บทที่ 360 อ…อาจารย์ไป๋! (1)
พิธีมอบตำแหน่งให้ไป๋เยี่ยจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่วิทยาลัยแพทย์ยูเนียน
เดิมทีไป๋เยี่ยคิดว่าตนเพียงแค่อาจารย์ที่ถูกจ้างมาทั่วๆ ไปเท่านั้น ทว่ามันกลับยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก
ผู้บริหารของวิทยาลัยแพทย์ยูเนียนต่างมาที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อไม่ให้ไป๋เยี่ยเสียหน้า แม้แต่รองผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยชิงหวาอย่าง ‘อู๋เจี้ยนเหลียง’ เองก็มาที่นี่ด้วย เรียกได้ว่าทุกคนล้วนให้ความสำคัญกับการขึ้นเป็นอาจารย์ที่ยูเนียนของไป๋เยี่ยมาก
เกาเย่ว์หยางขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทย์ยูเนียน
ส่วนไป๋เยี่ยก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ด้านกระดูกและข้อและเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาปริญญาโท เขาได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ระดับสี่ ซึ่งจะมีสิทธิ์รับนักศึกษาระดับปริญญาโทที่ยูเนียนได้
ข่าวนี้ถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ทางการของโรงพยาบาลในตอนเที่ยงของวันนั้น และยังถูกตีพิมพ์ลงในวารสารของมหาวิทยาลัยด้วย
พิธีแต่งตั้งกินเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทว่าก็ยังมีหลายคนที่พยายามมาทั้งชีวิตเพื่อเวลาครึ่งชั่วโมงนี้แต่กลับไม่เคยได้รับมันเลย
สถานศึกษาจะเงียบมากในเดือนมิถุนายน โดยเฉพาะวิทยาลัยแพทย์ เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือและทำโจทย์
และเพราะว่ายูเนียนเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับชาติ จึงมีข้อกำหนดด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานที่เข้มงวดมากสำหรับนักศึกษา
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ทุกคนต้องหันมาทำงานหนัก
ไป๋เยี่ยเดินชมนกชมไม้อยู่ในมหาวิทยาลัย แสงแดดสว่างจ้าส่องแสงผ่านกิ่งก้านของต้นไม้อายุนับร้อยปี
เดือนมิถุนายนนี่แดดแรงจริงๆ!
ไป๋เยี่ยรู้สึกสบายใจมากเมื่อได้มาอยู่ที่มหาวิทยาลัยในฝัน
ในที่สุดก็ได้มาที่นี่!
ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้ามาที่นี่ได้ด้วยตนเอง แต่เพราะได้รับคำเชิญจากผู้อื่นก็ตาม
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ไป๋เยี่ยก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาหลีจื่อเหยียน
[ทำธุระเสร็จยัง]
นับตั้งแต่ตอนที่หลีจื่อเหยียนสอบเข้าปริญญาเอกได้ เธอก็แทบไม่ได้กลับไปที่ผู่เจ๋อเลย ปกติแล้วเธอจะใช้เวลาอยู่ในยูเนียนมากกว่า ไม่ว่าจะติดตามอาจารย์ไปราวน์วอร์ดหรือช่วยรุ่นพี่ในแล็บก็ตาม
ซึ่งเจิงซินกว๋อก็ดูจะชอบใจหลีจื่อเหยียนมาก เขาพยายามดูแลลูกศิษย์คนนี้อย่างเต็มที่ อย่างไรเสียก็มีแนวโน้มว่านี่อาจจะเป็นนักศึกษารุ่นสุดท้ายที่เขาจะรับแล้ว จากนั้นเขาก็จะไม่รับใครอีก จะไม่ให้รู้สึกเศร้าได้อย่างไร
เมื่อไป๋เยี่ยมาถึงยูเนียน เขาก็โทรหาหลีจื่อเหยียนและนัดเธอมากินข้าวกลางวันด้วยกัน
หลีจื่อเหยียน [ฉันเพิ่งออกมาจากแล็บ นายอยู่ไหน ฉันจะไปหา]
ไป๋เยี่ยเดินไปรอบๆ มหาวิทยาลัยอย่างไร้จุดหมาย ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอาคารห้องแล็บอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขากวาดสายตาไปรอบๆ และเห็นหลีจื่อเหยียนในชุดเสื้อแขนสั้นกางเกงยีนส์และรวบผมหางม้าสบายๆ กำลังก้มหน้าก้มตาตอบข้อความเขาอยู่
ไป๋เยี่ยหลุดยิ้มก่อนจะส่งข้อความไป [หลับตาลงแล้วพูดว่าไป๋เยี่ยสามครั้งสิ แล้วฉันจะโผล่ไปให้เห็น]
หลีจื่อเหยียนหลุดหัวเราะกับข้อความของไป๋เยี่ย เธอหันหลับมาและพบกับไป๋เยี่ย “นี่นายไม่รู้เหรอว่านี่เป็นที่ของฉัน ฉันมีหูมีตาอยู่ทุกที่นะ!”
