บทที่ 292 เทียบกับแต่ก่อนไม่ได้
จากที่คนนอกเห็น นี่คือศึกของไฟชีวิตสามดวงกับไฟชีวิตห้าดวง
ฝ่ายแรกมีตะเกียงแห่งชีวิตสองดวงอยู่กับตัว พลังโถมสวรรค์ ฝ่ายหลังคือไฟชีวิตห้าดวงขั้นบริบูรณ์ที่หาได้ยากยิ่ง พลังกลืนภูเขาลำน้ำ
ทั้งสองฝ่ายล้วนมีวิชาระดับจักรพรรดิติดตัว พลังต่อสู้แทบจะเทียบเท่ากัน
สิ่งที่แตกต่างคือตะเกียงชีวิตสองดวงของสวี่ชิงนั้นสนับสนุนกันและกัน จุดนี้คนภายนอกเห็นหลังจากที่เขาต่อสู้กับซือหม่าหรูแล้ว ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญในพันธมิตรก็มีมากมาย คนฉลาดก็มีไม่น้อย ถ้าไปอนุมานหลังจากเสร็จศึกก็จะวิเคราะห์จุดสำคัญออกมาได้
ดังนั้นเมื่อมองคร่าวๆ ก็เหมือนพลังต่อสู้สวี่ชิงจะแกร่งกว่า แต่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเองก็ยังกล้าลงมือกับสวี่ชิงอย่างชัดเจน เขาต้องถือครองอะไรไว้อยู่เป็นแน่ สิ่งนี้ทำให้คนที่มาชมรอบๆ รู้สึกสนอกสนใจ
พริบตาต่อมา ร่างของสวี่ชิงกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ก็เข้าปะทะกันเหนือเขามรรคาทมิฬ ปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาทันที ท่วงท่าหยิ่งทะนง ทั้งสองฝ่ายทะยานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ต่างฝ่ายโรมรันอย่างรวดเร็ว
ด้วยพลังต่อสู้ของแต่ละฝ่าย ความเร็วล้วนอยู่ระดับสูงสุด เสียงครืนครันเสนาะเข้าจังหวะ สะท้านก้องทะลวงเมฆ
เพียงพริบตาพวกเขาก็ปะทะกันไปนับร้อยครั้ง หมัดต่อหมัดประสานกัน ต่างฝ่ายต่างไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย ทำให้เขามรรคาทมิฬสั่นสะเทือน สายอัสนีแล่นแปลบปลาบ ฟาดผ่าไปรอบด้านจากจุดที่พวกเขาต่อสู้กัน
ระหว่างนี้สวี่ชิงก็ใช้วิชาใต้ยมโลก แต่ใช้ไปเพียงแปดหมัด หมัดที่เก้าไม่ได้สำแดงออกมา เขากำลังรอโอกาส
ไม่นานเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ตัวสั่นสะท้าน ต้านทานไม่อยู่ ร่างกายดีดถอยกลับมา
สวี่ชิงลอยอยู่กลางอากาศ ผมปลิวสยาย ดวงตาหรี่ลง เขาซ่อนไฟชีวิตไว้หนึ่งดวง เพราะสวี่ชิงรู้ดี สิ่งสำคัญของศึกนี้ไม่ใช่การสะกดสังหารเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง แต่เป็นหลังจากอีกฝ่ายพ่ายแพ้ จะทำให้คนที่ช่วยเหลือเขาเข้ามาช่วยไม่ทันได้อย่างไร
อย่างน้อย ก็ต้องมาช่วยไม่ทันตอนที่ตนเองกำลังกลืนกินเมี่ยเหมิงของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
หากคิดจะจุดนี้ให้ได้ ก็ต้องทำตอนที่อีกฝ่ายคิดไม่ถึง เล่นงานให้ตั้งตัวรับมือไม่ทัน
เมื่อเริ่มแล้วเป็นเช่นนี้ก็ยังทำไม่ได้อย่างชัดเจน มีความเป็นไปได้ว่าเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจะมีคนช่วยออกไป และตนเองเองก็จะกลืนกินเมี่ยเหมิงล้มเหลว ดังนั้นสวี่ชิงจึงตรวจสอบ ขณะที่ตรวจสอบไพ่ลับของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง เขาก็ตรวจสอบคนที่อาจออกมาช่วยเหลือรอบๆ ไปด้วย
ส่วนไพ่ลับของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง สวี่ชิงไม่แน่ใจเท่าไรนัก เขาแค่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิหคทองรางๆ จากเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง จึงจ้องไปยังดวงตาขวาที่สีดำสนิทของเขา
