บทที่ 1105 คำพูดของจี้อวี๋
บทที่ 1105 คำพูดของจี้อวี๋
หลังจากประสบกับการต่อสู้อันน่าสยดสยองภายในมหาค่ายกลนพวายุ ในที่สุด เฉินซีก็สามารถสังหารเยว่เจิ้นได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะระเบิดตัวเอง ด้วยการกระชากดวงวิญญาณของเยว่เจิ้นออกจากร่างกายอย่างแรง!
การต่อสู้อันน่าสะพรึงนี้ ไม่อาจทำร้ายเฉินซีได้เลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับที่เยว่เจิ้นได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ พลังฝีมือของเขานั้นด้อยกว่าเจี่ยงหนิง ชายหนุ่มเชี่ยวชาญในการติดตามและหลบหนีเท่านั้น
เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุด ในขณะที่ติดอยู่ภายในมหาค่ายกลนพวายุ
‘จั่วชิวคง!’
‘สิบสององครักษ์โมฆะ!’
‘พวกมันกำลังรอซุ่มโจมตีอยู่ในเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า!’
เฉินซีรู้ทุกสิ่งจากความทรงจำของเยว่เจิ้น ทำให้ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นทันที
‘ตระกูลจั่วชิว! ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพวกมัน… ’
สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถสรุปได้ทันทีว่า การไล่ล่าในทวีปสันติบูรพานั้น น่าจะเป็นฝีมือของตระกูลจั่วชิวเช่นกัน
มีเพียงมหาอำนาจอย่างตระกูลจั่วชิวเท่านั้น ที่สามารถสั่งการราชันเซียนลิ่นฮ่าวได้ แม้ว่าปิงซื่อเทียนจะน่าเกรงขาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ขึ้นมาจากภพมนุษย์ และการบ่มเพาะก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำเท่านั้น แม้จะได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจ แต่ไม่มีทางควบคุมให้เซียนปราชญ์ทำงานตามคำสั่งได้
‘นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะเป็นฝ่ายมาหาข้าเช่นนี้… ’
เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนรอยยิ้มเยียบเย็นจะปรากฏบนริมฝีปาก การค้นพบนี้ ทำให้หินที่กดทับหัวใจของเขาหลุดออกไปในที่สุด และรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง
หลังจากที่เฉินซียืนยันได้ว่าศัตรูมาจากตระกูลจั่วชิว ความคิดก็แจ่มชัดขึ้น
เพราะรู้ดีว่าตระกูลจั่วชิวสังเกตเห็นชื่อของตนติดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า อีกทั้งยังพบว่าเฉินซีตั้งใจมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ตระกูลจั่วชิวจึงส่งผู้เยี่ยมยุทธ์มาเพื่อฆ่าเขา
ในทางกลับกัน จุดประสงค์ของตระกูลจั่วชิวนั้นไม่ซับซ้อนเลย เห็นได้ชัดว่าตระกูลจั่วชิวกังวลว่าเมื่อเฉินซีเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า จะพลาดโอกาสในการลงมือ
นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าหลียางไม่ได้กล่าวเกินจริง สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าทำให้ตระกูลจั่วชิวเกรงกลัว!
…
เฉินซีก็ไม่คิดเสียเวลาอีกต่อไป เขาใช้ร่างอวตารรุดเดินทางไปยังเมืองประทีปแสง ในขณะที่ร่างหลักเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะภายในโลกแห่งดารา
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติภายในเมืองประทีปแสง สามารถเดินทางข้ามระหว่างทวีปสัปยุทธ์เรืองรองและทวีปพันวังวนได้ อีกทั้งยังเป็นวิธีการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วมาก อย่างไรก็ตาม จากทวีปพันวังวนเขาต้องเดินทางผ่านกว่าร้อยเมืองเพื่อไปทวีปเมฆาพำนัก อย่างน้อยต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน
เฉินซีไม่ต้องการเสียเวลาเกือบหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะบ่มเพาะในโลกแห่งดาราด้วยร่างกายหลัก และเตรียมพร้อมที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ
ส่วนร่างอวตารก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาได้ และฝึกฝนในวิถีแห่งการบ่มเพาะที่แตกต่างไปจากร่างหลักอย่างสิ้นเชิง เหมาะที่จะใช้ตบตาคนอื่น ซึ่งนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้
เหตุผลที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นง่ายมาก เป็นเพราะเฉินซีตระหนักดีว่า หากต้องการเข้าสู่ทวีปสารท เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องข้ามเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า
และความทรงจำของเยว่เจิ้นก็ทำให้เฉินซีค้นพบว่า องครักษ์โมฆะอีกสิบคนกำลังซุ่มรออยู่ที่เทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า รอให้เขาเดินเข้าไปในกับดักของพวกมันอย่างใจเย็น
นอกจากนี้ พลังฝีมือของผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาองครักษ์โมฆะเหล่านั้น ก็เทียบได้กับเจี่ยงหนิง และยังมีระดับผู้บัญชาการอยู่ท่ามกลางพวกมัน ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นยอดในหมู่องครักษ์โมฆะ!
