ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 265 ของวิเศษต้องห้ามถือกำเนิด!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 265 ของวิเศษต้องห้ามถือกำเนิด!

“นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงต้องส่งเผ่าเงือกที่รักกลับไปพบบรรพบุรุษของพวกเขาตอนที่พบหน้าเจ้าครั้งแรก” ศิษย์พี่สามยิ้มตาหยีเอ่ยปาก

เมื่อนายกองที่อยู่ข้างๆ เห็นฉากนี้ก็ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม เขารู้อยู่เต็มอกว่าน้องสามไม่ใช่คนที่พูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการสานความสัมพันธ์กับสวี่ชิง

สวี่ชิงมองศิษย์พี่สามผาดหนึ่ง ในหัวปรากฏภาพที่อีกฝ่ายบี้หัวหญิงสาวเผ่าเงือกด้วยเท้าอย่างอ่อนโยนที่ท่าเรือเมื่อครั้งอดีต ตอนนั้นเขารู้สึกว่าศิษย์พี่สามคนนี้อันตราย เวลานี้เมื่อมองอีกครั้ง ระดับความอันตรายก็ยังคงอยู่

‘แต่ว่าถ้าสู้กันจริงๆ ข้าก็น่าจะเอาตัวรอดได้’ สวี่ชิงชั่งน้ำหนักในใจเสียทีหนึ่ง ประสานหมัดคารวะ

“ของขวัญพบหน้า” ศิษย์พี่สามยังคงยิ้มละไม ล้วงปึกตั๋ววิญญาณปึกหนึ่งยัดให้สวี่ชิง จากนั้นเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ที่นอกเกาะกิ้งก่าทะเลครั้งนั้น เจ้ายังไม่ใช่ศิษย์น้องข้า ข้าจึงแค่ไล่ตามเจ้าเล่นๆ เท่านั้น ศิษย์น้องเล็กอย่าได้ถือสาเลย เรื่องนี้ถือว่าข้าติดค้างน้ำใจเจ้าคราหนึ่ง”

สวี่ชิงมองศิษย์พี่สามผาดหนึ่ง

วันนั้นระหว่างที่หลบหนีจากเกาะกิ้งก่าทะเล เขาถูกปราณเต๋าหลายสายพุ่งเป้าไล่สังหาร แม้ตั้งแต่ต้นจนจบจะไม่เห็นว่าคนเหล่านั้นคือใคร แต่ต่อมาเขาก็รู้สึกได้รางๆ ว่าท่าทีของศิษย์พี่สามไม่ถูกต้อง ในใจเคลือบแคลงอยู่บ้าง

แต่ตอนนี้อีกฝ่ายพูดออกมาเอง สวี่ชิงก็รู้สึกเกินคาด รับตั๋ววิญญาณไปกวาดตามอง นี่คือห้าแสนก้อนหินวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ จึงพยักหน้าเก็บมา

เห็นสวี่ชิงเก็บหินวิญญาณลงไป ศิษย์พี่สามก็ผ่อนใจโล่ง เขารู้สึกหวงแหนบรรยากาศในยอดเขาลำดับเจ็ดมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือเขารู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กอย่างสวี่ชิงเป็นคนประเภทที่ว่าถ้าจัดการในรอบเดียวไม่ได้ เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ใช้ความโหดเหี้ยมอำมหิต จดจำไปทั้งชีวิต ถ้าไม่ตายก็ไม่เลิกรา

เขาไม่อยากจะไปยั่วโมโหคนเช่นนี้มากที่สุด ตอนกำลังจะเอ่ยต่อ บนท้องฟ้าก็มีเสียงคำรามกราดเกรี้ยวจนคนหูหนวกยังได้ยิน ทำให้ดินสะท้านเขาสะเทือน ท้องฟ้าเกิดคลื่นเป็นรูปเกล็ดปลา แผ่ออกไปทั้งสี่ทิศ

“เสี่ยเลี่ยนจื่อ เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!”