ไป๋เยี่ยรีบยกมือขึ้น “ผมเพิ่งมาใหม่ครับ ฝากตัวด้วย”
หลีจื่อเหยียนเหลือบมองไป๋เยี่ย “ให้ฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงไหม อาจารย์ฉันให้บัตรโรงอาหารมาน่ะ ฉันจะพานายไปเอง ไปลองชิมอาหารที่ยูเนียนกันคิดว่าไง”
ไป๋เยี่ยตอบ “ได้สิ ตอนที่ฉันเรียนม.ปลาย ยูเนียนคือมหาวิทยาลัยในฝันของฉันเลยนะ เสียดายที่สอบไม่ติด วันนี้ฉันจะกินอาหารที่ไม่เคยกินที่ยูเนียนให้หมดเลย!”
หลีจื่อเหยียนรู้สึกขบขันกับพฤติกรรมเด็กน้อยของไป๋เยี่ย ทั้งสองคนเดินไปด้วยกันโดยรักษาระยะห่างไว้หนึ่งเมตรเสมอ
ไป๋เยี่ยรู้จักกับหลีจื่อเหยียนมากว่าครึ่งปีแล้ว รู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทำตัวเป็นธรรมชาติ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เธอไม่มีความคิดเลอะเทอะใดๆ ทั้งยังเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ เรียบง่าย ใจกว้างและจริงใจ นั่นคือหลีจื่อเหยียนในมุมมองของไป๋เยี่ย
เธอเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่งที่มีชีวิตเป็นของตนเอง มีสิ่งที่ตนเองอยากไขว่คว้าและยืนหยัดเพื่อมัน บางทีเธออาจจะไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยที่สุดที่ไป๋เยี่ยเคยรู้จักมา แต่เธอคือคนที่ทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกสบายใจมากที่สุด นั่นทำให้ไป๋เยี่ยประทับใจมาก
ณ โรงอาหาร ไป๋เยี่ยและหลีจื่อเหยียนนั่งตรงข้ามกัน ทั้งสองคนเลือกกินอาหารง่ายๆ โดยไม่พูดไม่จา ทว่าขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงซุบซิบจากเพื่อนร่วมชั้นรอบๆ
“สองวันก่อนฉันเพิ่งจะกรอกใบสมัครส่งอาจารย์ไป ส่งไปให้แผนกวิชาการตั้งหลายครั้ง เอากลับมาแก้ก็หลายครั้งในที่สุดก็เสร็จสักที!”
“ฉันด้วย อย่าว่าแต่นายเลย คนที่โรงพยาบาลเราก็สมัครโครงการฉางเจียงก็สมัครกันตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ช่วงเวลานี้ของทุกปีก็คือเทศกาลกรอกใบสมัครดีๆ นั่นแหละ!”
“พอได้แล้ว ช่วงนี้ฉันไปช่วยงานที่แผนกวิชาการมา พวกนายกรอกบ้าอะไรกันเนี่ย ตัวหนังสือยังเขียนไม่เท่ากันเลย แผนกวิชาการต้องตรวจสอบก่อน พอสมัครไปแล้วรัฐบาลก็จะเป็นคนคัดเลือกเอง ถ้าพวกนายพลาดไปเพราะรายละเอียดเล็กๆ แบบนั้นจะน่าเสียดายขนาดไหนกัน!” ผู้ชายคนหนึ่งมองเพื่อนอีกสองคนด้วยสายตาเหยียดหยาม
“แต่…ต่อให้จะพรรณนามาดีแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก ถึงเวลาคัดเลือกเขาก็ดูตามเกณฑ์ชี้วัดทั้งนั้น ไม่ได้ไปนั่งอ่านอะไรแบบนั้นหรอก เหล่าซื่อ ที่นายเขียนส่งให้อาจารย์น่ะไม่มีประโยชน์อะไรเลย อย่างน้อยๆ เขาก็ต้องการคนเก่งๆ ระดับประเทศไม่ใช่เหรอ”
คนอื่นๆ ต่างถอนหายใจ “ก็นั่นคือนักวิชาการฉางเจียง พวกเขาเป็นรองแค่ผู้อำนวยการเท่านั้น มันคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก ทุกคนในนั้นก็เป็นสมบัติของชาติและเป็นลูกรักของมหาวิทยาลัยทั้งนั้น”
ทันใดนั้นเสียงประชาสัมพันธ์ก็ดังขึ้นทั่วโรงอาหาร