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตื่นตัวและใช้เวลาทุกชั่วขณะเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตน เพราะไม่สามารถหลีกเลี่ยงเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าได้ หากต้องการไปถึงทวีปดาราวีรบุรุษภายในเวลาสามเดือน
“จั่วชิวคง… ฮะ! ดีมาก! เจ้าบีบให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จริง ๆ ข้าจะจำสิ่งนี้ไว้!”
ภายในโลกแห่งดารา เฉินซีพึมพำกับตัวเองขณะนั่งขัดสมาธิ จากนั้นหายใจเข้าลึก ๆ และหลับตาลงในที่สุด ก่อนจะจมดิ่งเข้าสู่ห้วงสมาธิอันลึกล้ำ
ฟิ้ว!
ปราณเซียนอันทรงพลังพลุ่งพล่านภายในแดนฮุ่นตุ้น เชื่อมต่อกับมังกรฟ้า เต่าดำ วิหคเพลิงและพยัคฆ์ขาว ก่อให้เกิดการหมุนเวียนที่สมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นมันก็พุ่งเข้าสู่เส้นลมปราณและจุดชีพจรในร่างกาย ซึ่งไหลเวียนเป็นวัฏจักรสะท้อนถึงโลกภายในและเชื่อมโยงกับจักรวาลภายนอก
นี่คือลักษณะของขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ
เมื่อสี่สระต้นกำเนิดสวรรค์ถูกสร้างขึ้น และพลังชีวิตในร่างกายไหลเวียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึมผ่านจากภายในไปสู่ภายนอกได้ และไร้มลทินใด ๆ
สำหรับผู้บ่มเพาะ ขอบเขตตำหนักอินทนิลเป็นขอบเขตรากฐาน ขอบเขตเซียนสวรรค์ก็เปรียบเสมือนขอบเขตรากฐานสำหรับเซียนเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ความแข็งแกร่งของรากฐานจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหนในอนาคต
ปัจจุบัน เฉินซีอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ และอาจถือได้ว่าเขานั้นไร้เทียมทานในหมู่ผู้ที่มีขอบเขตระดับเดียวกัน เป็นตัวตนที่ไม่มีใครเทียบ และสามารถก้าวข้ามขอบเขตเพื่อต่อสู้ได้
ทั้งหมดนี้มาจากรากฐานที่หนาแน่นผิดปกติ เหนือกว่าเซียนสวรรค์ทั่วไป แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความสำคัญของการหล่อหลอมรากฐานสำคัญเพียงใด
อย่างไรก็ตาม การทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับนั้นยากเป็นพิเศษ เฉินซีที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ และความยากลำบากในการทลายด่านนี้ เพื่อบรรลุสู่ขอบเขตใหม่ก็จึงเป็นที่ชัดเจน
สิ่งสำคัญที่สุดของขอบเขตเซียนลึกลับ คือการทลายด่านของความลึกลับทั้งสาม
ด่านแรกคือกำแพงสวรรค์ที่เก็บและสะสมแสงหยก ด่านที่สองคือวิญญาณดินที่หล่อเลี้ยงและเปลี่ยนวิญญาณ ส่วนด่านที่สามคือกำแพงพลังชีวิตที่ไขความลึกลับ พวกมันถูกเรียกว่าด่านของความลึกลับทั้งสาม
ด่านของความลึกลับทั้งสามนี้เรียกอีกอย่างว่าด่านไตรวิญญาณ ได้แก่ วิญญาณหลัก วิญญาณแห่งจิตสัมผัส และวิญญาณแห่งชีวิตตามลำดับ
ในบรรดาสามวิญญาณและเจ็ดดวงจิต วิญญาณทั้งสามเป็นตัวแทนของด่านไตรวิญญาณ
การบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ จำต้องเปิดพื้นที่ที่วิญญาณหลักอาศัยอยู่ จากนั้นรวมปราณเซียนพิสุทธิ์เพื่อสร้างกฎอันลึกล้ำ เมื่อนั้นทุก ๆ การกระทำจะก่อให้เกิดรัศมีกลมเกลี้ยงปรากฏขึ้นด้านหลังศีรษะ ปรากฏเป็นรูปลักษณ์อันลึกล้ำ มันจึงถูกเรียกว่าแสงหยก