ทุกคนเงยหน้ามอง

ได้เห็นท้องฟ้ามีปราณกระบี่พาดขวางราวกับจะตัดผ่าท้องนภา เงากระบี่หลายสายที่แฝงพลังทำลายล้าง เพียงแค่มองแค่ผาดหนึ่ง สวี่ชิงก็รู้สึกปวดตาไปหมด โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นว่าบนท้องฟ้ายังมีมือแห้งเหี่ยวที่คุ้นเคยข้างหนึ่งปรากฏขึ้น

มือนี้ราวกับมือของเทพเจ้า แฝงความเป็นเทพที่น่ากลัวไว้ด้วย คลื่นพลังสามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์จนรอบด้านมีร่างเงาเลือนรางหลายร่างปรากฏขึ้นเหมือนนักปราชญ์ผ่านมา ปรากฏเป็นภาพมายาให้การสนับสนุนตรงกลางมือแห้งเหี่ยวข้างนี้

ราวกับสามารถเด็ดดวงดารา ราวกับสามารถบดขยี้ฟ้าดิน พุ่งทะลวงท้องนภาคว้าความว่างเปล่า

ความว่างเปล่าปริแตกเป็นชั้นๆ ท้องฟ้ากลายเป็นทะเลเลือดสาดซัด จากนั้นเมื่อร่างเงาเลือนรางย่างกรายก็มีเสียงร้องนกนางแอ่นก่อตัวเป็นพลังสะกดที่น่าตกตะลึง

สวี่ชิงม่านตาหดลง ขณะเดียวกันบนท้องฟ้าเสี่ยเลี่ยนจื่อก็กลายเป็นเส้นเลือดนับไม่ถ้วน แผ่ความชั่วร้ายขีดสุดที่น่าตกตะลึงออกไปด้วยเช่นกัน ราวกับมารร้ายที่ฆ่าไม่ตาย ต่อให้จะมีปราชญ์เยื้องกราย ต่อให้มีทะเลกระบี่สะกด ก็ยังทำอันใดกับความโหดเหี้ยมของเขาไม่ได้เลย

เสียงหัวเราะเคี๊ยกๆ ก้องสะท้อน เส้นเลือดนับไม่ถ้วนราวกับเป็นอสรพิษโลหิตร้ายจำนวนมหาศาลที่สามารถกลืนกินภูเขาแม่น้ำได้ ทุกจุดที่แล่นผ่านปราณกระบี่มลายหาย เงากระบี่สูญสลาย ท้ายสุดก็กลายเป็นศีรษะของมังกรอสรพิษเหี้ยม พุ่งกระแทกมือแห้งเหี่ยวนั่นอย่างแรง

ฟ้าดินสั่นสะเทือนราวเสียงอัสนีขนาดยักษ์ ขณะที่ก้องขึ้นในเมฆยามราตรี มือแห้งเหี่ยวก็เลือนหาย ร่างของบรรพจารย์หลิงอวิ๋นถอยหลัง ศีรษะที่แปรมาจากสายเลือดนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็ถอยหลังเช่นกัน แปลงกลับเป็นร่างเสี่ยเลี่ยนจื่อ จิตสังหารแผ่ซ่านในดวงตา หัวเราะลั่น

“ผู้เฒ่าหลิงอวิ๋น เจ้าโตกว่าข้าพันปี แต่ก็เท่านี้”

“สุดท้ายพลังบำเพ็ญสำนักชั้นล่างก็ต้องถูกสะกด เสี่ยเลี่ยนจื่อ ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย ส่งตัวสวี่ชิงคืนตะเกียงแห่งชีวิตมาเสีย ปฏิบัติตามโองการของพันธมิตรเจ็ดสำนัก แล้วเจ็ดเนตรโลหิตจะเป็นเช่นแต่ก่อน พันธมิตรเจ็ดสำนักจะไม่ล่วงเกินแทรกแซง!”

แววตาบรรพจารย์หลิงอวิ๋นเย็นชา มือขวายกขึ้นทำทำปางมือ ชี้นิ้วไปเบื้องหน้า ฉับพลันท้องฟ้าทะเลเลือดก็ส่งเสียครืนครัน ก่อตัวเป็นเค้าลางเงาต้นไม้โลหิต

นี่คือของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า แม้จะไม่ใช่การโจมตีอย่างแท้จริง แต่ด้วยอำนาจของบรรพจารย์หลิงอวิ๋น พลังอัญเชิญที่เขาใช้ก็น่าตกตะลึงเช่นกัน

“ไม่ล่วงเกินแทรกแซงรึ?” เสี่ยเลี่ยนจื่อหัวเราะลั่น

“นับพันปีมานี้รายรับต่อปีหกส่วนสำนักข้าต้องส่งมอบแก่พันธมิตร แล้วทุกครั้งดึงตัวเจ้าก็ศิษย์อัจฉริยะฟ้าประทานไป บ้างก็ต้องสวามิภักดิ์ บ้างก็รอให้พวกเจ้าส่งไปตายในที่ที่อันตราย

“วิชาสำนักข้าเป็นระดับรองของสำนักเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นยังซ่อนเร้นข้อบกพร่องถึงตายเอาไว้อีก แต่ทุกครั้งที่ได้รับวิชาใหม่ พวกเจ้าก็เอามันไปทั้งหมด!

