุมมองของข้าก็ล้วนเป็นเส้นเรื่องเดียวกัน
“ข้าไม่ไยดีอนาคต และไม่แยแสปัจจุบัน”
หลังจากสิงหงเสวียนได้ฟังก็ตื่นตะลึงอยู่ในใจ สรุปแล้วเป็นระดับเช่นใดกันแน่
หานเจวี๋ยเดินเข้าไปหยุดเบื้องหน้าฉู่เสี่ยวชี ฉู่เสี่ยวชีพลันลุกขึ้นมาด้วยความประหม่า ไม่กล้าสบตากับเขา
“เด็กน้อย เจ้ามีเป้าหมายในอนาคตอย่างไร”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของหานเจวี๋ย ฉู่เสี่ยวชีตอบอย่างอึกๆ อักๆ ว่า “ข้าอยากสำเร็จเป็นเซียน ข้าอยากมีชีวิตอมตะ… ข้าอยากเป็นเช่นเดียวกับท่านขอรับ”
หานเจวี๋ยลูบศีรษะเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่กล่าวมาในตอนแรกทำได้แน่ แต่ประโยคสุดท้ายนั้น อย่าไปนึกถึงเลย”
เขารับตัวทารกน้อยมา แต่จู่ๆ ก็ผลักฉู่เสี่ยวชีลงไปจากหน้าผา
ฉู่เสี่ยวชีตกใจมาก คิดจะโคจรพลังวิญญาณ แต่พบว่าตนขยับเขยื้อนไม่ได้ เขามองเห็นเพียงว่าตนลอยห่างจากหน้าผาไปเรื่อยๆ ในใจเขารู้สึกสิ้นหวัง ไม่คิดเลยว่าตนจะต้องมาตายเช่นนี้
“ไปเถอะ จงมุ่งหน้าแสวงหาทางสู่เทพผู้สร้าง ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นชายผมขาวที่ข้าเคยกังวลถึงคนนั้น ข้าจะให้เจ้าได้เดินบนเส้นทางเดียวกับข้า ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะรับโชคชะตานี้ไว้ได้หรือไม่ หากรับไว้ได้ วันหน้าเจ้าจะกลายเป็นเทพผู้สร้างรายที่สอง”
หานเจวี๋ยเดินมาที่ริมหน้าผา ก้มมองลงไปด้านล่างพลางเอ่ยพึมพำ
แสงสีดำพลันสาดส่องขึ้น ทำให้ฟ้าดินสิ้นสีสัน ฉู่เสี่ยวชีถูกม้วนเข้าสู่วังวนห้วงมิติสีดำ
สิงหงเสวียนเดินเข้ามา เอ่ยด้วยความฉุนเฉียว “ท่านคิดจะทำอะไรอีก ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบต้นกล้าที่น่าสนุกสักคน ถูกท่านส่งตัวจากไปเช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าวางแผนจะผลักดันยกระดับตบะของเขา ผู้ไร้พ่ายทุกยุคสมัยในอดีต รวมถึงผู้ไร้พ่ายทุกยุคสมัยในอนาคต ล้วนจะทำนายถึงเขาได้ ล้วนจะสัมผัสถึงภัยคุกคามจากตัวเขาได้”
สิงหงเสวียนกะพริบตาปริบ “เป้าหมายเล่า”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป้าหมายหรือ แค่แก้เบื่อเท่านั้น ฮ่าๆๆ”
เขาหัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะก้องสะท้อนอยู่ในโลกา
ในเวลาเดียวกันนี้
หานเหลียงที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในอาณาเขตกฎเกณฑ์พลันลืมตาขึ้น มองเห็นฉู่เสี่ยวชีลอยเข้ามา
นี่คือครั้งแรกที่หานเหลียงและฉู่เสี่ยวชีได้พบกัน แต่ฉู่เสี่ยวชีนี้มิใช่ฉู่เสี่ยวชีที่เขารู้จัก
ทั้งสองสบตากัน ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จิตใจพลันตึงเครียดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
โจทย์เก่า!
….
จบบริบูรณ์
………………………………………………………………