เช่นเดียวกับ วงกลมที่พร่างพราวและกลมมนที่ปรากฏบนภาพเหมือนหรือภาพวาดของเทพเจ้าที่ประดิษฐานภายในวิหารของโลกมนุษย์
ในสายตาของเซียน การปรากฏตัวของแสงหยกหมายความว่าการบ่มเพาะของคนคนหนึ่งได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนลึกลับแล้ว ดวงวิญญาณ ปราณเซียนพิสุทธิ์ และกฎหลอมรวมจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ก่อนจะพัฒนารูปแบบที่ลึกล้ำต่าง ๆ
ขอบเขตเซียนลึกลับนั้นลึกล้ำอย่างสุดจะพรรณนา แต่ส่วนใดของมันที่ลึกล้ำนะหรือ? ย่อมหมายถึงไตรวิญญาณ!
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ทุก ๆ ด่านของขอบเขตเซียนลึกลับ ดูเหมือนกำลังท้าทายสวรรค์และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก ในทางกลับกัน หากใครสามารถบรรลุได้ ความแข็งแกร่งที่มีอยู่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างน่าตกใจ!
เพื่อประโยชน์ในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ เฉินซีอาศัยพลังของต้นอ่อนเงาทมิฬและรากฐานที่ทรงพลัง เฝ้ารอรอโอกาสที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับเมื่อเงื่อนไขสุกงอม
…
เมื่อร่างอวตารของเฉินซีกำลังเดินทางไปยังเมืองประทีปแสง หลูเฉินซึ่งกำลังทำสมาธิภายในช่องเขาที่เงียบสงบและสวยงามในเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้าพลันขมวดคิ้ว ก่อนที่จะลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เยว่เจิ้น ตายแล้ว…” เขาดึงป้ายชะตาวิญญาณที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ออกจากกระเป๋า ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตากลับทอประกายเย็นเยียบอยู่วูบหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปในพริบตา
คำพูดนี้ทำให้องครักษ์โมฆะทั้งเก้าที่อยู่ใกล้เคียงตื่นขึ้น พวกเขามีสีหน้ามืดมน และขมวดคิ้วแน่น
ก่อนที่เยว่เจิ้นจะออกจากเมืองหยกขจี เขาได้ส่งแผ่นหยกกลับมารายงานข่าวการเสียชีวิตของเจี่ยงหนิง และระบุว่าเป้าหมายอาจมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะลึกลับที่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับของเนตรมารใต้พิภพได้
ข้อมูลนี้ทำให้พวกเขาเพิ่มระดับความระมัดระวังอย่างมาก และไม่กล้าประเมินเป้าหมายต่ำนัก หลังจากผ่านไปเพียงสองวัน ไม่คิดว่าเยว่เจิ้นจะเสียชีวิตเช่นกัน
ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนม่านหมอกที่ล่องลอยอยู่ในใจอย่างเงียบเชียบ
หนึ่งในองครักษ์โมฆะอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา “ศิษย์พี่หลูเฉิน เราควรเปลี่ยนกลยุทธ์ดีหรือไม่? การปลอมตัวของเจ้าเด็กนั้นสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับของเนตรมารใต้พิภพได้ หากเรารั้งรออยู่ที่นี่ ดังนั้นมันจึงสามารถหลอกเราและผ่านไปอย่างง่ายดาย ”
ใบหน้าของหลูเฉินเรียบนิ่ง สุ้มเสียงสงบและไร้อารมณ์เช่นกัน “พวกเจ้าทุกคนคงทราบแล้วว่า เป้าหมายของเราสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์และสามารถหลุดรอดจากการตรวจจับของเคล็ดวิชาลับต่าง ๆ ได้ หากเป็นเช่นนั้น แล้วเราจะไปตามหาเป้าหมายได้ที่ใดกัน หากออกจากที่นี่?