“ค่ายกลใหญ่สำนักข้า อำนาจของพวกเจ้าก็มีมากกว่าสำนักข้า ถ้าเกิดเจ้ายอดเขาของสำนักข้ามีคนที่พวกเจ้าไม่พอใจ ก็จะถูกสลับสับเปลี่ยนทันที เป็นตายไม่รู้ชะตา”

ศิษย์ยอดเขาทั้งเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิตต่างนิ่งงันตามสิ่งที่เสี่ยเลี่ยนจื่อเอ่ยถึง แต่ละคนหายใจหอบถี่ ดวงตามีประกายคมปลาบก่อตัว

เห็นเช่นนี้ บรรพจารย์หลิงอวิ๋นก็เลิกคิ้ว

“กินน้ำต้องไม่ลืมคนที่ขุดบ่อน้ำ พันธมิตรเจ็ดสำนักส่งทรัพยากรกับศิษย์ให้เจ็ดเนตรโลหิตในยุคแรก จึงก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ถึงได้มีการพัฒนาภายหลังของเจ็ดเนตรโลหิตของเจ้า ทำไมหรือ ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็ลืมสำนึกบุญคุณได้หรือไรกัน!”

เสี่ยเลี่ยนจื่อได้ยินก็หัวเราะลั่นอีกครั้ง เป็นหัวเราะแฝงความเย้ยหยันอยู่ด้วย

“มีบุญคุณ ถูกต้อง!

“ศึกแดนต้องห้ามมรณะเมื่อสามพันปีก่อน สงครามกระแสวิญญาณเมื่อสองพันเจ็ดร้อยปีก่อน สงครามเผ่าเมฆาเมื่อสองพันปีก่อน สงครามใหญ่เผ่าจิตวิญญาณเมื่อหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อน…จนถึงวันนี้ เจ็ดเนตรโลหิตของข้ากรำศึกน้อยใหญ่เพื่อพันธมิตรเจ็ดสำนักของเจ้ามากว่าหกร้อยศึก!

“บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน กระดูกเต็มผืนดิน!

“การฝังศพศิษย์ที่ตายไป ยาลูกกลอนที่ใช้รักษาศิษย์ เคยร้องขอจากพันธมิตรเจ็ดสำนักของเจ้าบ้างหรือไม่ ทุกครั้งที่สำนักข้าที่ใกล้จะรุ่งโรจน์ก็พังราบในศึกสงครามตลอด สินสงครามก็ได้รับมาเพียงน้อยนิด!”

“นับพันปีนี้ สำนักข้าเคยผ่านวิกฤติล่มสลายมาแล้วเจ็ดสิบเก้าครั้ง พันธมิตรเจ็ดสำนักของเจ้าเคยช่วยเหลือสักครั้งหรือไม่ บรรพจารย์หลายยุคสมัยของข้าขอความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งบรรพจารย์รุ่นสามไปคุกเข่าที่หน้าพันธมิตร อ้อนวอนให้ช่วยเหลือ แล้วพวกเจ้าเคยสนใจสักครั้งหรือไม่

“ทุกครั้งล้วนเป็นบรรพจารย์แต่ละยุคของเจ็ดเนตรโลหิตที่มานะบากบั่นอย่างรอบคอบ ค่อยๆ เลียแผลตนเอง ค่อยๆ ฟื้นฟูกันเอง และเมื่อสำนักเริ่มมีทิศทางที่ดี พันธมิตรของพวกเจ้าก็จะมาโบกมือโยกย้ายไป!

“หรือว่าศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตของข้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ต้องตายเพื่อพวกเจ้า แล้วให้พวกเจ้านั่งเสวยสุขกัน หลิงอวิ๋น ข้าเสี่ยเลี่ยนจื่อจะขอถามพันธมิตรเจ็ดสำนักของเจ้าเสียหน่อย ขอถามฟ้าดินผืนนี้

“บุญคุณนี้ เจ็ดเนตรโลหิตของข้าทดแทนพอหรือยัง!

“บุญคุณนี้ เจ็ดเนตรโลหิตของข้าชดใช้ให้หมดแล้วหรือยัง!

“และการใช้บุญคุณแรกมาคอยบีบคั้นไม่หยุด ทำเหมือนพวกข้าสมควรเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าทำตัวสูงส่ง เมื่อเจ็ดเนตรโลหิตไม่ฟังคำสั่งให้ออกไปตายแทนพวกเจ้า ก็ถือว่าเป็นพวกลืมบุญคุณ ถ้าหากไม่เชื่อฟังคำสั่งส่งมอบรายได้ขึ้นไปก็กลายเป็นพวกเนรคุณ!