ส่วนเจ้าเงาก็กำลังแผ่ลามไปในความมืด พิษก็เช่นกัน ขณะเดียวกันการลงมือเมื่อครู่ของสวี่ชิงก็มองออกว่าสิ่งที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องคนนี้แตกต่างจากก่อนหน้าคือความเร็ว
ความเร็วของอีกฝ่าย ยอดเยี่ยมกว่าแต่ก่อนมาก
เวลานี้ไม่มีเวลามานั่งคิด ร่างของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องถอยกลับ ย่ำเท้าลงหนักๆ บนพื้น ความเร็วที่น่าตกตะลึงก่อนหน้าก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ฝ่าอากาศมาจนเกิดเสียงหวีดแหลม
เมี่ยเหมิงด้านหลังก็จำแลงร่างเผยร่างสีเขียวหางสีแดงออกมา แผดเสียงคำรามใส่สวี่ชิง พลังต่อสู้ของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ยกระดับขึ้นตาม ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าสวี่ชิง
หน้าสวี่ชิงเย็นชา วิหคทองด้านหลังก็จำแลงร่างออกมาเช่นกัน ขณะส่งเสียงครืนครันก็พุ่งปะทะกันอีกครั้ง เหนือหัวสวี่ชิงมีฉัตรสองฉัตรปรากฏขึ้น เสริมการป้องกันให้เขา ทำให้หมัดทุกหมัดของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องต้องรับแรงสะท้อนกลับที่น่าตกตะลึง
สำหรับเขาแล้ว ความเจ็บปวดไม่ได้อยู่ที่แรงสะท้อน แต่เป็นความทุกข์ทรมานในใจต่างหาก
เพราะความรู้สึกเช่นนี้ ในอดีตล้วนเป็นคนอื่นที่ต้องพานพบเวลาต่อสู้กับเขา ตอนนี้กลับต้องมาเห็นตะเกียงแห่งชีวิตของตนไปอยู่เหนือหัวสวี่ชิง นำมาใช้รับมือกับตนเอง ดวงตาเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจึงมีเส้นเลือดแตกซ่าน คำรามเสียงต่ำ กัดปลายลิ้นจนแตก พ่นเลือดสดออกมากองหนึ่ง
“อาภรณ์ภูต ผนึกกายวิญญาณ จำแลงกระบี่จิตใจ บดขยี้ฟ้าดิน”
เมื่อเลือดพุ่งออกมา พริบตาก็กลายเป็นชุดคลุมสีเลือด เช่นเดียวกับวิชาเวทที่สำแดงออกมาตอนสู้กับสวี่ชิงเมื่อครั้งนั้น แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ เสื้อคลุมสีเลือดตัวนี้ไม่เข้ามาพันรัดตัวสวี่ชิงเหมือนเคย แต่ว่าระเบิดตนเองจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยมากมายนับไม่ถ้วน
ทุกชิ้นส่วนล้วนเป็นกระบี่บินสีเลือด เมื่อรวมตัวมากเข้าก็น่าพรั่นพรึง ก่อตัวเป็นสายลมเลือด พัดหาสวี่ชิง
ในฐานะที่เป็นผู้ครอบครองตะเกียงแห่งชีวิตคนที่แล้ว เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องรู้ซึ้งถึงจุดอ่อนตะเกียงลมครวญเจ็ดสีของตนเองเป็นอย่างดี
นั่นก็คือการโจมตีกว้างๆ จะทำให้การคุ้มกันของตะเกียงชีวิตบิดเบี้ยวต่อเนื่องจนเกิดช่องโหว่ และเรื่องนี้เขาก็ไม่เคยบอกคนอื่นมาก่อน และไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ที่ตนจะนำออกมารับมือกับตะเกียงแห่งชีวิตของตนเอง
ขณะที่ครืนครัน แม้กระบี่บินเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกสกัดไว้ด้านนอก แต่ด้วยปริมาณที่เยอะจึงมีบางส่วนเหมือนจะพุ่งทะลวงผ่านการคุ้มกันตะเกียงแห่งชีวิตของสวี่ชิงได้
สวี่ชิงหรี่ตาลง ร่างกายไหววูบเบี่ยงหลบ มือขวายกขึ้นซัดหมัดหาเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ระเบิดจิตสังหารอย่างรุนแรง ขณะที่ค่อยๆ ผสานวิชาใต้ยมโลก เขาก็แบ่งความสนใจส่วนหนึ่งไปรอบๆ