ทุกคนตะลึง พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมรับว่าการไล่ตามเป้าหมายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
หลูเฉินกล่าวต่อ “สิ่งที่เราทำนั้นไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือรอ อย่างไรก็ตาม แผนการของเราเปลี่ยนไปแล้ว ต้องเตรียมการบางอย่าง”
“เตรียมการอันใด?” ทุกคนชะงัก
“ปิดล้อมเทือกเขาขุมทรัพย์เทพเจ้า และสังหารเซียนทุกคนที่มุ่งหน้าไปทวีปสารท” หลูเฉินกล่าวอย่างสบาย ๆ ราวกับกำลังพูดเรื่องธรรมดา
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หลูเฉินลุกขึ้นยืนและจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจ้องมองไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา จากนั้นกล่าวอย่างเฉยเมย “เป้าหมายจะมาถึงในอีกไม่ถึงสองเดือนนับจากนี้… ”
…
ชั่วพริบตา ในโลกแห่งดาราเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน
เฉินซีที่นั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลาพลันขมวดคิ้วฉับ ก่อนจะลืมตาขึ้น แล้วพึมพำว่า “ข้ายังขาดอยู่ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป คงจะเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ ก่อนที่จะไปถึงทวีปเมฆาพำนัก…”
เขายืนขึ้นและเดินวนไปมาภายใต้ดวงดาวมากมายบนผืนฟ้า ในใจครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีขัดเกลาพลังฝีมือของตน
คุณภาพของยันต์ศัสตราได้มาถึงระดับสูงสุดของระดับวิญญาณทมิฬแล้ว และถ้าต้องการขัดเกลา มันไม่มีทางสำเร็จเว้นแต่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ
ในทางกลับกัน ร่างอวตารเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ในการขัดเกลากายา และไม่สามารถขัดเกลาการบ่มเพาะได้ภายในระยะเวลาอันสั้น สำหรับอสูรวิญญาณดาราอย่างจรัสดารา มันยังเป็นเพียงเด็กเท่านั้น และไม่อาจโตเต็มที่ในชั่วพริบตา…
“ข้าควรทำอย่างไรดี?”
เฉินซีหวนนึกถึงหม้อกลั่นใบจิ๋วโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นก็ส่ายศีรษะ เพราะตั้งแต่เข้าสู่ภพเซียน หม้อกลั่นใบจิ๋วก็ตกอยู่ในความเงียบมาโดยตลอด และตามที่หม้อกลั่นใบจิ๋วได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ พลังของกฎแห่งเต๋าสวรรค์ในภพเซียนนั้นแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นหม้อกลั่นใบจิ๋วจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องจำศีลเท่านั้น
เว้นเสียแต่ว่ามันจะสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ประมาณแปดส่วนในหนึ่งวัน มิฉะนั้น มันจะเกรงกลัวการคุกคามของกฎแห่งเต๋าสวรรค์ในภพเซียนก่อขึ้น
“ถ้าข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ ข้าจะใช้ระเบิดสังหารเทวะเสีย… หืม?”
ท่ามกลางความคิดอันยุ่งเหยิง สายตาของเฉินซีก็จดจ้องไปยังท้องฟ้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ส่วนหนึ่งของดวงดาวนับไม่ถ้วนดูเหมือนจะก่อตัวเป็นยันต์เทวะพฤกษาคราม ยันต์เทวะผสานธาตุ ยันต์เทวะไฟโลกันตร์ ยันต์เทวะคงคาทมิฬ และยันต์เทวะสยบปฐพี อีกทั้งยังโคจรหมุนเวียนอยู่บนท้องฟ้า
ยันต์เทวะทั้งห้าก่อตัวขึ้นจากดวงดาวบนท้องฟ้าเพียงบางส่วนเท่านั้น อีกทั้งยังมีดวงดาวลึกลับและไม่รู้จักมากมายโคจรอยู่ไกลออกไป
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเกิดแรงบันดาลใจ เขารำลึกถึงตอนที่อยู่ในเมืองหมอกสนทันที และนึกถึงบางสิ่งที่ผู้อาวุโสจี้อวี๋เคยกล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อน