“หรือว่าบุญคุณนี้ ต้องให้เจ็ดเนตรโลหิตของข้าเป็นทาสไปทุกชาติ เพื่อชดใช้ภัยพิบัติแห่งยุคสมัยที่กำลังจะมาถึงเช่นนั้นหรือ!?”

เสียงของเสี่ยเลี่ยนจื่อราวกับลั่นระฆัง สะท้อนก้องไปทั้งฟ้าดิน ทำให้ยอดทั้งเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิตสั่นสะเทือนเสียงอื้ออึง

บรรพจารย์หลิงอวิ๋นหน้ามือดครึ้ม เรื่องของเจ็ดเนตรโลหิต ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่กำไรคือตัวตัดสินจุดยืน จึงเอ่ยเสียงเรียบ

“ไม่จำเป็นต้องพูดพล่าม คนที่ลืมบุญคุณก็มักจะมีเหตุผลมากมายร้อยแปด”

เสี่ยเลี่ยนจื่อพอได้ยินก็หัวเราะลั่น

“ช่างเป็นสำนักบนที่ยอดเยี่ยม คิดแต่จะทวงบุญคุณ ดื่มน้ำอย่าลืมคนขุดบ่อ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้…เจ็ดเนตรโลหิตของข้า ก็จะขึ้นเป็นสำนักบนเสีย!”

บรรพจารย์หลิงอวิ๋นดวงตาเผยประกายเฉียบคมทันที เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า

“สำนักเจ้า ยังไม่คู่ควร”

“เจ้าคอยดูแล้วกันว่าคู่ควรหรือไม่” เสี่ยเลี่ยนจื่ออยู่กลางอากาศ ในดวงตาเผยประกายแสงรุนแรง ยกมือขวาชี้ท้องฟ้า

“แผ่นดินหลักสิงซากสมุทร เปิดค่ายกล!”

เมื่อเสี่ยเลี่ยนจื่อพูด เมฆลมเปลี่ยนสี ฟ้าดินครืนครัน ไกลจากที่แห่งนี้ ด้านหลังเกาะรองของเผ่าดาราสมุทร เผ่าเงือกรวมถึงเผ่าสิงซากสมุทรที่อยู่ระหว่างทาง จนถึงแผ่นดินหลักเผ่าสิงซากสมุทร ผืนดินสะท้านเขาสั่นไหว

ที่นี่ เจ็ดเนตรโลหิตยึดครองพื้นที่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง

ที่นี่ มีทัพทหารใหญ่เจ็ดเนตรโลหิตที่ยังไม่ถอนตัวกลับ

ที่นี่ มีค่ายกลส่งข้ามขนาดยักษ์ที่เจ็ดเนตรโลหิตเตรียมไว้สำหรับเคลื่อนย้ายเทวรูปบรรพาชนศพเผ่าสิงซากสมุทรสององค์

เมื่อมองไป เทวรูปสององค์ถูกย้ายมาตั้งตระหง่านที่สถานที่แห่งนี้นานแล้ว ขณะที่มีท่วงท่าที่น่าตกตะลึง บนท้องฟ้าและผืนดินก็มีแสงเจิดจ้าของค่ายกลส่งข้าม ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆหมอกเหมือนถูกมือใหญ่ไร้รูปร่างปัดออกครืนครันจากท้องนภา หมุนวนไปรอบทิศอย่างบ้าคลั่ง

ตอนนี้เอง ค่ายกลบนท้องฟ้ามีสายอัสนีแข็งแกร่งฟาดผ่าออกมาจากความเจิดจ้าของแสงค่ายกลส่งข้าม ส่งเสียงกึกก้องไปทั้งเมฆา

ขณะที่เสียงนี้ก้องสะท้อน หาใช่เทวรูปบรรพาชนศพที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณสององค์บนพื้นถูกส่งข้ามไป แต่เป็น…บนท้องฟ้าต่างหาก ที่มีสิ่งของบางอย่างส่งข้ามมา

เป็นแสงห้าสาย

เจิดจ้าแยงตา มองเห็นไม่ชัด แต่แจ่มชัดอย่างรวดเร็วเมื่อเข้ามาใกล้ ทำให้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดที่จับตามองอยู่ในแผ่นดินหลักเผ่าสิงซากสมุทร ใจสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสี มาพร้อมกับความไม่อยากเชื่อและยากจะเข้าใจ

เพราะว่า สิ่งที่อยู่ในแสงทั้งห้า ก็คือ…เทวรูปบรรพาชนศพที่ไม่เคยเห็นถึงห้าองค์!