พริบตานี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงคลื่นที่ส่งมาจากนอกเขาเขามรรคาทมิฬ เขาสลายพลังใต้ยมโลกทันทีโดยไม่ลังเล
และเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเองก็เบี่ยงหลบในพริบตาด้วยความเร็วน่าตกตะลึง
ขณะเดียวกัน ด้านนอกเขาเขามรรคาทมิฬ ใบหน้าเสี่ยเลี่ยนจื่อก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แค่นเสียงเย็นชาไปทางท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง
ท้องฟ้าที่สายตาเขามองไป ปรากฏใบหน้าเคร่งขรึมของบรรพจารย์หลิงอวิ๋น ทั้งสองคนสบตากันอย่างไม่เป็นมิตร
“กฎก็คือกฎ คนที่ไม่ทำตามกฎ จักต้องถูกลงโทษ” เสี่ยเลี่ยนจื่อเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
บรรพจารย์หลิงอวิ๋นไม่พูดอะไร
สวี่ชิงหรี่ตามองทั้งหมดนี้ ตอนที่รู้ว่าการสำรวจก่อนหน้าของตนเองนั้นไม่ผิด เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่กำลังถอยหลังก็หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา ชูมือขวาขึ้น แสงกระบี่สามสายแผ่ออกมาพร้อมกัน
สายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นกระบี่พิฆาตโลหิตฟ้าทมิฬ แล้วพุ่งลงมาจากฟากฟ้า แทงไปที่กระหม่อมของสวี่ชิง
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นดวงตาเผยประกายประหลาด ลูกไม้นี้เขาเคยเห็นมาแล้ว แต่เวลานี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาเองก็มีวิชาเวทเช่นกัน จึงยกมือขวาขึ้นประกบปาง โบกฟาดออกไปทันควัน
ทันใดนั้นไอน้ำรอบตัวสวี่ชิงก็หนาขึ้น ทำให้ทั้งหมดเลือนราง มหาสมุทรกว้างใหญ่สีน้ำเงินผืนหนึ่ง ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา ภูเขาเขามรรคาทมิฬเมื่อเทียบกับมหาสมุทรแล้ว ก็เหมือนภูเขายักษ์ตั้งตระหง่านกลางมหาสมุทร และพวกเขาทั้งสองคนบนเกาะ ก็เหมือนกับมดปลวก
เมื่อเห็นความยิ่งใหญ่ของมหาสมุทรที่ก่อตัวขึ้น คลื่นทะเลสีครามนั่นก็น่าตกตะลึง มันราวกับเป็นคลื่นใต้น้ำรวมตัวกันจนเกิดคลื่นขนาดยักษ์ระลอกแรก ซัดใส่กระบี่พิฆาตโลหิตฟ้าทมิฬบนท้องฟ้าหายไปด้วยคลื่นเดียว!
ระลอกคลื่นกลืนกินท้องนภา กระบี่โลหิตครืนครัน
ยังไม่จบเท่านี้ แสงกระบี่สายที่สองปรากฏขึ้น
กระบี่นี้ฟาดขวาง กลายเป็นกระบี่ี่สะกดมารสะเทือนวิญญาณ เวลานี้สายลมใบไม้ร่วงฟาดใส่สวี่ชิงอย่างไม่คาดคิด
สวี่ชิงสองมือร่าย ใต้ตัวของเขาก็มีคลื่นแบบเดียวกันโหมซัดขึ้นมา ก่อตัวระลอกสอง กระแทกกับกระบี่สะกดมารสะเทือนวิญญาณที่ฟาดขวางมา ส่งเสียงก้องไปทั้งท้องนภา ลั่นฟ้าสะเทือนดิน
ไม่นานกระบี่ที่สามของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ปรากฏขึ้น กลายเป็นเงาภูตสะพายกระบี่แปดตน จำแลงร่างออกมารอบตัวสวี่ชิง หมุนตัวชักกระบี่ฟาดออกไปพร้อมกัน
นี่คือกระบี่ภูตอุดรถามสวรรค์
สวี่ชิงตั้งสองมือหน้าหลัง ร่างเริงระบำ ราวกับกระบวนท่ารำไทเก๊ก เพียงพริบตาก็เรียกคลื่นทะเลออกมาห้าหกคลื่น ซัดไปรอบตัวเขา คลื่นทะเลทั้งสี่ล้วนมีพลังน่าหวาดหวั่น จังหวะที่ส่งเสียงครืนครันไปด้านนอก ก็ปะทะเข้ากับภูตกระบี่ทั้งแปด
ภูตกระบี่สลายหายลงท่ามกลางเสียงครืนครัน สวี่ชิงสีหน้าปกติ มองเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่สีหน้ามืดครึ้มกำลังถอยหนีอย่างรวดเร็ว สองมือยังคงร่ายรำอย่างเชื่องช้า แต่อันที่จริงคือรวดเร็วขีดสุด ก้าวต่อเนื่องห้าก้าวขณะที่ร่ายรำ
ทุกย่างก้าว ล้วนมีคลื่นทะเลคลื่นหนึ่งโถมขึ้นท้องฟ้า
หลังจากห้าก้าว คลื่นทะเลทั้งห้ารอบตัวเขาก็น่าตกตะลึงขึ้นทุกระลอก ก่อตัวเป็นการโจมตีหวีดหวิวเข้าหาเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง มองไกลๆ คล้ายกับน้ำท่วมเขามรรคาทมิฬ ทรงพลังไร้เทียมทาน
เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหายใจหอบถี่ เขารู้สึกถึงความแตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นวิชาเวทสวี่ชิงยังอ่อนแอ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเสริมจุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพลานุภาพยังไม่ธรรมดาด้วย
แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยวาง จิตสังหารยังคงอยู่ เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องคำรามเสียงต่ำท่ามกลางการโจมตีของคลื่นทั้งห้า ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมา เป็นนิ้วมือที่เน่าเปื่อยนิ้วหนึ่ง
ที่มาไม่อาจคาดเดา แผ่ซ่านกลิ่นอายสิ่งประหลาดมืดมนออกมา และยังมองเห็นอักขระนับไม่ถ้วนกำลังหมุนเวียนอยู่รางๆ ด้วย คนที่เห็นสมผัสถึวชั่วร้ายเหลือคณาได้
นี่เป็น…คำสาป!
เป็นคำสาปของน้องชายเขา เขาที่อยู่ในความทุกข์ทรมานจากพิษของสวี่ชิงก่อนหน้านี้หยิบยืมพลังของวิหคทองหลอมออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นกระดูกนิ้วท่อนนี้ กลายเป็นอาวุธประจำตัว
หลังจากหยิบออกมา เขาก็ไม่ชักช้าโยนออกไปทันที ในพริบตานิ้วมือนี้ก็เข้าปะทะกับน้ำทะเล เพียงพริบตาก็สลายกลายเป็นของเหลวสีดำ ปนเปื้อนมหาสมุทรทั้งผืนกลายเป็นสีดำในพริบตา
กลิ่นเหม็นคาวซ่านกำจายออกมาไม่หยุด มหาสมุทรที่เดิมทีสีฟ้าไม่เพียงแต่กลายเป็นทะเลดำในพริบตา แต่ยังกลายเป็นน้ำเน่าอีกด้วย ด้านในยังมีใบหน้าผีกับท่อนแขนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทำให้ทะเลทั้งผืนทำท่าเหมือนจะสลายตัว กระทั่งคลื่นเองยังม้วนกลับ เหมือนเป็นแรงสะท้อนด้วย
แต่เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องกับสวี่ชิงครั้งที่แล้ว เขามองเห็นแค่ภาพที่เงาของสวี่ชิงเข้าบดบังช่องเวทไว้ ดังนั้นครั้งนี้จุดสำคัญคือการป้องกันการที่ช่องเวทถูกปิดบังรวมถึงพิษประหลาดนั่นของสวี่ชิง และการเสริมพลังของท่านปู่ ก็ล้วนอยู่ในขอบเขตนี้
เขาจึงไม่รู้พลังที่แท้จริงของเงาสวี่ชิง
นี่คือข้อดีของการเก็บงำอำพรางตน
เวลานี้เมื่อสิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นในน้ำทะเลเหล่านั้นกำลังจะกัดกิน แต่พริบตาต่อมาสิ่งประหลาดเหล่านั้นก็สั่นสะท้าน ส่งเสียงกรีดร้องออกมาขณะที่สวี่ชิงมองอย่างเย็นชา พากันหนีออกมาด้านนอก พยายามจะหนีออกจากมหาสมุทร
แทบจะพริบตาที่พวกมันแตกฝูง สวี่ชิงก็แค่นเสียงเย็นชา ยกมือขวาขึ้นพลัน ทันใดนั้นดาบสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะเขา ดาบสีม่วง รูปร่างจริง และไม่ได้ปรากฏแค่เล่มเดียว แต่ด้วยพลังบำเพ็ญปัจจุบันของสวี่ชิง เพียงรวดเดียวก็ปรากฏออกมาถึงเจ็ดเล่ม
สวี่ชิงบรรลุตราประทับดาบสะบั้นไพศาลมาเพียงสองสายเท่านั้น พลานุภาพยังจำกัด แต่เขามีพลังเวทมหาศาล สามารถสร้างขึ้นมาหลายเล่มในคราวเดียว และใช้วิธีการซ้อนทับเพิ่มพลานุภาพ การต่อสู้กับซือหม่าหรูเมื่อครั้งนั้นก็เป็นเช่นนี้
ตอนนี้ดาบสวรรค์ปรากฏ ทั้งเจ็ดเล่มก็ครืนครันไปทางเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจากการโบกมือของสวี่ชิง ทุกจุดที่พาดผ่านเมฆลมเปลี่ยนสี ปราณพิฆาตหลายสายหมุนวนไปรอบด้าน ฟาดลงไปที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหลบไม่ทัน ร่างกายม้วนถอยหลังเสียงอื้ออึง ถูกดาบสวรรค์เจ็ดเล่มฟาดฟันทีละเล่ม ทั้งร่างเกิดรอยแผลขนาดยักษ์ลึกถึงกระดูกหลายรอย
แผลที่ลึกที่สุด อีกนิดเดียวก็เกือบจะสะบั้นเอวของเขาจนขาดแล้ว
แต่พริบตาต่อมา ภาพประหลาดก็ปรากฏขึ้น
จู่ๆ ดวงตาดำสนิทของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็ปรากฏเงาของวิหคทอง เงานี้แผดเสียงร้อง พลังชีวิตที่น่าตกตะลึงระเบิดออกมา หลังจากผสานรวมเข้าไปในร่างกายเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง อาการบาดเจ็บทั่วตัวเขาก็ฟื้นฟูในพริบตาอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า กระทั่งแผลที่เอวก็เช่นกัน
ภาพนี้ ทำให้คนที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วถลึงตาค้างจิตวิญญาณสั่นสะเทือนกันหมด การลงมือของทั้งสองคนนี้ ไม่ใช่สร้างฐานแล้ว ดูคล้ายกับแก่นลมปราณมากกว่า
เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องหยุดถอยหนี เวลานี้ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ยิ้มเหี้ยมเกรียมให้สวี่ชิง
“สวี่ชิง ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ ที่ทำให้ข้ามีร่างที่ไม่มีวันตายนี้ขึ้นมา ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างสาสมเลย”
สวี่ชิงหรี่ตา เอ่ยเสียงเรียบ พูดประโยคแรกในการต่อสู้ครั้งนี้ออกมา
“เจ้าก็ยังเอะอะโวยวายเหมือนเคยเลยนะ พูดมากเสียจริง”
สวี่ชิงไม่ได้ตกตะลึงมากนัก แม้จะเกินคาด แต่ก็ยังอยู่ในการคาดเดาของเขา เวลานี้เขาเองก็กระจ่างแล้ว ว่านี่คือไพ่ตายของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้บำเพ็ญพันธมิตรที่ชมศึกนี้อยู่รอบๆ ก็มองสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว เวลานี้พวกเขามองนิสัยของสวี่ชิงออกแล้ว นั่นก็คือเวลาที่ต่อสู้ จะพูดน้อยมาก
นิสัยที่เอาแต่ลงมือไม่พูดจาเช่นนี้ ทำให้คนทั้งหมดสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมฝังกระดูกของสวี่ชิง
บนยอดเขาสำนักโลกันต์ทมิฬ จอมเซียนจื่อเสวียนดื่มน้ำแกงเม็ดบัวน้ำค้างรุ่งอรุณร้อยบุปผาพลางชมศึกนี้ไปด้วย หลังจากเห็นสวี่ชิงพูดแล้ว นางก็หัวเราะขึ้นมา
“แม้ปราณพิฆาตที่หนักหนาจะไร้หนทางมีแสงสว่างในจิตใจได้ ไม่ใช่คนที่ข้ากำลังตามหา แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นเด็กน้อยที่น่าสนใจ หลักๆ คือหน้าตาดี ไม่เหมือนเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่ตอนเด็กๆ กัดกินกันเองในครรภ์ประหลาด น่าขยะแขยง”