“สวัสดีตอนบ่าย นักศึกษาที่รักทุกคน ถึงเวลาแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ประจำวันของมหาวิทยาลัยแล้ว วันนี้เรามีข่าวสำคัญมาแจ้งเล็กน้อย”
“วันนี้ผู้อำนวยการเกาเย่ว์หยางและผู้อำนวยการอู๋เจี้ยนเหลียงได้ประกาศแต่งตั้งให้ไป๋เยี่ยเข้ามาเป็นศาสตราจารย์และอาจารย์ที่ปรึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยเรา โดยเขาจะได้เป็นศาสตราจารย์ระดับสี่ นี่คือผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็นกรณีพิเศษคนแรกตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยมา
ศาสตราจารย์ไป๋เยี่ยมีอายุแค่ยี่สิบห้าปีเท่านั้น แต่กลับได้รับรางวัลผลงานดีเด่นของสาขาทวารหนัก เป็นผู้เรียบเรียงหนังสือชีววิทยาฉบับใหม่ร่วมกับผู้อำนวยการเกาเย่ว์หยางและนักวิชาการคังเจี้ยนเซิงเพื่อเปิดศักราชใหม่แห่งการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์…”
“แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ระบุไว้ว่าศาสตราจารย์ไป๋เยี่ยจะเข้าร่วมการคัดเลือกนักวิชาการฉางเจียงด้วย ถ้าเขาได้รับการคัดเลือก เขาจะกลายเป็นนักวิชาการฉางเจียงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และบางทีอาจเป็นนักวิชาการฉางเจียงที่มีอนาคตไกลมากที่สุดด้วย นอกจากนี้เขาจะเข้ามามีส่วนร่วมกับมหาวิทยาลัยยูเนียนของเรา มาร่วมอวยพรให้กับอาจารย์ไป๋เยี่ยกันเถอะ!”
“อีกไม่นานบนตารางเรียนของทุกคนก็คงมีชื่อของอาจารย์สุดหล่อท่านนี้! มารอดูกัน…”
ข่าวนี้ทำให้โรงอาหารที่แต่เดิมกำลังครึกครื้นเงียบลงในทันใด!
ไป๋เยี่ยจะเข้ามาเป็นอาจารย์ที่นี่งั้นเหรอ
เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง
พระเจ้า!
ข่าวนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย บางคนถึงขั้นรับไม่ได้กันเลยทีเดียว ข่าวนี้มันน่าตกใจเกินไป…
มีนักศึกษาปริญญาโทหรือเอกคนไหนที่นี่มีอายุน้อยกว่าไป๋เยี่ยบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะได้เป็นอาจารย์แล้ว
เขาคืออาจารย์ของยูเนียน!
เป็นศาสตราจารย์ของชิงหวาจะไปเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ได้อย่างไร
ทุกคนที่นี่ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือเป็นผู้บุคลากรระดับสูงจากทั่วประเทศ แต่ดูไป๋เยี่ยสิ เขาได้เป็นศาสตราจารย์แบบเต็มตัวแล้ว!
นี่สินะ ความแตกต่างระหว่างคนมีพรสวรรค์กับคนเก่ง
ทุกคนคิดแล้วก็เริ่มกินข้าวไม่ลง มันช่างจืดชืด แต่จะคายทิ้งก็ไม่ได้!
แต่เมื่อลองเปลี่ยนความคิดดู ทำไมเราถึงต้องเปรียบเทียบตนเองกับคนบ้าด้วย
นั่นสิ!
ว่างจนไม่มีอะไรทำเลยสินะ
ขนาดอาจารย์ที่ปรึกษาวัยสี่สิบห้าสิบปียังไม่ใช่อาจารย์ประจำที่ยูเนียนเลย เราจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับไป๋เยี่ยทำไม
เรื่องความอาวุโสแทบไม่ต่างกันเลย!
ทุกคนคิดได้ดังนั้นก็ค่อยสบายใจหน่อย ทว่าเมื่อพวกเขามองดูอาหารตรงหน้า กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป
ดูท่ากับข้าวจะขาดเนื้อไปหน่อยแฮะ
ดังนั้นทุกคนจึงลุกขึ้นไปซื้อขาไก่และคอเป็ดมาเพิ่ม จะมัวกังวลไปทำไม กินให้อร่อยดีกว่า!