เทวรูปห้าองค์นี้ ไม่ใช่เก้าองค์แต่เดิมของเผ่าสิงซากสมุทร แต่เป็นองค์นอกเหนือจากนั้น!

ทุกองค์มาพร้อมกับความโบราณบรรพกาลและความเจนโลก มีร่องรอยกาลเวลา บนตัวพวกมันเต็มไปด้วยรอยแห้งแตก ดูแล้วเหมือนหินทั่วไป และตอนที่เยื้องย่างแผ่นดินหลักเผ่าสิงซากสมุทร พวกมันถึงระเบิดแสงเจิดจ้าออกมา

นี่คือความแปลกประหลาดของเทวรูปบรรพาชนศพเผ่าสิงซากสมุทร มีเพียงที่นี่เท่านั้น ที่พวกมันจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่

ตอนที่เทวรูปทั้งห้าย่างลงสู่พื้น ผืนแผ่นดินครืนครัน ทำให้เผ่าสิงซากสมุทรสั่นสะเทือนไปทั้งเผ่า เสียงอื้ออึง เสียงฮือฮา ดังก้องไปทั้งแปดทิศ

มองไปที่แผ่นดินเผ่าสิงซากสมุทรเวลานี้ เทวรูปทั้งหมดสิบสี่องค์ เจ็ดองค์ในนี้กระจายอยู่ในขอบเขตเผ่าสิงซากสมุทร ส่วนอีกเจ็ดองค์อยู่เหนือค่ายกลเจ็ดเนตรโลหิต

ค่ายกลครืนครัน โคจรอย่างบ้าคลั่ง เทวรูปเจ็ดองค์นี้เปล่งแสงจ้าโถมขึ้นฟ้า ทุกองค์ระเบิดคลื่นพลังสั่นฟ้าสะเทือนดินออกมา ราวกับเป็นแหล่งพลังงานขนาดยักษ์เจ็ดแห่ง!

และพริบตาที่พวกมันพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ท้องฟ้าด้านบนเทวรูปทั้งเจ็ดก็ปรากฏ…กระแสวนสีเลือดขนาดยักษ์ขึ้นมาเจ็ดวง เป็นดวงตาทั้งเจ็ด!

ดวงตาทั้งเจ็ดนี้กำลังปิดอยู่ แต่การปรากฏตัวของพวกมัน ทำให้ทะเลต้องห้ามเวลานี้โหมคลื่นใต้น้ำอย่างบ้าคลั่งขีดสุดไปทั้งผืน ต่างเผ่าและอสูรทะเลทั้งหมดสั่นเทิ้มขึ้นมาในตอนนี้ พรั่นพรึงถึงขีดสุด

เพราะว่า นี่คือ…กลิ่นอายของของวิเศษเวท ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ของวิเศษเวทธรรมดาด้วย แต่เป็นสิ่งที่เข้าใกล้สิ่งต้องห้าม!

หลังจากนั้น ขณะที่กลิ่นอายนี้หลั่งทะลักรุนแรงอย่างโหดเหี้ยม ด้านบนของดวงตาที่กำลังปิดทั้งเจ็ดก็เกิดกระแสลมเมฆไหลบ่า ปรากฏกระจกโบราณทองสัมฤทธิ์ขนาดนับหมื่นจั้งขึ้นมาบานหนึ่ง

กระจกบานนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า หมุนวนช้าๆ ไปรอบด้าน ทิศเหนือส่องมลฑณรับเสด็จราชัน ทิศใต้ส่องเจ็ดเนตรโลหิต ทิศตะวันออกสาดพื้นที่ต้องห้ามจักรพรรดิแดนมรณะ ตะวันตกสะกดทะเลต้องห้าม

ทุกสรรพสิ่งรอบๆ ที่อยู่ในขอบเขตของมัน ถูกสยบลงด้วยพลานุภาพ

จุดที่ถูกส่องถึง เจตจำนงแรงกล้าถูกทำลายลงจนสิ้น สะท้านสะเทือนไปทั้งจิตใจและวิญญาณ ขนลุกชูชัน!

กลิ่นอายต้องห้ามวูบหนึ่งไหลบ่าเข้ามายังเทวรูปบรรพาชนศพทั้งเจ็ดองค์ที่เป็นแหล่งพลังงาน และปะทุขึ้นฉับพลันจากกระจกนั่น

ของวิเศษเวทต้องห้ามแห่งเจ็ดเนตรโลหิตถือกำเนิด!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท